หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
ทำงานหลังเรียนจบในนิวซีแลนด์
 ทำงานหลังเรียนจบในนิวซีแลนด์       ในบรรดาประเทศที่เป็นจุดหมายการเรียนต่อนั้น นิวซีแลนด์ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบที่ยอดเยี่ยมในการรองรับนักเรียนที่เรียนจบและต้องการอยู่และทำงานในประเทศต่อ  โดยพวกเขาได้ออกวีซ่าประเภทใหม่ออกมาเมื่อเดือนเมษายน 2012 ที่ผ่านมา โดยอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติที่จบการศึกษาแล้ว สามารถสมัครทำวีซ่าประเภท Graduate Search Job visa หรือ a Graduate Work Experience ต่อได้  ซึ่งมีอายุยาวถึง 3 ปีในการทำงานเพื่อสะสมประสบการณ์การทำงาน       โดยคุณสมบัติหลักที่กำหนด คือ นักเรียนจะต้องผ่านข้อกำหนดทางด้านการแพทย์และการทำงาน Graduate Search Job visa       วีซ่าสำหรับนักเรียนที่เรียนจบแล้ว แต่ยังไม่สามารถหางานทำได้ในทันที  โดยพวกเขามีเวลามากที่สุด คือ 12 เดือนในการหางานทำ วิธีการสมัคร  นักเรียนจะต้อง • จบการศึกษาอย่างสมบูรณ์ และมีคุณสมบัติครบถ้วน • สมัครขอทำวีซ่าทันทีหลังจากวีซ่านักเรียนหมดอายุ • ต้องแสดงให้เห็นว่ามีเงินอย่างน้อย NZ$4,200 ในการขออาศัยอยู่ต่ออีก 1 ปีข้างหน้า Graduate Work Experience visa       วีซ่าสำหรับนักเรียนที่จบการศึกษาและสามารถหางานทำได้แล้ว  โดยวีซ่าประเภทนี้ จะมีลักษณะอยู่สองประเภทคือ • สองปี • สามปี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าทำงานในหน่วยงานในนิวซีแลนด์  เช่น Chartered Accounts วิธีการสมัคร  นักเรียนจะต้อง • มีหลักฐานเกี่ยวกับการทำงาน และต้องเป็นงานที่มีความสัมพันธ์กับการวุฒิการศึกษา • จบการศึกษาอย่างสมบูรณ์ และมีคุณสมบัติครบถ้วน คุณสมบัติที่กำหนด       มีคุณสมบัติหลากหลายที่ถูกกำหนดอยู่ในการขอสมัครทำวีซ่าสองประเภทที่กล่าวมา โดยหลักๆมีดังนี้ • ศึกษาอยู่ในนิวซีแลนด์มาอย่างน้อย 1 ปี และจบการศึกษาในระดับปริญญาหรือใบประกาศอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ • ศึกษาอยู่ในนิวซีแลนด์มาอย่างน้อย 2 ปี และอยู่ในระดับ 4-6 ของ the New Zealand Qualification Framework • ศึกษาอยู่ในนิวซีแลนด์มาอย่างน้อย 2 ปี และอยู่ในระดับ 4-6 ของ the New Zealand Qualification Framework โดยจะต้องมีมากกว่า 1 ปริญญาขึ้นไป โดยปริญญาใบที่สองจะต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่า   http://www.hotcourses.in.th
ท็อปมหาวิทยาลัยการท่องเที่ยวUSA
 ท็อปมหาวิทยาลัยการท่องเที่ยวUSA ประเทศอเมริกาถือว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่า สนใจอย่างมาก สำหรับการเรียนต่อด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่นี่มีมหาวิทยาลัยมากมายกระจายตัวอยู่ในหลายรัฐที่มีชื่อเสียงด้านการท่อง เที่ยว อย่างเช่น แคลิฟอร์เนีย, ฟลอริด้า และนิวยอร์ค มาดูมหาวิทยาลัยท็อปๆด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่เปิดสอนอยู่ในประเทศอเมริกามาแนะนำให้แก่ผู้ที่สนใจเรียนต่อทางด้านนี้ ลองมาดูกันนะคะว่ามีมหาวิทยาลัยอะไรบ้าง 1 มหาวิทยาลัยแรกที่ขอแนะนำคือ San Jose State University ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียบริเวณ Silicon Valley ซึ่งแวดล้อมไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และคึกคักมีสีสันด้วยความหลากหลายของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่น มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคอร์สให้เลือกเรียนกว่า 134 สาขาวิชา และมีจำนวนนักศึกษาประมาณ 26,000 คน สำหรับคอร์สเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการโรงแรมของที่นี่ จะเน้นให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้ด้านทฤษฎีที่แน่นปึ้ก ควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติทักษะทั้งหลายที่จำเป็นสำหรับงานด้านบริการ คอร์สระดับปริญญาตรีที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติคือ Travel Services (Bachelor of Science in Hospitality Tourism) และ Event Management ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเรียนทั้งสิ้น 4 ปี >>Uni ใน US ที่เปิดหลักสูตร Hospitality Tourism >> รวม Uni ที่เปิดหลักสูตร Hospitality Tourism นอกจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่เข้มข้นแล้ว หลักสูตรนี้ยังสนับสนุนให้นักศึกษาได้ฝึกงานกับหน่วยงานชั้นนำด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นเวลา 300 ชั่วโมง เพื่อสะสมประสบการณ์เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต ซึ่งบัณฑิตที่จบการศึกษาสาขาวิชานี้ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ผู้จัดการร้านอาหาร ผู้จัดการโรงแรมหรือรีสอร์ท และอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว >>รวม Uni ที่เปิดสอน Event Management   2 มหาวิทยาลัยต่อมาที่น่าสนใจและได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ จากนักศึกษาต่างชาติที่สนใจศึกษาต่อด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมคือ คอร์สของ School Management Services Rosen (Rosen College of Hospitality Management) ซึ่งเปิดสอนอยู่ที่ University of Central Florida มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของฟลอริด้าอย่าง Disney World, Universal Studios และ Sea World MGM ทำเลที่ตั้งเรียกได้ว่ากินขาดเลยทีเดียว แถมยังมีหลักสูตรให้เลือกเรียนตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ไม่ว่าจะเป็น Management services, Event management หรือ Restaurant management และ Catering services ในระดับปริญญาตรี ส่วนในระดับปริญญาโทก็มีคอร์ส Management program และ Travel services และคอร์ส Education services สำหรับปริญญาเอก โดยทุกคอร์สนักศึกษาจะได้รับการสนับสนุนให้ฝึกงานกับหน่วยงานชั้นนำของฟลอริด้า ซึ่งรับรองว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เจ๋งและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตอย่างแน่นอน รวมUni ที่เปิดสอน Restaurant Management   3 มหาวิทยาลัยสุดท้ายคือ Cornell University ตั้งอยู่ที่เมือง Ithaca รัฐนิวยอร์ค เป็นมหาวิทยาลัยทุนเอกชนและเป็นสมาชิกของ Ivy League/Ancient Eight แน่นอนว่านิวยอร์คมีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของที่นี่จึงเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสุดชิคอย่างนิวยอร์ค Cornell University ก็มี 4 คอร์สโดดเด่นน่าสนใจมาแนะนำ ได้แก่ Bachelor of Hospitality Management, Master of Management Services, Master of Hospitality Management  และ Dr. Hospitality Management   http://www.hotcourses.in.th
6 เหตุผลที่เวิร์คในการขอพ่อแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ
 6 เหตุผลที่เวิร์คในการขอพ่อแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศ สำหรับบางคนอุปสรรคของการไปเรียนต่อเมืองนอก อาจไม่ใช่กำแพงภาษาหรือข้อสอบต่างๆ แต่บางครั้งความเป็นห่วงของพ่อแม่นี่แหละ ที่ทำให้เราต้องสรรหาเหตุผล 108 มายืนยันว่า เราดูแลตัวเองได้และพร้อมสุดๆ สำหรับการเดินทางไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกกว้าง ถ้าใครกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ละก็ ลองใช้วิธีการเหล่านี้ไปคุยกับพ่อแม่ดูสิ รับรองว่าเวิร์คอย่างแน่นอน!   1 คุณสามารถดูแลตัวเองได้และอยากลองรับผิดชอบตัวเองให้มากขึ้น เหตุผลข้อแรกนี้ฟังดูดีทีเดียว แต่เมื่อพูดไปแล้วคุณก็ต้องพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นด้วยว่า คุณสามารถทำได้จริงอย่างที่พูด โดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น จัดห้องตัวเองให้เป็นระเบียบ อาสาช่วยงานบ้านหรือช่วยเป็นธุระบางอย่างให้กับพ่อแม่ รักษาผลการเรียนให้อยู่ในเกณฑ์ดี และไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ต้องคอยตามบ่นตามแก้ จากนั้นจึงค่อยพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการแสดงให้พ่อแม่เห็นถึงความสำเร็จในบางเรื่อง เช่น การบริหารเงินส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ หรืออะไรทำนองนี้ที่พ่อแม่จะสามารถนำเรื่องของคุณ ไปโม้ให้เพื่อนๆ ของท่านฟังได้ว่าคุณเป็นลูกที่ดีขนาดไหน เท่านี้พ่อแม่ก็จะเริ่มไว้วางใจคุณมากขึ้นแล้วล่ะ   2 คุณมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและดีงาม การส่งลูกไปเรียนเมืองนอกสักคนต้องเสียเงินทองมิใช่น้อย พ่อแม่ย่อมอยากรู้ว่าจุดมุ่งหมายในการไปเรียนต่อเมืองนอกของคุณคืออะไร การได้แดนซ์กระจายทุกคืนในผับสุดฮิปใจกลางลอนดอน หรือตะลุยท่องยุโรปและช้อปปิ้งกระเป๋าฉีกในหน้าร้อน อาจจะเป็นเหตุผลสำหรับบางคนที่อยากไปใช้ชีวิตต่างแดน แต่คงไม่ใช่เหตุผลที่พ่อแม่อยากได้ยินแน่นอน แล้วมันก็คงไม่ใช่เป้าหมายเดียวในชีวิตคุณใช่ไหมล่ะ นอกจากการเที่ยวและช้อปปิ้งแล้ว คุณยังอยากพัฒนาทักษะด้านภาษาของตัวเอง หาประสบการณ์เพื่ออนาคตการทำงานที่ดี เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ และเหตุผลดีๆ อีกมากมายที่คุณมีอยู่ในหัว ลองอธิบายให้พ่อแม่ฟังดูสิว่าชีวิตคุณจะดีขึ้นยังไงบ้าง ถ้าได้ไปเรียนต่อเมืองนอก   3 คุณอยากลองทำงานในต่างประเทศ การมีความคิดอยากหารายได้ด้วยตัวเอง นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมรับผิดชอบตัวเองแล้ว ยังทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจที่คุณต้องการช่วยแบ่งเบาภาระของท่านอีกด้วย และคุณยังจะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าจากการทำงานอย่างแน่นอน แต่การเรียนเมืองนอกก็ค่อนข้างเรียนหนักและมีค่าใช้จ่ายสูงไม่น้อย หากพ่อแม่ไม่ได้พร้อมสนับสนุนด้านการเงินอย่างเต็มที่ คุณควรมีเงินเก็บบางส่วนไปจากเมืองไทยด้วย เผื่อคุณอาจจะต้องการใช้เงินกับลองชิมอาหารท้องถิ่น หรือไปเที่ยวทริปสั้นๆ กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน   4 คุณวางแผนด้านการเงินมาแล้วอย่างรอบคอบ เพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นถึงความตั้งใจจริง คุณจะต้องวางแผนด้านการเงินอย่างรอบคอบ ก่อนจะนำเสนอแผนนั้นให้พ่อแม่พิจารณา แผนการเงินที่ดีควรประเมินค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการศึกษาออกมาอย่างละเอียด โดยแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายหลักๆ อย่าง ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายในชีวิตประวัน และค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวหาประสบการณ์ หรือเงินสำรองฉุกเฉินกรณีเจ็บป่วย และควรบอกพวกท่านด้วยว่าคุณได้เตรียมพร้อมสำหรับการขอทุนการศึกษาไว้ด้วยหรือไม่   5 คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคอร์สและเมืองที่จะไปเรียนต่อเป็นอย่างดี เหตุผลข้อนี้นอกจากจะทำให้พ่อแม่มั่นใจในตัวคุณมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการตรวจเช็คที่ดีด้วยว่าคุณพร้อมสำหรับการไปเรียนต่อแล้วหรือยัง สิ่งที่คุณควรจะอธิบายให้พ่อแม่ฟังคือ คลาสที่จะไปเรียนนั้นเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง เรียนเป็นภาษาอะไร มหาวิทยาลัยที่เลือกเป็นอย่างไร ทำไมคุณถึงเลือกมหาวิทยาลัยนั้น ที่พักที่คุณหาข้อมูลไว้เป็นอย่างไร เมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเป็นเมืองแบบไหน มีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด และคุณจะติดต่อกลับมาทางบ้านได้อย่างไรบ้าง (แนะนำว่าควรสอนพ่อแม่ใช้งาน Skype ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ)   6 นัดพ่อแม่ให้เจอกับเพื่อนที่เคยไปเรียนต่อเมืองนอก หากมีเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่เคยมีประสบการณ์เรียนต่อเมืองนอกมาก่อน คุณควรนัดให้พ่อแม่ได้พบเจอกับเพื่อนของคุณ และให้ท่านได้สอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการไปเรียนต่อเมืองนอก เพื่อท่านจะได้สบายใจว่ามันไม่ได้อันตรายหรือน่าเป็นห่วงอย่างที่คิดไว้ ถ้าเป็นคนที่เคยไปเรียนเมืองเดียวกับที่คุณกำลังจะไปก็จะยิ่งดีมาก หรือให้พ่อแม่อ่านรีวิวจากนักเรียนที่เคยไปเรียนต่อเมืองนอก ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ พวกท่านจะได้รู้ว่ามีอะไรดีๆ รอให้คุณไปพบเจออีกมากมายในต่างแดน   ขอบคุณข้อมูล : http://www.hotcourses.in.th
เรียนต่อนอก สาขา MBA 2014 ที่เปลี่ยนมีอะไรบ้าง
  เทรนด์ของหลักสูตร MBA 2014 ที่เปลี่ยนไป   ตั้งแต่หลักสูตร MBA เปิดสอนครั้งแรกโดย Harvard Business School (HBS) ในปีค.ศ. 1908 เพียงไม่นาน หลักสูตรนี้ก็กลายเป็นสาขาวิชายอดนิยมของนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา และขยายความนิยมไปยังแถบยุโรปในปีค.ศ. 1957 โดยสถาบันธุรกิจ INSEAD ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งในสองสามทศวรรษที่ผ่านมา MBA ก็ได้เป็นที่นิยมไปทั่วเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา ปัจจุบัน MBA ถือเป็นสาขาวิชาระดับปริญญาโทที่นักศึกษาอเมริกัน เลือกเรียนมากที่สุดเป็นอันดับสอง ในระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีค.ศ. 1971 ระยะแรกสาขาวิชา MBA และสาขาวิชากฎหมาย เป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมพอๆ กันในประเทศอเมริกา แต่ต่อมาสาขาวิชา MBA กลับได้รับความนิยมมากกว่าสาขาวิชากฎหมายหลายเท่า ทางด้านตลาดเกิดใหม่อย่างทวีปเอเชีย สาขาวิชา MBA ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในประเทศอินเดียมี Business schools มากถึง 2,000 กว่าแห่ง ส่วนในประเทศจีนอุตสาหกรรมด้านการศึกษาก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเปิดสอน MBA ประมาณ 250 หลักสูตร และมีนักศึกษาจบการศึกษามากถึง 30,000 คนต่อปี ซึ่งคาดการณ์กันว่าทศวรรษหน้าจำนวนนักศึกษาอาจเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ประมาณหนึ่งเท่าตัว แต่หลังจากเกิดวิกฤติทางการเงินทั่วโลก และจากเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่เริ่มหันมาใส่ใจปัญหาสังคมกันมากขึ้น จากเดิมที่หลักสูตร MBA มักดึงดูดใจผู้สมัครว่าเรียนจบแล้วจะมีรายได้ที่สูงขึ้น ก็เริ่มมีการนำประเด็นเรียนจบ MBA เพื่อทำงานให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรหรือประกอบกิจการเพื่อสังคม มาเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดนักศึกษารุ่นใหม่ที่สนใจเรียนด้าน MBA   อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ The Economist ได้สำรวจพบว่า ค่าธรรมเนียมการศึกษาของคอร์ส MBA ในแถบ Chicago เก็บค่าเรียนแพงขึ้นจากปีค.ศ. 2008 ราว 17,000 $ ส่วนคอร์สของมหาวิทยาลัย Harvard ก็แพงขึ้นเกือบ 25,000 $ แต่ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการศึกษาเพิ่มขึ้นนั้น อัตรารายได้ของนักศึกษาที่จบคอร์ส MBA กลับลดลงจาก 5 ปีที่แล้วประมาณ 1,500 $ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีผู้จบปริญญาโทสาขาวิชานี้กันมากขึ้น ผู้พัฒนาหลักสูตร MBA ของสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงต้องมีการปรับปรุงเนื้อหารายวิชาด้วยเช่นกัน เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และตอบสนองความต้องการของนักศึกษารุ่นใหม่ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนหลักสูตร MBA จะเน้นสอนให้ผู้เรียนมีความรู้กว้างๆ ในทักษะด้านการบริหาร แต่ปัจจุบันหลายหลักสูตรได้เพิ่มเนื้อหาสาระเฉพาะทางเข้าไปในหลักสูตร เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่นักศึกษา อย่างเช่น เรื่องการเงิน หรือการเปิดหลักสูตร MBA เฉพาะทางสำหรับประกอบธุรกิจต่างๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่ เช่น ธุรกิจดูแลสุขภาพ สินค้าหรูหรา สินค้าพิเศษ ธุรกิจไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ เพราะนักศึกษาจำนวนมากเริ่มมีแนวคิดว่า ก่อนจะสมัครเรียน MBA ควรมีการวางแผนการประกอบอาชีพในอนาคตที่ชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาวุฒิการศึกษาเท่านั้น   Business schools ทั้งหลายจึงต้องมีการขยับขยายมากขึ้น หลายสถาบันเริ่มดึงตัวนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยา เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในคณะอาจารย์ เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ในหัวข้อต่างๆ เช่น ความผู้นำ พฤติกรรมขององค์กร ฯลฯ ให้แก่นักศึกษา และเมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยอย่าง York University ประเทศแคนาดา ก็เพิ่งเปิดคอร์สปริญญาโทสาขาวิชา Business Analytics มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาที่มีความรู้พื้นฐานค่อนข้างแน่น เช่น นักคณิตศาสตร์ หรือวิศวกร โดยผู้เรียนคอร์สนี้จะได้ด้านคณิตศาสตร์อย่างเจาะลึกมากกว่าคอร์ส MBA ทั่วๆ ไป เพื่อให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลต่อธุรกิจได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยเรื่องเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อเทรนด์ของหลักสูตร MBA ในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน สถาบันการศึกษาชื่อดังหลายแห่ง เช่น The Wharton school ได้จัดทำ Massive online open courses (MOOCs) เผยแพร่ความรู้ด้าน MBA ให้แก่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกกันแบบฟรีๆ ซึ่งนักวิชาการบางคนมองว่า ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อยอดผู้สมัครเรียน MBA ก็เป็นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายสถาบันการศึกษา เปิดสอน MBA ทางไกลผ่านออนไลน์ โดยเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็นับเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายกลุ่มผู้เรียนที่น่าสนใจ จนบางมหาวิทยาลัยนำไปใช้เป็นจุดขายว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก คุณก็สามารถเข้าถึงมาตรฐานการศึกษาที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย   The University of North Carolina at Chapel Hill (UNC) เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ที่เปิดสอนหลักสูตร MBA ผ่านทางออนไลน์แบบเต็มเวลา ใช้เวลาเรียน 18  เดือน เปิดรับนักศึกษา 500 คน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่ไม่สามารถเดินทางมาเรียนที่มหาวิทยาลัยได้ด้วยเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ Douglas Shackelford ไดเร็คเตอร์ของโปรแกรม MBA Online จาก UNC มีความเห็นว่า หลักสูตรออนไลน์สามารถมีมาตรฐานการสอนเทียบเท่ากับการเรียนในห้องเรียนจริงได้ อย่างทาง UNC จะจำกัดจำนวนนักศึกษาออนไลน์ไว้ที่ 15 คนต่อห้องเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างทั่วถึง และข้อดีอีกประการคือ อาจารย์ผู้สอนไม่จำกัดว่าต้องอาศัยอยู่ใน North Carolina เท่านั้น ทางมหาวิทยาลัยสามารถคัดสรรอาจารย์ที่ดีที่สุดได้จากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถกลับมาทบทวนบทเรียนและการอภิปรายต่างๆ ในชั้นเรียน ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ    ที่มา: The Economist
เรียนต่อนอก รู้จักสอบ HSK
 รู้จักสอบ HSK   Hanyu Shuiping Kaoshi (HSK) HSK ย่อมาจาก Hanyu Shuiping Kaoshi หรือการสอบวัดระดับความรู้ ภาษาจีนกลาง (คล้ายกับการสอบ TOEFLในภาษาอังกฤษ) การสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีนทั่วไป HSK ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 สำนักงานเผยแพร่ภาษาจีนระหว่างประเทศได้เปลี่ยนระบบการสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน HSK เป็นระบบใหม่ โดยแบ่งการสอบออกเป็นสองส่วน คือ สอบข้อเขียน และ การพูด การสอบข้อเขียน แบ่งออกเป็น 6 ระดับดังนี้ ตัวอย่างที่ 1 สำหรับผู้สอบที่เข้าใจคำศัพท์และประโยคภาษาจีนง่าย ๆ เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 150 คำ ตัวอย่างที่ 2 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 300 คำ ตัวอย่างที่ 3 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารเรื่องความเป็นอยู่ การศึกษา การทำงาน และท่องเที่ยวในประเทศจีน เป็นต้น เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 600 คำ ตัวอย่างที่ 4 สำหรับผู้สอบที่สามารถใช้ภาษาจีนสื่อสารในหัวข้อที่กว้างขวางขึ้นและสามารถสื่อสารกับผู้ใช้ภาษาจีนเป็น ภาษาแม่ได้อย่างคล่องแคล่ว เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 1,200 คำ ตัวอย่างที่ 5 สำหรับผู้สอบที่สามารถอ่านเข้าใจภาษาจีนจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารจีนฟังเข้าใจรายการโทรทัศน์และ ภาพยนตร์จีน และสามารถพูดภาษาจีนในที่สาธารณะได้ เรียนรู้คำศัพท์มาแล้วอย่างน้อย 2,500 คำ ตัวอย่างที่ 6 สสำหรับผู้สอบที่สามารถฟังและอ่านข่าวสารภาษาจีนได้อย่างดี สามารถสื่อสารความคิดเห็นของตัวเองด้วย ปากเปล่าหรือการเขียนเป็นภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว เรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีน 5,000 คำขึ้นไป การสอบพูด แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง * ผู้ที่สมัครสอบข้อเขียนระดับ 4 ขึ้นไปสามารถสมัครสอบพูดได้ * การสมัครสอบข้อเขียนและสอบพูด จะต้องสมัครสอบแยกกัน ประโยชน์ของการสอบ HSK 1. เพื่อใช้รับนักศึกษาใหม่ ใช้แบ่งห้องเรียนตามระดับความรู้ และยกเว้นการเรียน 2. เพื่อใช้คัดคนเข้าทำงาน ฝึกอบรม และเลื่อนตำแหน่ง 3.เพื่อใช้วัดมาตรฐานของผู้สอบเองว่ามีความรู้ภาษาจีนอยู่ที่ระดับใด 4. เพื่อสถานศึกษาใช้วัดมาตรฐานการสอนของสถาบันตัวเอง ตารางเปรียบเทียบการสอบวัดระดับความ รู้ภาษาจีน HSK ระบบใหม่และระบบเก่า HSK ระบบใหม่ สอบ ข้อเขียน HSK ระบบใหม่ สอบ พูด HSK ระบบเก่า ระดับ 6 ระดับสูง ระดับสูง ระดับ 5 ระดับกลาง ระดับต้นกลาง ระดับ 4 ระดับต้น ระดับพื้นฐาน ระดับ 3 - - ระดับ 2 - - ระดับ 1 - -
เรียนต่อนอก 5 อันดับสถานที่ปลอดภัยที่สุดในอเมริกา ประจำปี 2013
 หากพูดถึงหลายๆเมืองในสหรัฐอเมริกา หลายๆคนอาจจะเคยได้ยิน หรือไปสัมผัส ไปอาศัยอยู่มาด้วยตัวเอง แล้วก็พบเจอกับเรื่องราวอาชญกรรมน่ากลัวต่างๆมากมายแต่ก็ไม่ใช่ว่าอเมริกาจะไม่มีเมืองที่ไม่ปลอดภัยซะทีเดียว… เมืองน่าอยู่ของอเมริกาจะมีที่ไหนบ้าง เราจะเคยได้แวะเวียนผ่านไปมาบ้างมั้ย ตามมาดูพร้อมกันเลย!!!!     5.) Bella Vista, Arkansas - เมื่อก่อนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบรรดาคนร่ำรวยต่างๆ แต่ปัจจุบันมีคู่รักหนุ่มสาวย้ายมาอยู่ในเมืองมากขึ้น อัตราการเกิดอาชญกรรม – 0.081/1,000 คน     4.) Barlett, Illinois – สำหรับเมืองนี้ถือเป็นเมืองสงบเมืองหนึ่งทางรัฐตอนกลางของอเมริกา ซึ่งสถิติได้บอกออกมาว่าโอกาสที่คุณจะตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมนั้น มีเพียงแค่ 1 ใน 2591 คนเท่านั้น อัตราการเกิดอาชญากรรม - 0.39/1,000 คน     3.) Greenwich, Connecticut – เมืองซึ่งเคยได้รับการจัดอันดับจาก CNN และนิตยสาร the Money Magazine ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่มากที่สุดของสหรัฐอเมริกา อัตราการเกิดอาชญกรรม – 0.44/1,000 คน     2.) Bergenfield, New Jersey – เมืองที่ถูกจัดอันดับน่าอยู่มากที่สุดเป็นอันดับ2 ของอเมริกา…. โดยมีอัตราการเกิดอาชญกรรมทางทรัพย์สินเพียงแค่ 5.98 เปอร์เซนต์เอง ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยกลางระดับชาติซึ่งมีสูงถึง 29.1 เปอร์เซนต์ อัตราการเกิดอาชญกรรม – 0.67/1,000 คน     1.) Franklin, Massachusetts – อันดับ1 ของเมืองน่าอยู่มากที่สุดในอเมริกาคงหนีไม่พ้น Franklin!! เมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดกว่า 95% เหนือเมืองอื่นๆในสหรัฐอเมริกา อัตราการเกิดอาชญกรรม - 0.25/1,000 คน   เอาล่ะครับ ทีนี้เราก็ได้รู้จักเมืองน่าอยู่น่าปลอดภัยของสหรัฐอเมริกาในปี 2013 นี้กันไปแล้ว สำหรับใครที่กำลังมองหาเมืองที่อยากไปใช้ชีวิตอยู่ หรืออยากไปท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงปีใหม่นี้ credit: clicktop10 , http://www.wegointer.com
เรียนต่อต่างประเทศ 10 อันดับหอพักแพงที่สุดในอเมริกา
 การไปเรียนต่อต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ค่าที่พักนั่นเอง ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าการอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยนั้นจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็ไม่จริงซักทีเดียว เนื่องจากหลายสถาบันก็มีค่าหอพักที่แพงสุดๆ เราลองมาทำความรู้จักกับหอพักนักศึกษา ซึ่งได้ชื่อว่าแพงหูฉี่อันดับต้นๆ จนได้รับการจัดอันดับว่าเป็น10 หอพักนักศึกษาราคาแพงที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตามมาชมกันเลยครับ….   10 Marymount Manhattan College, New York ค่าเช่า $14,030 ต่อปี (ประมาณ 420,000 บาท)   9 University of California, Berkeley, California ค่าเช่า $14,046 ต่อปี (ประมาณ 420,000 บาท)   8 Pace University, New York ค่าเช่า $14,230 ต่อปี (ประมาณ 426,000 บาท)   7 Manhattanville College, New York ค่าเช่า $14,520 ต่อปี (ประมาณ 435,000 บาท)   6 Suffolk University, Massachusetts ค่าเช่า $14,624 ต่อปี (ประมาณ 438,000 บาท)   5 St. John’s University, New York ค่าเช่า $14,700 ต่อปี (ประมาณ 441,000 บาท)   4 Fordham College at Rose Hill, New York ค่าเช่า $14,925 ต่อปี (ประมาณ 447,000 บาท)   3 Fordham College at Lincoln Center, New York ค่าเช่า $15,000 ต่อปี (ประมาณ 450,000 บาท)   2 New York University, New York ค่าเช่า $15,181 ต่อปี (ประมาณ 453,000 บาท)   1 The New School, New York ค่าเช่า $18,080 ต่อปี (ประมาณ 540,000 บาท)   จากการจัดอันดับนี้ เราจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยในฝั่งตะวันออก และมักจะอยู่ในรัฐ New York เกือบทั้งหมดเลยนะครับ แสดงให้เห็นว่าการไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา มีค่าครองชีพที่สูงมากเลยทีเดียว ขอขอบคุณข้อมูลจาก Agency : http://www.wegointer.com  
เรียนต่อนอกประเทศไหนได้รายได้เยอะที่สุด
 แน่นอนว่าเราทุกคนมาเรียนต่อ ก็ล้วนคาดหวังการได้งานดีๆ ที่ตนเองอยากทำ พร้อมกับเงินเดือนที่ดีเช่นกัน ทางนิตยสาร Forbes ก็เลยไปสัมภาษณ์นักเรียนกว่า 430,000 คนใน 24 ประเทศชั้นนำทั่วโลก ถึงเรื่องเงินเดือนที่อยากได้เมื่อเรียนจบ นักเรียนแต่ละประเทศก็ให้ความเห็นของเรื่องเงินเดือนที่ต้องการต่างกันออกไป เราลองมาดูกันว่านักเรียนในประเทศไหนที่อยากจะได้เงินเดือนหลังเรียนจบมากที่สุด และพวกเขาคาดหวังไว้ที่เท่าไร…   อันดับ 10 ประเทศฟินแลนด์ เงินเดือนที่คาดหวัง $3,777 (ประมาณ 111,000 บาท)   อันดับ 9 ประเทศฝรั่งเศส เงินเดือนที่คาดหวัง $3,889 (ประมาณ 114,000 บาท)   อันดับ 8 ประเทศแคนาดา เงินเดือนที่คาดหวัง $4,146 (ประมาณ 123,000 บาท)   อันดับ 7 ประเทศสหรัฐอเมริกา เงินเดือนที่คาดหวัง $4,336 (ประมาณ 129,000 บาท)   อันดับ 6 ประเทศสวีเดน เงินเดือนที่คาดหวัง $4,355 (ประมาณ 129,000 บาท)   อันดับ 5 ประเทศเยอรมนี เงินเดือนที่คาดหวัง $4,405 (ประมาณ 132,000 บาท)   อันดับ 4 ประเทศออสเตรเลีย เงินเดือนที่คาดหวