หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
บั้งไฟพญานาค ใครเคยเห็น ของจริงบ้าง
ขาเล่ากันมาว่า .... บั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง http://board.eduzones.com/question.php?qid=20091002020929Nac20CB  
10 วิธีดูแลสมองให้เฉียบแหลม
การ ทำงานของระบบสมองถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองกระปุกดอทคอมจึงขอเสนอวิธีการดูแลสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีวิธีใดบ้างแล้วล่ะก็ ตามมาดูกันเลย 1. ออกกำลังกายซะบ้าง นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านเห็นตรงกันว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อระบบสมอง ขณะที่หัวใจและปอดก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าหากสมองแข็งแรง ก็จะทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย 2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คุณรู้หรือไม่ว่า การได้รับพลังงานไม่ว่าจะมากหรือน้อยเกินไปส่งผลต่อการทำงานของระบบสมอง ดังนั้นแล้วอาหารหรือผลไม้อะไรก็ตามแต่ที่คุณทาน ก็ควรจะเป็นอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง และให้ปริมาณของไขมันและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดการทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้การทำงานของระบบสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. ไม่ตามใจปาก การตามใจปาก ทานอาหารอย่างไม่ดูคุณค่าทางโภชนาการจะทำให้สมองทำงานช้าลง ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมการทานอาหารอย่างพอเหมาะ เพราะหากควบคุมอาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลเสียทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานของสมองอย่างมาก 4. ดูแลตัวเอง โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 3 โรคอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสมองโดยตรง ทำให้กระบวนการรับรู้ของสมองแย่ลงจนอาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อมได้ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง เพื่อบรรเทาไม่ให้สมองถูกทำลายก่อนวัยอันสมควร 5. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายและสมองได้รับการ ผ่อนคลายจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน ซึ่งการนอนอย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ก็จะทำให้การทำงานของสมองดีขึ้น และตัวคุณเองก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเช่นกัน 6. กาแฟช่วยคุณได้ มีการศึกษาพบว่ากาเฟอีนในกาแฟสามารถปกป้องสมองได้ การดื่มกาแฟวันละ 2 - 4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อมได้ 30 - 60% เลยทีเดียว 7. ทานปลาบำรุงสมอง ปลาถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและสมองสูง โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ที่อยู่ในเนื้อปลา มีประโยชน์ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 8. ปล่อยตัวไปตามสบาย เครียดมากเกินไปก็ส่งผลทำให้การทำงานและการจดจำของสมองแย่ลงได้ ดังนั้นแล้วจงปล่อยตัวไปตามสบายซะบ้าง ทำจิตใจให้สงบ อย่างเช่น การเล่นโยคะ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ 9. หลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมต่าง ๆ หากใช้อาหารเสริมต่าง ๆ อย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็นจะส่งผลเสียต่อสมองอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะอาหารเสริมก็เหมือนยาชนิดหนึ่งซึ่งจะส่งผลดีก็ต่อเมื่อร่างกายมีปัญหา หรือร่างกายจำเป็นต้องได้รับเท่านั้น หากร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรใช้อาหารเสริมแต่อย่างใด 10. ทำกิจกรรมที่ลับสมอง เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลาว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู ไม่ว่าจะเป็นปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ เพราะนอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำงานของสมองใช้การได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ได้ รู้วิธีการดูแลบำรุงสมองดี ๆ ทั้ง 10 ข้อนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กันด้วยนะจ๊ะ เพื่อจะได้มีสมองที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา ที่มา http://health.kapook.com/view26749.html
มารยาทในการใช้ห้องสมุด
  เนื่องจากห้องสมุด เป็นสถานที่ที่มีคนมาใช้บริการจำนวนมาก จำเป็นจะต้องคำนึงถึงมรรยาทการใช้ห้องสมุด ดังต่อไปนี้ ๑. แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ๒. ไม่ควรนำกระเป๋าหนังสือ ถุงย่าม เข้าไปในห้องสมุด ยกเว้นกระเป๋าสตางค์ และฝากสิ่งของอื่นๆ ไว้ที่ที่ฝากซึ่งทางห้องสมุดจัดไว้ให้ ๓. ไม่ทำเสียงดังรบกวนผู้อื่น ๔. ไม่นำอาหาร ของขบเคี้ยว และเครื่องดื่มเข้าไปในห้องสมุด ๕. หยิบหนังสือหรือเอกสารด้วยความระมัดระวัง และอย่ารื้อค้นให้กระจุยกระจาย ๖. ไม่ขีดเขียน ฉีก หรือตัดหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ๗. เมื่อใช้หนังสือเสร็จแล้ว ให้ปฏิบัติตามระเบียบของห้องสมุดนั้นๆ ๘. ไม้ควรนำหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือวารสารมาไว้อ่านครั้งละหลายฉบับ เพื่อผู้อื่นจะได้มีโอกาสใช้บ้าง ๙. เมื่อลุกจากที่นั่งแล้วควรเลื่อนเก้าอี้เก็บให้เรียบร้อย ๑๐. ยืมหนังสือก่อนนำออกจากห้องสมุด และส่งคืนตามวันที่กำหนด http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-4353.html  
10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง
ถือเป็นไฮไลต์ของงาน “นาสด้า อินเวสเตอร์ เดย์ 2011” ที่ผู้จัดอย่าง “ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล” ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอก ว่า ซุ่มทำวิจัย หาข้อมูล และระดมสมองของนักวิจัยระดับหัวกะทิในสาขาต่างๆ จนได้มาซึ่ง 10 เทคโนโลยีที่จะมีผลต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในอนาคต ปีนี้นำเสนอถึงเทคโนโลยีใน 4 สาขาที่กำลังได้รับความสนใจ คือ ด้านไอที วัสดุศาสตร์ พลังงานสะอาด และสุขภาพ โดยเทคโนโลยีอันดับ 1 จากสาขาไอที ก็คือ เทคโนโลยีเว็บเชิงความหมาย (Semantic Web) หรือเว็บ 3.0 ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเว็บ 3.0 นี้ จะหมายถึงเทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน เว็บไซต์อยู่ในรูปของการ อ่าน เขียน และการเชื่อมโยง ซึ่งไม่ใช่ในรูปแบบลิงค์เหมือนที่ใช้ในเว็บ 2.0 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถจัดการกับเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างอิสระ ดร.ทวี ศักดิ์ บอกว่า แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีเว็บจะมีสูงขึ้น เว็บไซต์จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือในการค้นหาข้อมูล แต่ยังเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในรูปบริการเบ็ดเสร็จ และเชื่อมโยงมีเดียในแต่ละแบบเข้าด้วยกัน ซึ่งเว็บ 3.0 จะเป็นตัวช่วยในการบูรณาการสารสนเทศ จัดเก็บ และนำเสนอ สามารถที่จะวิเคราะห์ จำแนกและจัดแบ่งได้ว่าข้อมูลนั้น ๆ มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในระดับอื่น ๆ อย่างไร สำหรับเทคโนโลยีอันดับที่ 2 ในสาขาเดียวกันนี้ก็คือ จอแสดงภาพ 3 มิติ (3D Display) ปัจจุบัน จอแสดงภาพ 3 มิติมีการเติบโตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อสามารถดูได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา 3 มิติ หรืออุปกรณ์เสริมจากภายนอก ซึ่งจอ 3 มิติในปัจจุบัน ใช้หลักการมองเห็นภาพสเตอริโอสโคปี และพาราแลกซ์ มาผสมผสานเข้ากับจอแสดงผลแบบผลึกเหลว จอพลาสมาและฉากรับภาพ มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้มีการทำตลาดกันอย่างกว้างขวาง คาดกันว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ 3 มิติจะสูงถึง 64 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 ส่วนจอมือถือแบบ 3 มิติจะเติบโตสูงสุดด้วยจำนวน 71 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 จากการเติบโตของเทคโนโลยีนี้ ผอ.สวทช.บอกว่า ไทยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา แต่สามารถร่วมเป็นผู้ผลิตได้โดยเฉพาะการผลิตเนื้อหาหรือดิจิทัลคอนเทนต์ที่ จะประยุกต์ใช้งานกับอุปกรณ์ดังกล่าว เทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 3 ซึ่งอยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์ก็คือ กราฟีน (graphene) หรือวัสดุมหัศจรรย์ ที่ เป็นชั้นของคาร์บอนอะตอมที่หนาเพียง 1 ชั้น มีโครงสร้างเหมือนตาข่ายรูปหกเหลี่ยม กราฟีนถูกคาดหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมไอที เนื่องจากมีคุณสมบัติน่าทึ่งหลายอย่าง เช่น แข็งกว่าเหล็กกล้าและแม้แต่เพชร แต่ยืดหยุ่นได้ถึงร้อยละ 20 นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงและยังโปร่งแสงอีกด้วย จาก คุณสมบัติดังกล่าว จึงสามารถนำกราฟีนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ทั้งวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หมึกนำไฟฟ้า จอภาพแบบสัมผัส ที่สามารถโค้งงอได้ โทรศัพท์มือถือ และชิปคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง เซ็นเซอร์ตรวจวัด แบตเตอรี่และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานหรือโซลาร์เซลล์ ส่วนเทคโนโลยีอันดับ 4 และ 5 อยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์เช่นกันคือ จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer) และพลาสติกฐานชีวภาพ (Future Bio-based Plastics) โดยจีโอพอลิเมอร์ เป็นวัสดุจำพวกอะลูมิโนซิลิเกต ที่มีสมบัติทางกลดีมาก ทนไฟ และทนทานต่อสารเคมี สามารถนำของเสียและของเหลือใช้ เช่น เถ้าถ่านหิน เถ้าแกลบหรือดินขาวเผา มาเป็นวัตถุดิบ ปัจจุบันมีการนำวัสดุจีโอพอลิเมอร์ มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานตกแต่งและอนาคตอาจจะมีการนำไปพัฒนาเป็นเซรามิกส์ที่ไม่จำเป็นต้องเผาที่ อุณหภูมิสูงอีกต่อไป สำหรับพลาสติกฐานชีวภาพหรือพลาสติกชีวภาพ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากกระบวนผลิตพลาสติกที่ สังเคราะห์จากปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ โดยเป็นพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ มีทั้งแบบทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ หรือใช้สารตั้งต้นที่ไม่ได้มาจากวัตถุดิบที่เป็นปิโตรเลียม เทคโนโลยีอันดับที่ 6 มาจากสาขา พลังงานสะอาด คือ เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง ชนิดรอยต่อแบบเฮเทอโร (High efficiencyheterojunction solar cells) ซึ่ง เป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเซลล์ผลึก ซิลิคอนทั่วไป มีค่าสัม ประสิทธิ์อุณหภูมิต่ำ สามารถใช้งานกับที่มีอุณหภูมิสูง ๆได้ดี จึงเหมาะกับประเทศไทย ส่วนอันดับ 7 จากสาขาเดียวกันนี้คือ การพัฒนาเอทานอลจากวัสดุเซลลูโลส (Cellulosic biofuel) เช่น เศษวัสดุการเกษตร พืช/ไม้โตเร็ว เป็นทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์เรื่องการขาดแคลนพลังงาน ปัญหาโลกร้อน และข้อขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงพืชอาหารเพื่อผลิตพลังงานในปัจจุบันได้ เทคโนโลยี ที่น่าจับตามองอันดับ 8-10 มาจากสาขาด้านสุขภาพที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องและใกล้ตัวเรามากที่สุด โดยอย่างแรกก็คือ จี โนมิกส์ส่วนบุคคล (Personal Genomics) หรือเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ โดยใช้เทคนิคการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรม ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก หลังจากที่มีการหาลำดับสารพันธุกรรมในจีโนมิกส์มมนุษย์สำเร็จ ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการหาลำดับเบสถูกลง จนคาดว่าจะเหลือประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน1-3 ปีข้างหน้า ทำให้การค้นหายีนส์ความเสี่ยงการเกิดโรคเพื่อการรักษาในระดับบุคคลมีความ เป็นไปได้มากขึ้น เทคโนโลยีต่อมาก็คือ ระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน (Drug Delivery System หรือ DDS) เนื่อง จากอุตสาหกรรมยาต้องใช้การลงทุนสูงและมีความเสี่ยงทำให้การค้นหาตัวยาใหม่ ๆ มีน้อยลง บริษัทผู้ผลิตจึงหันไปหาเทคนิคใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยาที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน จะช่วยให้การนำส่งยานั้นไปสู่ต้นตอของโรคได้ดีขึ้น สามารถควบคุมการปลดปล่อย หรือเพื่อให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกับการรักษาโรคมะเร็ง ที่จะทำให้เกิดอาการข้างเคียงน้อยที่สุด และสุดท้ายเทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 10 ก็คือ อวัยวะซ่อมเสริมเติมสร้าง (Artificial Organ) ซึ่ง ถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แบบสุด ๆ ที่ ดร.ทวีศักดิ์ บอกว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น แต่คนสูงอายุหรือผู้พิการย่อมมีความเสื่อมถอย หรือสูญเสียอวัยวะ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องสร้างอวัยวะเทียมขึ้นมาทดแทน ทั้ง นี้การสร้างอวัยวะเทียมนั้นมี 3 แนวทางก็คือ 1. การสร้างจากสารอนินทรีย์ เช่น หัวใจเทียม หรือมือเทียมที่สามารถทำงานได้ดี 2. การปลูกเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ บนโครงสร้างที่สามารถสลายตัวได้ภายหลัง ซึ่งล่าสุดคณะแพทย์ในสวีเดนได้ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดนำหลอดลมที่ใช้ สเต็มเซลล์ให้กับผู้ป่วย และ 3. การใช้อุปกรณ์ไฮเทคทดแทนอวัยวะจริง เช่น โครงกระดูกภายนอกที่ใช้ระบบไฮดรอลิกร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้คนสามารถ ยกน้ำหนักที่มาก ๆ ได้อย่างสบาย หรือชุดสูทหุ่นยนต์ที่ออกแบบให้กับผู้พิการแขนขาให้สามารถใช้งานได้เหมือน เป็นของจริงโดยรับคำสั่งตรงจากกล้ามเนื้อของผู้ใช้เอง และนี่ก็ คือ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ซึ่งเชื่อว่าอนาคตอันใกล้ และก้าวต่อไปของการใช้ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์ คงหลีกหนีเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่พ้นอย่างแน่นอน!!!. ที่มา http://www.green.in.th/blog/discovery/2651 www.dailynews.co.th
9 คำถามยอดฮิต ของเด็กที่คิดเข้าวิทย์คอม
1. วิทยาการคอมกับวิศวะคอมต่างกันยังไง ?   คำถามยอดฮิต ติดชาร์ทต้นๆ พอๆกับ โตขึ้นหนูจะเป็นอะไรเลยทีเดียวครับ วิทยาการคอมต่างกับวิศวะตรงที่ว่า วิศวะเขาจะเรียนด้าน hardware ลึกกว่าวิทยาการคอมมาก ส่วนวิทยาการคอมนั้น จะเน้นไปทางด้านเขียน วิเคราะห์ พัฒนาโปรแกรมมากว่าครับ ส่วนเรื่องคะแนนสอบเข้านั้นก็แน่นอนครับ วิศวะสูงมากๆ วิทยาการคอมเมื่อปีที่แล้วรู้สึกว่าจะตกมาอยู่ที่ 6100 แล้วมั้ง   2. วิทยาการคอมเรียนอะไรบ้าง ? อย่างที่บอกครับ คือจะเน้นไปทางด้านเขียน วิเคราะห์ และพัฒนาโปรแกรมซะส่วนใหญ่ และค่อนข้างจะเน้นทฤษฎี ปฏิบัติส่วนใหญ่จะให้นิสิตไปศึกษาเอาเอง (ซึ่งมาแบบนี้เมื่อไหร่มักจะเจอของหนักทุกที ) ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน ComSci-Series ด้านบนครับ   3. ชอบเล่นเกมเข้ามาเรียนจะดีไหม ? หลายๆคนมักจะโดนจับเข้าวิทยาการคอมเพราะชอบเล่นเกมบ่อยๆ ซึ่งประมาณ 20% ของภาคมักจะเข้ามาเพราะสาเหตุนี้ ซึ่งถ้าถามว่าเรียนได้ไหม อันนี้มันแล้วแต่คนนะ ถ้่าเข้ามาแล้วเล่นเกมอย่างเดียวไม่เรียนเลยก็ไม่แนะนำเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าเข้ามาเพราะอยากสร้างเกมให้เหมือนที่เคยเล่นล่ะก็... ก็อย่างที่บอกข้างต้นล่ะครับ ว่าที่นี่สอน เขียน วิเคราะห์ และพัฒนาโปรแกรม ไม่ได้ใช้โปรแกรม   4. เรียนเลขเยอะไหม ? เยอะครับ เยอะมาก เพราะว่าสาขานี้อยู่ในภาควิชาคณิตศาสตร์ครับ เรียนจนบางทียังคิดเลยครับว่า นี่เราเรียนคอม หรือเรียนเลขกันแน่เนี่ย แต่วิชาที่เรียนไปก็ได้ใช้หมดนะครับ แต่ไม่ได้ใช้โดยตรง จะเอาไปประยุกต์มากกว่า ถ้าถามต่อไปว่า ไม่เก่งเลขเรียนได้ไหม ก็น่าจะได้นะครับ แต่ว่าต้องขยันเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ที่เรียนก็เก่งๆเลขกันทั้งนั้น   5. เรียนเขียนแต่โปรแกรมหรือเปล่า มีแยกสาขาไหม ? เรียนวิทยาการคอมไม่ได้มีแต่เขียนโปรแกรมนะครับ ถึงแม้ว่าจะเรียนเขียนโปรแกรมถึง 2 เทอม แต่ก็ยังมีวิชาวิเคราะห์อีกมากมายที่ไม่ต้องแตะคอมเลยก็มี (ยกเว้นตอนนำเสนอโปรเจค ) ส่วนสาขาที่เรียนนั้นจะมีอยู่ประมาณ 5 สาขาหลัก คือ Database AI Graphic Network และ วิเคราะห์จัดการระบบ ครับ ซึ่งถ้าสนใจเรียนด้านไหนก็แค่ลงวิชานั้นๆ ไม่ต้องเลือกสายให้วุ่นวายครับ *** สาย Graphic ไม่ได้เรียนใช้โปรแกรมพวก PhotoShop นะครับ แต่เรียนเขียนโปรแกรม สร้าง วิเคราะห์ และปรับปรุงภาพซะมากกว่า ***   6. ชอบเขียนเว็บ แต่งเว็บ อะไรพวกนี้เข้าดีไหม ? เอ่อ ตั้งแต่เรียนมาเนี่ย ยังไม่เคยเจอวิชาเขียนเว็บเลยนะ แต่บางครั้งก็ต้องใช้เวลานำเสนอโปรเจค หรือทำงานส่งบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่าเขียนโปรแกรม แต่พวกที่ชอบเขียนเว็บ ก็อาจจะ มีพื้นฐานด้านการเขียนโปรแกรมบ้าง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา... มั้ง   7. ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมเลย แต่อยากเข้า จะเรียนไหวไหม ? ไหวครับ ถ้าขยันที่จะเรียนรู้ เพราะผมเองก็ไม่ได้เก่งเขียนโปรแกรมอะไร เรียกว่า ไม่เคยเขียนโปรแกรมเลยดีกว่า แต่ก็เรียนได้นะครับ   8. จบแล้วไปทำอะไร ? อันนี้ไม่สามารถบอกได้ครับ เพราะยังไม่จบ แต่จากที่รุ่นพี่จบไปแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง บางคนก็ไปเป็นผู้วิเคราะห์ระบบ เป็นคนพัฒนาโปรแกรม บางคนก็เป็นเว็บมาสเตอร์ก็มี แต่จริงๆแล้วการเรียนสายวิทยาการคอมคือเรียนเพื่อเป็นนักวิจัยและพัฒนา (ก็มันอยู่คณะวิทยาศาสตร์นี่เนอะ) แต่ก็นะครับ   9. แล้วสาขานี้ต่างกับพวก IT ยังไง ? ต่างกันครับ IT จะใช้ โปรแกรม อาจจะมีเขียนโปรแกรมบ้าง แต่วิทยาการคอม เรียนเพราะสร้างและวิเคราะห์โปรแกรมครับ ถ้าใครชอบแต่งเว็บ แต่งภาพ ใช้โปรแกรมเยอะๆ IT ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจครับ และยังสามารถได้เรียนภาษาต่างๆเพิ่มมากขึ้นด้วย (เพราะวิทยาการคอมจะเรียนหลักๆแค่ 2-3 ภาษา ที่เหลือมักจะให้ไปศึกษาเอง)   เพราะฉะนั้น ใครจะเข้าวิทยาการคอมก็คิดดีๆนะครับ การเข้าในสิ่งที่ตัวเองชอบถือเป็นสิ่งที่ดี แต่การหาข้อมูลว่าสาขาที่ชอบนั้น ตรงกับที่เราชอบจริงไหม ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่านะครับ   ไปอ่านหนังสือต่อดีกว่า ชิ่ววววววว....     ขอขอบคุณ บทความดีดีจาก spellofmagic.exteen.com
เคล็ดลับบำรุงสมองให้จำแม่นขึ้น
ในช่วง นี้น้องๆหลายๆคนกำลังเข้าสู่การเตรียมตัวสอบFinal หรือเตรียมตัวสอบเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย ปุ๋มปิ๋มจะมาเผยเคล็ดลับในการบำรุงสมองที่ช่วยในส่วนของการจำรายละเอียด ต่างๆให้ดีขึ้น ด้วยการ กิน!! อาหารที่มีประโยชน์และที่อาหารที่สมองต้องการ มีดังนี้ ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าสมองต้องการสารอาหารอะไรบ้างที่ช่วยในการจำ!! + วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 ไนอะซิน แพนโธทีนิคและกรดโฟลิค เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน และความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ - วิตามิน B1 มีมากในเมล็ดข้าวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขัดให้ขาว เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู ตับ ถั่ว รำข้าว และยีสต์ที่ตายแล้ว - วิตามิน B2 พบในอาหารประเภท เครื่องใน เช่น ตับ ไต (เซี่ยงจี๊) น้ำนม และนมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) ผักใบเขียว และ ปลา - วิตามิน B6 มีในปลา เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ กล้วย ลูกพรุน ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดขาว อะโวคาโด ข้าวโพด - วิตามิน B12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารทะเล นมและผลิตภัณฑ์จากนม เนยแข็ง - ไนอะซิน หรือ กรดนิโคตินิก หรือเรียกอีกอย่างว่า วิตามินB3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีสภาพคงทนกว่าวิตามินบี 1 และ บี 2 หลายเท่าตัว มีความทนทานต่อความร้อน แสงสว่าง กรด ด่าง ไนอาซินเป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน พบมากในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่ว เครื่องในสัตว์ มันฝรั่ง ธัญพืช นม ยีสต์ ไข่ ผักสีเขียว - แพนโธทีนิค หรือ วิตมินB5 ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาระดับพลังงาน และลดความเครียด พบมาใน นมผึ้ง บริเวอรส์ยีสต์ ตับและไต นัต ธัญพืชไม่ขัดขาวและไข่ - กรดโฟลิก มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ช่วยให้โครงสร้างสมองสมบูรณ์ ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลและโปรตีน และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ เห็ด ตับ ถั่วที่มีสีเขียว มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลมีล ส้ม ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ตับ นม ไข่ โยเกิร์ต + ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ เครื่องใน อาหารทะเล โคลีน เป็น องค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม พืชที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว ** มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล **ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้ารู้กันเช่นนี้เราควรหาวิธีที่ช่วยบำรุงสมองที่เหนื่อยล้ากลับมาเฟรซอีก ครั้งด้วยอาหารที่มีคุณประโยชน์ดีๆเหล่านี้กันนะคะ และสำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือเร่งรีบจริงๆ เราก็สามารถหา เครื่องดื่มบำรุงสมอง ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมาดื่มในช่วงเช้าก่อนทานอาหารเช้าทุกวันนะคะ และที่สำคัญที่สุด การพักผ่อนนอบหลับเป็นวิธีบำรุงสมองชั้นเยี่ยมเลยทีเดียวจ๊า ^^ Credit http://www.thoondd.com/content.php?id=952
10 วิธีหนี สมองเสื่อม
"สมอง" อวัยวะที่เป็นศูนย์บัญชาการสั่งการการทำงานของคนเรา ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอวัยวะสุดสำคัญ ต้องรักษากันไว้ให้ดี อย่าให้เสื่อมไปก่อนวัยอันควร ถึงแม้กระทรวงสาธารณสุขจะบอกว่าแนวโน้มของผู้สูงอายุไทยจะเป็นโรคสมองเสื่อม ในอีก 20 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรวางใจปล่อยปละละเลย "ต้นคิด" จดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กระซิบบอกเคล็ดวิธีในการถนอมสมอง ด้วยการสร้าง 10 ลักษณะนิสัยสู้ภัยสมองเสื่อมมาให้ โดยบอกว่า ข้อแรก ให้ กินอาหารเช้าเป็นกิจวัตร เพราะจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ และมีสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ ข้อสอง ต้อง กินอาหารแต่พอดี ไม่มากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ทำให้เกิดโรคความจำสั้น ข้อสาม ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากผลวิจัยยืนยันว่า การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่เป็นเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อ แต่ยังทำให้เสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือ "สมองเสื่อม" อีกด้วย ข้อสี่ ลดของหวาน การกินของหวานไม่เพียงทำให้อ้วน แต่ยังกระทบต่อสมองอีกด้วย ถ้ากินของหวานมากเกินพอดีจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง ข้อห้า หลีกให้ไกลมลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลต่อประสิทธิภาพสมองลดลง ส่วนข้อหกและข้อเจ็ด เกี่ยว กับการนอน คือ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่นอนคลุมโปง การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย ส่วนนอนคลุมโปงจะลดออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้น้อยลง ข้อแปด ไม่ใช้สมองในยามป่วย การฝืนสังขารไม่เกิดผลดี กลับจะทำให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง เหมือนทำร้ายสมองไม่รู้ตัว ส่งผลต่อสมรรถภาพการทำงานของสมองในระยะยาว ข้อเก้า บริหารสมองเป็นนิจ คิดในเรื่องสร้างสรรค์ ไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย หรือคิดในทางลบ ข้อสุดท้าย พูดคุยสังสรรค์กับผู้คน เพราะการพูดเป็นตัวแสดงประสิทธิภาพสมอง เนื่องจากต้องคิดต้องขบประเด็น ที่จะสื่อสารต่อยอดการสนทนา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตา "เม้าท์" นินทาว่าร้ายคนอื่น สิบข้อง่ายๆ คงพอจะช่วยให้ห่างไกลจาก "สมองเสื่อม" ได้บ้างตามสมควร. Credit ไทยรัฐ
University of Liverpool มหาวิทยาลัยชื่อเสียงระดับโลก อันดับ 29 ของอังกฤษ
The University of Liverpool เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งของอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมือง Liverpool ห่างจาก London ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มหาวิทยาลัยติดอยู่ในอันดับ 29 ของอังกฤษ และมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านของ Environmental และ Law Liverpool International College มีโปรแกรมรองรับนักเรียนต่างชาติ เพื่อเข้าศึกต่อปริญญาตรีและปริญญาโทของ University of Liverpool ดังนี้ Foundation Certificate (เพื่อศึกษาต่อป.ตรี มีคะแนน IELTS ขั้นต่ำ 4.0) Business Pathway BA (Hons) Accounting BA (Hons) Economics BA (Hons) International Business BA (Hons) Law and Business BA (Hons) Marketing Law and Social Science Pathway BA (Hons) Communication, Media & Popular music BA (Hons) Environmental and Planning BA (Hons) Geography BA (Hons) Politics BA (Hons) Sociology LLB (Hons) Law Maths and Social Science Pathway BA (Hons) Mathematics with Finance BA (Hons) Mathemetics with Philosophy BA (Hons) Mathmetics with Statistics Graduate Diploma (เพื่อศึกษาต่อป.โท มีคะแนน IELTS ขั้นต่ำ 5.0) Business Pathway MBA Business Finance & Management MBA General Management MSc Human Resource Management MSc Management Law Pathway LLM International Law LLM Law LLM International Business Law Social Science Pathway MA International Relations and Security MA Philosophy MA Politics and the Mass Media MA Population Studies http://www.cpinter.co.th/about_country.php?c=59&id=4
รู้แล้ว7 วิชาสามัญสอบวันไหนบ้าง
 ตารางสอบเก่าๆ อย่าง GAT/PAT ตุลาคม ยังไม่ทันได้ผ่านพ้นไป ตารางสอบใหม่น่ารักน่าชังก็เข้ามาเพิ่มความกดดันให้น้องๆ แล้ว ถ้ามองกันในแง่ร้าย ก็คงคิดว่าอะไรมากมายเนี่ย ปวดหัว ปวดตับไปหมดแล้ว แต่ถ้ามองในแง่ดี น้องๆ ก็จะได้แบ่งเวลาเตรียมตัวได้ถูกต้องไงล่ะ พี่มิ้นท์เชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com น่าจะเป็นคนกลุ่มหลังนะ ฮ่าๆ (ฮั่นแน่ะ!! ได้ยินเสียงแว่วๆมาว่า "ใช่ซะที่ไหน" 555)            ตารางสอบ 7 วิชาสามัญที่น้องๆ รู้มาก่อนหน้านี้ ก็จะรู้แค่ว่า สอบวันที่ 7-8 มกราคม แต่รายละเอียดว่าวันไหนสอบอะไรยังไม่รู้ใช่มั้ยคะ ตอนนี้ สทศ. ประกาศมาละละแล้วววว!!            การสอบวิชาสามัญ 7 วิชา มีทั้งหมด 2 วันค่ะ คือ 7 และ 8 มกราคม 2555             วันที่ 7 ม.ค. 2555           08.30 - 10.00 น. วิชาสังคมศึกษา           11.00 - 12.30 น. วิชาคณิตศาสตร์           13.30 - 15.00 น. วิชาฟิสิกส์           15.30 - 17.00 น. วิชาภาษาไทย          วันที่ 8 ม.ค. 2555           08.30 - 10.00 น. วิชาภาษาอังกฤษ           11.00 - 12.30 น. วิชาเคมี           13.30 - 15.00 น.  วิชาชีววิทยา          ค่าสมัครสอบ วิชาละ 100 บาท สามารถเลือกสอบได้ ไม่จำเป็นต้องสอบครบทุกวิชา มีเวลาทำข้อสอบวิชาละ 1 ชั่วโมง 30 นาทีถ้วน จากตารางที่ออกมา ส่วนตัวแล้วพี่มิ้นท์ว่าวันแรกสอบหนักไปนะ ไม่น่าจัดคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ไว้ด้วยกัน สงสัยงานนี้โดนดูดสมอง ไม่รู้จะเหลือแรงไว้ทำภาษาไทยรึป่าวอะสิเนี่ย ><!! แต่เอาเป็นว่าสู้ๆ ละกันนะคะน้องๆ          สำหรับการสมัครและเลือกจังหวัดที่ไปสอบ จะเปิดรับสมัครกันในวันที่ 1-30 ต.ค. นี้ ทางเว็บไซต์ www.niets.or.th ซึ่งอาจจะมีข่าวร้ายกับน้องๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดหน่อยนะ เพราะว่าสนามสอบนั้นเปิดเพียงแค่ 4 จังหวัดในแต่ละภาค คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลา ส่วนจะเปิดจังหวัดละกี่สนามสอบ ต้องรอดูต่อไป แต่ถ้าประกาศแล้วจะรีบมาบอกเลยค่า          ย้ำ!! นะคะ ไม่จำเป็นต้องสอบทั้ง 7 วิชา ใช้วิชาไหนสอบวิชานั้นก็พอ ส่วนจะรู้ได้ยังไงว่าต้องสอบวิชาไหนบ้าง สามารถดูได้ในระเบียบการของแต่ละคณะค่ะ เพราะเค้าจะชี้แจงเอาไว้ว่าใช้องค์ประกอบใดบ้าง ส่วนตารางสอบที่นำมาบอกกันวันนี้ อย่าลืมกลับไปโน้ตเพิ่มในตารางชีวิตของน้องๆ ด้วยนะ สงสัยว่างานนี้จะไม่ได้เที่ยวปีใหม่ซะแล้วม้างง ><            ปิดท้ายกันนิดหน่อย ใครที่ยังไม่รู้ว่าสอบวิชาสามัญ 7 วิชาคืออะไร เป็นยังไง จะเตรียมตัวยังไง หาอ่านได้ในหนังสือแอดมิชชั่นขั้นเทพได้เลย เพราะอัพเดทข้อมูลล่าสุดของแอดมิชชั่น55 ไว้แน่นเอี้ยด รับรองว่าอ่านเล่มเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ซึ่งตอนนี้ขายดีมาก!! ใครยังไม่รีบจับจอง ช้าหมดอดจริงๆ นะ ดูรายละเอียดและสั่งซื้อได้ ที่นี่ ขอขอบคุณ : http://www.dek-d.com/
ม.6 อ่านด่วน ชัดเจนแล้วระบบ
  ขอขอบคุณ : http://www.dek-d.com/ มีมาให้เด็กแอดฯ 55 ได้ตื่นเต้นตลอดสำหรับระบบการศึกษาไทย พี่มิ้นท์ ว่าตอนนี้ก็มีน้องๆ ที่ยังคงไม่เข้าใจว่า "รับตรง" และ "รับตรงกลาง" หรือเคลียริ่งเฮ้าส์ มันแตกต่างกันยังไง แล้วที่แต่ละมหาวิทยาลัยออกกำหนดการรับนักศึกษามานี่ ระบบไหนกันแน่ ?? วันนี้น้องๆ น่าจะได้เข้าใจกันมากขึ้น (รึป่าว) มาดูกันต่อเลยค่ะ !!           ตอนนี้ได้มีผลสรุปเบื้องต้นเรื่องรับตรงร่วมกัน จากที่ประชุมอธิการอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แล้วว่า สทศ.จะเป็นผู้จัดสอบในเดือน ม.ค. 2555 ส่วนวิชาก็จะมีทั้งหมด 7 วิชาตามที่รู้กัน โดยคะแนนจะเอาไปยื่นในการคัดเลือกโครงการรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของแต่ละคณะ สถาบันนั้นจะเป็นผู้กำหนดเองค่ะ ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มตามเกณฑ์การรับสมัครได้คร่าวๆ 6 กลุ่ม พอให้ได้มึนกันนิดหน่อย ดังนี้            กลุ่มแรก จะใช้คะแนนจากการสอบ 7 วิชา + จัดสอบเอง + GAT/PAT เป็นเกณฑ์พิจารณา   เช่น หลายๆ คณะของการรับตรงแบบปกติของจุฬาฯ            กลุ่มที่สอง จะใช้คะแนนจากการสอบ 7 วิชา + GAT/PAT เป็นเกณฑ์พิจารณา เช่น โควตารับตรง โควตาพิเศษ ม.ศิลปากร             กลุ่มที่สาม จะใช้คะแนน GAT/PAT + จัดสอบเอง เช่น โครงการรับตรงของ ม.ขอนแก่น ที่จะมีการจัดสอบเองในเดือน ต.ค. และพิจารณาคะแนน GAT/PAT เดือน ต.ค.ประกอบด้วย เช่น โครงการรับตรงคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแบบปกติ ของจุฬาฯ, โครงการรับตรง คณะพยาบาลศาสตร์ ม.สุรนารี               กลุ่มที่สี่ จะใช้คะแนน GAT/PAT พิจารณาเพียงอย่างเดียว เช่น โครงการรับตรงแบบปกติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ             กลุ่มที่ห้า ดำเนินการจัดสอบและรับนักศึกษาเอง เช่น โครงการรับตรงทั่วประเทศและโควตา 17 จังหวัดภาคเหนือของ ม.แม่ฟ้าหลวง, โครงการรับตรงคณะวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม(บางสาขา) ม.ศิลปากร, โครงการรับตรง มศว, โครงการรับตรงคณะแพทยศาสตร์  ม.ขอนแก่น             กลุ่มที่หก ใช้คะแนนจากการสอบ 7 วิชาในเดือน ม.ค.55 + จัดสอบวิชาเฉพาะเอง เช่น การรับนักศึกษาคณะแพทย์ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.)             จากกลุ่มด้านบนนี้ หากคณะในฝันของน้องๆ คนไหน ระบุไว้ว่าต้องใช้คะแนนจากการสอบ 7 วิชาในเดือนมกราคม 55 น้องๆ ก็สามารถสมัครสอบ 7 วิชานี้ ได้ในวันที่ 1-30 ตุลาคม ผ่านทางเว็บไซต์ของ สทศ. วิชาละ 100 บาท ซึ่งจะมีการจัดสอบในวันที่ 7-8 ม.ค. สำหรับผลสอบสามารถใช้ได้เพียง 1 ปีเท่านั้นค่ะ             ซึ่งการรับตรงทั้ง 6 รูปแบบนี้ ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องมายืนยันสิทธิ์ในวันเดียวกันประมาณวันที่ 11-17 มีนาคม 55 ซึ่งตรงนี้แหละ น้องๆ ไม่ว่าจะสอบตรงติดที่ไหน ก็จะสามารถเลือกได้เพียงแค่ 1 อันดับเดียวเท่านั้น หากมหาวิทยาลัยไหนมีที่นั่งเหลือจากการยืนยันสิทธิ์ ก็จะเพิ่งที่นั่งในรอบแอดมิชชั่นกลางต่อไป และรายชื่อน้องๆ ที่ยืนยันสิทธิ์ก็จะถูกส่งไปตัดสิทธิ์แอดมิชชั่นกลางพร้อมกันอีกด้วย               เอาล่ะค่ะ เห็นแบบนี้แล้ว น้องๆ ควรติดตามข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประกาศรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิดด้วยนะ เพราะนี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่ยังคงมีการถกเถียงเรื่องเกณฑ์พิจารณาอยู่ จึงยังไม่มีผลสรุปรายชื่อมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมในระบบนี้อย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
เปิดแล้ว โปรแกรม Dek-D ค้นหารับตรง 55
 สวัสดีครับ.. เย้ เย้ เปิดให้ใช้กันแล้ววันนี้ สำหรับของเล่นใหม่ประจำเว็บ Dek-D ที่มาเอาใจวัยโจ๋เพื่อเด็ก ม.6 โดยเฉพาะกับ “โปรแกรมค้นหารับตรง 55” เครื่องมือใหม่ ที่จะช่วยให้น้องๆ ค้นหาข่าวสารรับตรงได้ก่อนใคร ว้าวๆ O_O                ว่าแต่ “โปรแกรมค้นหารับตรง 55” มันมีหน้าตาเป็นแบบไหน และใช้อย่างไร วันนี้ พี่ลาเต้ มาอัพเดท How To วิธีเล่นให้รู้กันแล้วครับ เชื่อไหมว่า ??? แค่กด 3 คลิกเบาๆ พวกเราก็รู้ข่าวรับตรงที่ต้องการแล้ว โอ้วว งั้นไปดูวิธีเล่นกันเลยยย เย้ เย้    Step 1 เข้าโปรแกรม มาทางนี้เลย               คลิกไปที่ URL นี้เลย www.dek-d.com/admission/direct จากนั้นก็จะพบหน้าเว็บสีส้มสวยงามตามรูปด้านล่างนี้ ก่อนเริ่มทำการค้นหาก็อ่านรายละเอียด หรือวิธีใช้ที่บอกไว้ได้เลย จากนั้นก็เลื่อนลงไปค้นหารับตรงได้ทันที !!          Step 2 ค้นหาตามใจสั่ง !! อยากเรียนที่ไหน คณะอะไร อาชีพแบบไหน มีให้เลือก               ได้เวลาทำการค้นหากันแล้ว เพราะระบบของเราข้อมูลรับตรงที่เก็บไว้ในคลังนั้นเยอะมากกกก หากจะอ่านหมดก็คงตาลายไปซะก่อน O_O ดังนั้น จุดเด่น และข้อดีของโปรแกรมนี้ จึงอยู่ที่น้องๆ สามารถเลือกค้นหาข่าวรับตรงได้ตามที่ต้องการล้วนๆ โดยมี 4 รายการให้เลือกทั้งมหาวิทยาลัย, คณะ,คุณสมบัติ และอาชีพที่อยากทำ               ว่าแล้วก็ลองไปเลือกค้นหากันเลยครับ ซึ่งพี่ๆ มีข้อมูลในระบบที่รอแสดงผลครอบคลุม 23กลุ่มคณะ 94 มหาวิทยาลัย และ 82 อาชีพในฝันเชียวนะ อลังการสุดเท่าที่มีอยู่ตอนนี้เลยล่ะ อิอิ          Step 3 แสดงผลแล้วจ้า               วินาทีตื่นเต้นได้มาถึงแล้ว กับการแสดงผลที่อัจฉริยะครบถ้วน และแม่นยำที่สุดใน 3 โลก (ถูกใจเด็ก ม.6 แน่ๆ) เพราะมีข้อมูลบอกแบบละเอียดยิบ ตั้งแต่คณะที่เปิดรับ จำนวนรับ นับถอยหลังวันหมดอายุ วิธีการคัดเลือก ระเบียบการ ไปจนถึงเรียนจบคณะนี้แล้วทำอาชีพอะไรได้บ้าง ว้าววว              ว่าแล้ว เราไปดูรูปแสดงผลกันเลย   เมื่อค้นหาเสร็จ ระบบจะแสดงผลแบบนี้ เด็ดสุดๆ     หากรับตรงของมหา'ลัยใด ปิดรับสมัครไปแล้ว โปรแกรมก็จะแจ้งตามนี้เลย     โปรแกรมจะบอกด้วยว่า คณะนี้เรียนจบไป ไปทำงานในอาชีพอะไรได้บ้าง ว้าววว                 เอาล่ะครับ ได้ทราบวิธีการใช้งาน “โปรแกรมค้นหารับตรง 55” กันแล้วนะครับ พี่ลาเต้ ก็ขอให้น้องๆ ใช้งานกันให้สนุกสนาน และเก็บประโยชน์ข่าวสารรับตรงไปให้เยอะที่สุดเลยนะคร้าบบ และที่สำคัญอย่าลืมชวนเพื่อนๆ ครูแนะแนว หรือผู้ปกครองมาใช้งานได้เลยนะครับ จะได้รู้ทันข่าวสาร และไม่พลาดรับตรงคณะในฝันของพวกเรานั้นเอง             ว่าแล้วก็ไปใช้ “โปรแกรมค้นหารับตรง 55” กันได้เลย คลิกที่นี่ ขอให้สนุกกับการใช้งาน และติดรับตรงตามคณะในฝันทุกคนเลยนะคร้าบบ สู้ๆ ^___^  
พื้นที่น้ำไม่ไหล-น้ำประปาไหลอ่อน
ลำดับ วันเวลาปฎิบัติงาน วันเวลาที่เสร็จ ขนาดท่อ จุดปฎิบัติงาน สถานที่/บริเวณที่เกิดผลกระทบ สาเหตุ พื้นที่สาขา 1 23 ต.ค. 2554 22:30 น. 24 ต.ค. 2554 04:30 น. 300 PVC ถนนประชาราษฎร์สาย 1จุดงานแยกบางโพธิ์ ตรงปากซอย 12 (ซอยอาทร)(เปิดปกติ) น้ำไม่ไหลตั้งแต่สี่แยกบางโพธิ์ ถึง ซอย 10 ท่อแตก ประชาชื่น 2 24 ต.ค. 2554 23:45 น. 24 ต.ค. 2554 01:00 น. 300 ST ถนนชายทะเลบางขุนเทียน จุดงานปากซอย 19 (เปิดน้ำปกติ) น้ำไม่ไหล ถนนชายทะเลบางขุนเทียน ซอย19 ถึงคลองบางขโมย ท่อแตก ตากสิน 3 24 ต.ค. 2554 07:30 น. 24 ต.ค. 2554 11:00 น. 300 PVC ถนนสุขุมวิท จุดงานปากซอย 55 น้ำไม่ไหลตั้งแต่ซอย 53 ถึงซอย 63 ท่อแตก สุขุมวิท 4 25 ต.ค. 2554 23:59 น. 26 ต.ค. 2554 05:00 น.   การไฟฟ้านครหลวงจะดำเนินการดับไฟที่โรงสูบจ่ายน้ำลุมพินี เพื่อบำรุ่งรักษาสายส่ง น้ำไม่ไหล ถนนสาทรเหนือ และสาทรใต้ ,ถนนพระราม 4 ตั้งแต่ทางด่วน ถึง หัวลำโพ ,ถนนอังรีดูนังค์ ,ถนนจันทร์ ,ถนนสวนพลู ,ถนนนางลิ้นจี่ ,ถนนสาธุประดิษฐ์ ,ถนนพระราม 3 ,ถนนเจริญกรุง จากถนนสี่ลม ถึง ถนนพระราม 3 ,ถนนสีลม ,ถนนสี่พระยา ,ถนนราชดำริ จากถนนพระราม 4 ถึง ถนนพระราม 1 ,ถนนราชดำริ หยุดโรงสูบน้ำ/โรงงานผลิตน้ำ ทุ่งมหาเมฆ,แม้นศรี 5 25 ต.ค. 2554 22:00 น. 26 ต.ค. 2554 03:00 น.   ทดสอบ Step Test ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนจรัญสนิทวงศ์ น้ำไม่ไหล บริเวณคลองมอญ ,ซอยจรัญสนิทวงศ์ 86/2 ถึง คลองบางพลัด Step Test บางกอกน้อย 6 25 ต.ค. 2554 22:00 น. 26 ต.ค. 2554 04:00 น. 900 มม. ตัดบรรจบท่อประธานขนาด 900 มม. ที่วางใหม่ บริเวณงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงเตาปูน ถึง ท่าพระ) ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 81 และซอย 77 น้ำไหลอ่อน ตั้งแต่บริเวณสะพานพระราม 7 ถึง แยกบางพลัด และในซอยแยกทั้งสองฝั่ง ตัดบรรจบท่อประปา บางกอกน้อย 7 25 ต.ค. 2554 22:00 น. 26 ต.ค. 2554 04:00 น.   ทดสอบ Step Test ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนวิภาวดีรังสิต น้ำไม่ไหล ทั้งหมู่บ้านธนินทร Step Test บางเขน 8 26 ต.ค. 2554 22:00 น. 27 ต.ค. 2554 03:00 น.   ทดสอบ Step Test ถนนบางขุนนนท์ ถนนบางขุนนนท์ น้ำไม่ไหล จากคลองชักพระ ถึง ถนนจรัญสนิทวงศ์ และคลองบางกอกน้อย ถึง คลองขุนอิน และคลองชักพระ Step Test บางกอกน้อย 9 27 ต.ค. 2554 10:00 น. 27 ต.ค. 2554 15:00 น. 300 มม. หน้าบริษัท นำแข็งบางเพรียง จำกัด ถนนปานวิถี ถนนปานวิถี ตั้งแต่บริษัทนำแข็งบางเพรียงถึงคลองกันยา ตัดบรรจบท่อประปา สมุทรปราการ 10 27 ต.ค. 2554 10:00 น. 27 ต.ค. 2554 15:00 น. 300 มม. ซอยไทยประกันซอย5 ถนนเทพารักษ์ ซอยไทยประกันซอย 1-7 ถนนเทพารักษ์ ตัดบรรจบท่อประปา สมุทรปราการ 11 31 ต.ค. 2554 22:00 น. 1 พ.ย. 2554 03:00 น.   ทดสอบ Step Test ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนจรัญสนิทวงศ์ น้ำไม่ไหล จากคลองบางพลัด ถึง ถนนราชวิถี และแม่น้ำเจ้าพระยา ถึง ถนนจรัญสนิทวงศ์ Step Test บางกอกน้อย   http://www.mwa.co.th/2010/ewt/mwa_internet/main.php?filename=NO_WATER
มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก 2010
 ในแต่ละปีจะมีหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ที่เก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาทั้งคุณภาพการศึกษา งานวิจัย  ฯลฯ ออกมาเปิดเผยผลการจัดอันดับ โดยปีนี้ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก (จาก Academic Ranking of World Universities ARWU) ได้แก่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยฮาร์วาร์ด ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แล้ว ที่น่าสนใจคือใน 10 อันดับแรกมีแค่ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่เท่านั้นคือ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ  Academic Ranking of World Universities (ARWU) เป็นองค์การที่จัดตั้งมาตั้งแต่ ปี 2003 เพื่อจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ซึ่งในการจัดอันดับก็จะมีข้อมูลหลายอย่างที่นำมาใช้เป็นตัวชี้วัด ดังนี้   - คุณภาพของการศึกษา  : ศิษย์เก่าของสถาบัน ได้รับรางวัลโนเบล หรือ รางวัลใดๆบ้าง - คุณภาพของคณะ : อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลโนเบล หรือ รางวัลใดๆบ้าง - ผลงานวิจัย : มีเอกสารผลงานวิจัยอะไรบ้าง , เอกสารงานวิจัยได้รับการอ้างอิงแค่ไหน - การปฏิบัติต่อผู้เรียน : ดูจำนวนนักวิชาการเต็มเวลา โดยหัวข้อการชี้วัดทั้งหมดก็จะมีหัวข้อย่อยลึกลงไปอีก เพื่อให้การจัดอันดับเป็นไปด้วยความยุติธรรม สำหรับปีนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน เพราะใน 500 อันดับที่ Academic Ranking of World Universities (ARWU) จัดอันดับมา ไม่มีมหาวิทยาลัยจากประเทศไทย แม้แต่มหาวิทยาลัยเดียวที่ ติดอันดับ -*- ไปดูกันดีกว่าว่ามหาวิทยาลัยไหน ติด Top 100 กันบ้าง!       * ถ้าสังเกตหรือวิเคราะห์ดีๆ ประเทศส่วนใหญ่ที่อยู่ดับอันดับต้นๆ ล้วนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเกือบทั้งสิ้น เพราะฉนั้นไม่น่าแปลกใจที่ประเทศเหล่านี้จะมีคุณภาพการศึกษาที่สูงกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา อย่างไรก็ตามนี่เป็นแค่การจัดอันดับของ ARWU จริงๆสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าคุณจะเรียนที่ไหนขอให้ตั้งใจ ทำจริง คิดว่าน่าจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.arwu.org/ARWU2010.jsp
คันกั้นน้ำกทม.จรัญ74/1แตกเร่งกู้แล้ว
ระทึกคันกั้นน้ำ กทม. เขตบางพลัด จรัญ 74/1 พัง น้ำทะลักเข้าถนน เร่งกู้ได้ทัน ชี้ เป็นพื้นที่ฟันหลอเจ้าของบ้านไม่ยอมให้ กทม. ทำกำแพงกั้น นางสาวสุรีย์ วัชนะประพันธ์ ผอ.เขตบางพลัด เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่าได้เกิดกำแพงบ้านของประชาชนที่อยู่ในแนวคันกั้นน้ำของกทม. ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 74/1 ได้พังลง ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมซอยดังกล่าวและไหลเข้าพื้นที่จราจรของถนนจรัญสนิทวงศ์ทางเขตได้ส่งเจ้าหน้าที่เร่งซ่อมกำแพงดังกล่าวแล้ว ล่าสุด ได้ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วโดยจุดดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นจุดฟันหลอของแนวคันกั้นน้ำ กทม.ที่เหลือยู่เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวไม่ยอมให้ กทม. เข้าไปทำคันกั้นน้ำ จึงเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น http://news.sanook.com/1064661/คันกั้นน้ำกทม.จรัญ74-1แตกเร่งกู้แล้ว/
แตกตื่น ภาพดาวเทียมอ้าง 2 มวลน้ำก้อนใหญ่ ล้อมรอบ กรุงเทพฯ
  ภาพถ่ายดาวเทียมที่อ้างจากการส่งต่อทางเฟซบุ๊ก ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ รายงานว่า ขณะนี้ทางโลกของระบบโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก   โดยเฉพาะทางเฟซบุ๊กได้มีการเผยแพร่และแชร์รูปภาพที่อ้างว่าเป็นการถ่ายจากภาพดาวเทียม  วันที่ 17 ตุลาคม  โดยแสดงให้เห็นถึงภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ ในสัญลักษณ์สีฟ้า   ที่เกิดขึ้นรอบบริเวณภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างภาคตะวันออก  รวมถึงภาคกลาง ซึ่งหลายจังหวัดประสบกับภาวะน้ำท่วมอย่างหนักอยู่ขณะนี้  โดยมีการส่งต่อกันมาเรื่อยๆ โดยระบุข้อความว่า  "ภาพถ่ายจากดาวเทียมล่าสุด 17 ตค. จะเห็นกลุ่มน้ำกลุ่มใหญ่ๆ ๒ กลุ่มเข้าล้อมรอบกรุงเทพมหานคร เรียบร้อยแล้ว" ทั้งนี้  เมื่อมีการโพสต์รูปภาพดังกล่าวจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ก็มีการส่งต่อรูปภาพดังกล่าวเผยแพร่(แชร์) ผ่านเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนที่ได้เห็นภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าว เกี่ยวกับมวลน้ำที่กำลังเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบที่มาที่ไปของภาพดังกล่าวก็พบว่า รูปภาพดังกล่าวน่าจะมีที่มาใกล้เคียงกับการเผยแพร่ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://ictgis.totidc.net/mict/ ซึ่งเป็นระบบบูรณาการข้อมูล กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (MICT)  ที่แสดงข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ ผ่านระบบบูรณาการข้อมูล  ที่เมื่อซุมเข้าไปเราจะเห็นพื้นที่ต่างๆ ที่ประสบกับภาวะน้ำท่วมในสัญลักษณ์สีฟ้า รวมถึงแสดงเส้นทางสัญจรของถนนต่างๆที่รถยนต์ไม่ว่าจะชนิดใดสามารถ หรือไม่สามารถใช้เส้นทางได้    ภาพเปรียบเทียบการอ้างภาพถ่ายจากดาวเทียม กับ ภาพจากระบบบูรณาการข้อมูล MICT   ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
สื่อนอกแฉ การจัดการน้ำห่วย ดาวเทียมล้าสมัย
 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก นำเสนอข่าวสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยโดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์จากรองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาที่ระบุว่าสาเหตุหนึ่งของสถานการณ์น้ำท่วมมากครั้งนี้มาจากอุปกรณ์เรด้าร์พยากรณ์อากาศที่ล้าสมัยทำให้ไม่สามารถพยากรณ์ความรุนแรงของพายุฝนหรือคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำได้ โดยบลูมเบิร์กยังระบุว่า มีการระบุว่าผู้รับผิดชอบละเลยที่จะปรับปรุงระบบเรด้าร์ตามการร้องขอจัดซื้อ ซึ่งนี่อาจส่งผลกระทบต่อน้ำท่วม   "งบประมาณที่กรมอุตุฯเสนอให้ปรับปรุงระบบเรดาร์ใช้งบฯราว 4,000 ล้านบาท โดยยกเครื่องระบบเรดาร์และระบบการจำลองแบบพยากรณ์อากาศซึ่งถูกเสนอต่อหน่วยงานรับผิดชอบตั้งแต่ พ.ศ.2552"นายสมชาย ใบม่วงรองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งเขาระบุด้วยว่าอุปกรณ์ใหม่จะช่วยให้การพยากรณ์แม่นยำขึ้นในช่วงฤดูฝน รวมทั้งสามารถให้ข้อมูลนี้กับฝ่ายรับผิดชอบเขื่อนเพื่อให้วิเคราะห์ความจำเป็นในการพิจารณาการปรับระดับน้ำในเขื่อน   "ถ้าเรา(กรมอุตุฯ)ได้ระบบใหม่นี้ มันจะช่วยผู้คนได้"นายสมชายกล่าว "ไม่มีใครคาดคิดว่าฝนที่ตกลงมาจะมากขนาดนี้ ณ เวลานี้ระบบของเรารวมถึงฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์ล้าสมัย"   ความยากลำบากในการบริหารจัดการน้ำจำนวนมากจากมรสุมพายุฝนส่งผลกระทบต่อตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะน้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลทั้งกับบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ ,โซนี่ ที่ต้องปิดโรงงาน นอกจากนี้น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายราวร้อยละ 13 ของนาข้าวในประเทศไทยที่เป็นประเทศผู้ส่งออกใหญ่สุดของโลก   ทั้งนี้ยังมีการรายงานสถานการณ์เขื่อนขนาดใหญ่ของประเทศ อาทิ เขื่อนภูมิพลที่สะสมน้ำจำนวนมากจนถึงเดือนสิงหาคมเพื่อใช้ในเกษตรกรรมช่วงฤดูแล้ง   "เราเคยได้รับการเตือนว่าจะมีปริมาณฝนเพิ่มมากในปีนี้ แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมหาศาล"นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพลกล่าว และว่า "เราได้พิจารณาและคำนึงในการปล่อยน้ำจำนวนหนึ่งออกโดยดูทั้งสภาพอากาศและน้ำท่วมตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมเพื่อไม่ให้สถานการณ์น้ำท่วมเลวร้ายลง"   ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม เขื่อนภูมิพลได้ปล่อยน้ำออกเฉลี่ย 4.5 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ขณะที่ระดับน้ำในเขื่อนเองก็ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 63 หรือมากกว่าความจุ 2 เท่าของจำนวนน้ำที่เก็บไว้ในเขื่อนช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การปล่อยน้ำที่เพิ่มขึ้นอีก 22 ล้านลบ.ม.ต่อวันในเดือนสิงหาคม และ 26 ล้านลบ.ม.ต่อวันในเดือนกันยายน กระทั่งตั้งแต่วันที่ 1 -14 ตุลาคมที่ผ่านมาที่มีสถานการณ์น้ำท่วมก็ยังมีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนต่อเนื่องในแต่ละวัน โดยรวมเป็นการปล่อยน้ำที่มากกว่าช่วงเดียวกัน(มิถุนายน-กรกฎาคม)ของปีก่อนถึง 17 เท่า   ขณะที่ในเขื่อนสิริกิต์ "ถ้าน้ำถูกปล่อยออกจากเขื่อนในทางที่เหมาะสม น้ำท่วมจะรุนแรงน้อยลง" ศ.ดร.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ ผู้เชียวชาญเรื่องน้ำและสิ่งแวดล้อม บริษัททีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าว "พวกเขาแค่เก็บน้ำให้มากเพื่อพอให้ใช้ในช่วงฝนแล้งเหมือนกับปีก่อนๆ"   ด้านนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักอุทกวิทยา และบริการน้ำกรมชลประทาน กล่าวว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนลดลงตั้งแต่เดือนเมษายน เพราะพื้นที่เกษตรกรรมบางแห่งถูกน้ำท่วมไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งน้ำในเขื่อนเต็มเพราะปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือมีจำนวนมากทะลุสถิติในปีนี้ และไม่จริงที่ว่าเราลดการปล่อยน้ำ(จากเขื่อน)เพราะห่วงเรื่องภัยแล้ง คนที่พูดแค่ต้องการหาแพะรับบาป   ทั้งนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า สถานการณ์พายุหนักเป็นปัญหาหนึ่งต่อน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ จากพายุโซนร้อน 5 ลูก ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีประมาณ ร้อยละ 25 เฉลี่ยมากขึ้นในรอบ 30 ปี จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา อ่างเก็บน้ำใหญ่ของประเทศต้องรับน้ำมากถึง 93 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 68   "ถ้าพวกเขารู้แน่นอนว่าฝนจะมาก่อนหน้า บางทีก็อาจจะปล่อยน้ำ(จากเขื่อน)เพิ่มขึ้นอีกนิด"นายชัยวัฒน์ ปรีชาวิทย์ อดีตรองอธิบดีกรมชลประทานกล่าวและว่า "กรมอุตุฯจะได้สามารถบอกได้ว่าจะมีฝนตกในปีนี้มากกว่าทุกปี แต่เขาไม่สามารถพยากรณ์พายุที่จะเข้าสู่ประเทศไทยและฝนที่จะตกหนักได้"อดีตรองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว   Credit http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1318839928&grpid=09&catid=&subcatid=
อัดวิชาให้ลูกมากไป เด็กอาจกลายเป็นม้าตีนต้นแต่ตายตอนจบได้
  ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ท        ทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความคาดหวังของพ่อแม่ในตัวลูก ๆ ยังคงมีอยู่ และกำลังจะเพิ่มระดับมากขึ้นในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูง แต่หากพ่อแม่ และครูอัดและใส่ข้อมูลให้เด็กมากเกินกำลัง คุณหมอเด็กออกโรงเตือนว่า เด็กอาจกลายเป็นม้าตีนต้น แต่ตายตอนจบได้ นั่นหมายความว่า พอถึงจุดหนึ่งเด็กจะรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่สนใจเรียนในที่สุด                ศาสตราจารย์คลินิก พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์ รองประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงในกรณีนี้ว่า ระบบครอบครัว และการเรียนการสอนที่เน้นเฉพาะเด็กเก่ง สอนเข้มข้น อัดวิชาให้กับเด็กมากเกินไปตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษา ซึ่งเด็กอาจจะรับความรู้ได้ในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในระบบการเรียนการสอนแบบท่องจำ แต่พอถึงจุดหนึ่งเป็นไปได้ที่เด็กจะรู้สึกเบื่อ และไม่สนใจเรียน ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะนี้ การจะดึงเด็กกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย อาจกลายเป็น "ม้าตีนต้นแต่ตายตอนจบ" ได้                ดังนั้น รองประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ ให้แนวทางว่า การฝึกฝน สั่งสอน ต้องคงไว้ซึ่งความสมดุล พัฒนาเด็กรอบด้าน และให้เด็กได้เล่นไปตามวัยบ้าง นั่นจะส่งผลดีต่อทั้งตัวเด็ก และพ่อแม่ เพราะความรู้มีมากมายเกินกว่าที่จะจดจำ และเมื่อเด็กสนุก รักที่จะเรียนรู้ สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปช่วยเหลือตนเอง และผู้อื่นได้ สามารถค้นหาข้อมูล และคิดวิเคราะห์ เลือกข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้เป็นประโยชน์ได้ เด็กจึงจะเรียนได้ยาวนานตลอดชีวิต                "ในต่างประเทศเขาไม่มีการคุยโอ้อวดในเรื่องเข้าโรงเรียนเร็ว แต่มีการคุยเรื่องการเรียนรู้ที่ยาวนาน และขณะนี้มีการผลักดันให้เกิดทีมสหวิชาชีพในระบบโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือคุณครู เด็กและพ่อแม่ ให้ความรู้ พัฒนาทักษะ คัดกรองเด็กและให้ความช่วยเหลือกลุ่มเด็กเสี่ยงที่มีปัญหาด้านการเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กแบบยั่งยืน" แพทย์หญิงวินัดดากล่าว                อย่างไรก็ดี พญ.วินัดดา กล่าวต่อไปว่า เด็กควรได้รับการฝึกทักษะอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่เรียนอย่างเดียว เริ่มจากพัฒนาให้เด็กทำเป็น ช่วยตัวเองได้ และพัฒนาตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นทั้งในบ้านและนอกบ้าน เช่น หัดรินน้ำให้แม่ จัดรองเท้าให้พ่อ เป็นต้น ทั้งนี้ควรฝึกตั้งแต่วัยอนุบาล เพราะถือเป็นช่วงวัยสำคัญในการฝึกให้ทำในสิ่งที่ดีงาม โดยมีพ่อแม่เป็นต้นแบบ   ขอบคุณภาพประกอบข่าวจาก http://www.thaibizchina.com        "การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กต้องช่วยตัวเอง อยู่ในกติกาที่ดีและฝึกฝนอย่างเหมาะสม จะทำให้เด็กมีจิตใจเข้มแข็ง อดทน มุมานะพยายาม ตรงต่อเวลา มีวินัย เชื่อฟังครูอาจารย์ สามารถเผชิญกับอุปสรรคและแก้ปัญหาได้ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ทุกคนที่ต้องฝึกฝนสร้างลักษณะของนักเรียนรู้ที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวลูก เพราะการเรียนมิได้สนุกไปทุกเรื่อง เพราะในบางวิชาโดยเฉพาะวิชาที่เด็กไม่ชอบเนื้อหาหรือไม่ชอบครูผู้สอน แต่เด็กก็จำต้อง อดทนพยายามเรียนรู้" แพทย์หญิงวินัดดากล่าวเสริม                แต่ในทางกลับกัน หากพ่อแม่ทำอะไรแทนเด็กไปทุกอย่างโดยเฉพาะในช่วงวัยอนุบาล จะเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความช่วยเหลือที่มากเกินไป แทนที่จะเป็นการฝึกฝนให้เด็กมีความสามารถภายในตัว แต่คุณกำลังทำให้เด็กมีจิตใจไม่เติบโต ติดการพึ่งพา สมองไม่คิดหาทางแก้ปัญหา หวังจะให้คนรอบข้างมาช่วยแก้ปัญหาแทน เรียกว่าโตแต่ตัวแต่จิตใจยังเป็นเด็กเล็ก งอแง ความอดทนต่ำ จะฝึกฝนให้อ่าน เขียน คิดเลขได้ยากเย็นเพราะเด็กมักไม่ค่อยเชื่อฟัง ถึงแม้ว่าพื้นฐานเดิมจะฉลาดแต่ก็ขาดลักษณะของนักเรียนรู้ ขาดวินัย สุดท้ายก็จะเรียนด้วยความยากลำบากในอนาคต                นอกจากนี้ การเล่นก็สำคัญสำหรับเด็กเช่นกัน คุณพ่อคุณแม่ต้องฝึกให้ลูกเล่นอย่างมีคุณภาพด้วย เพราะไม่เช่นนั้นอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ และการเรียนของเด็กได้                "การเล่นทำให้เด็กสนุก และผ่อนคลาย แต่พ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างมีคุณภาพด้วย คือ เล่นแล้วมีความสามารถเพิ่มขึ้น เล่นได้หลายอย่าง เล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนได้ และเล่นไปตามกติกาที่กำหนด รู้แพ้รู้ชนะ แต่พ่อแม่บางท่านปล่อยให้เด็กเล่นโดยไม่ชี้นำ ไม่ฝึกฝน ปล่อยให้โกง เอาเปรียบ หรือเล่นโดยไม่รับผิดชอบในเรื่องเวลา หน้าที่หรือเล่นแล้วไม่เก็บของ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาบุคลิกภาพโดยรวมและส่งผลต่อการเรียนในที่สุด เห็นได้จาก ในกลุ่มเด็กผู้ชายที่พ่อแม่ให้เล่นมากเกินไป จนติดเกม ติดทีวี และไม่รับผิดชอบเรื่องการเรียน" พญ.วินัดดาทิ้งท้าย   Credit   Manager.co.th
เทคนิค ระงับอาการตื่นเต้นในห้องสอบ
  หลายคนเตรียมตัวสอบมาเป็นอย่างที่  แต่พอถึงห้องสอบกับตกม้าตาย   เพราะตื่นเต้นมากไป  เรามาลองใช้วิธีง่ายๆเพื่อลดอาการตื่นเต้นกันดูนะครับ   ก่อนเข้าห้องสอบ 1  ควรงด กาแพ หรือ เครื่องดื่มชูกำลัง ( แต่บางคนก็ชอบทานช่วงสอบ ) 2  ให้ทำข้อสอบ แบบจับเวลา  หรือมีการแข่งขันกับเพื่อนหรือตัวเอง (  การแข่งขันจะทำให้เราตื่นเต้นยิ่งขึ้นนะครับ แข่งบ่อยจะทำให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น ) 3  ควรสอบหลายรอบ !!  อันนี้คือการทำให้ไม่ตื่นสนามดีที่สุดคือการสอบจริง  โดยน้องอาจจะลงสอบตรงหลายๆ ที่ แต่ก็แลกมาด้วย เงินทอง และเวลา 4  ทานยาจำพวก  propranolol  กินก่อนสอบเครึ่ง ชม   ปล ไม่แนะนำให้กินยาเลย 5  ออกกำลังกาย 7 นั่งสมาธิ   แต่ข้อนี้คงเป็นอีกข้อที่ทำยาก  แต่ขอบอกว่าได้ผลจริงนะครับ เพราะ อย่างพี่โน๊ต อุดมแต้มมพาณิชย์ เวลาเค้าจะขึ้นแสดง เดี่ยวไมค์โคโฟน พี่เค้าจะนั่งสนามธิก่อน ทุกครั้ง !!     สนามสอบ 1 ควรไปถึงสนามสอบก่อนเวลาสอบอย่างน้อย 30 นาที จะให้ดีควร 1 ชั่วโมงไปเลย 2  บอกกับตัวเองว่า สู้ !!!  เราทำได้อยู่  ถ้าอยู่ที่บ้านแนะนำ ให้อยู่หน้ากระจกมองหน้าตัวเองแล้วตะโกนออกมาดัง ๆ เช่น  เราทำได้  เราจะเรียน คณะ ....  ที่มหาลัย .....     3 หายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยลมหายใจช้า ๆ 4 ถูมือเบาๆ และ บีบมือตัวเอง 5 ไม่รับดื่มน้ำก่อนเข้าห้องสอบ  เพราะ อาจจะทำให้อยากเข้าห้องน้ำ  ใครมี เทคนิคอื่น ก็เสนอได้จ้า !!! http://www.unigang.com/Article/8583
1 2 3 4 5 6 7 8 9 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา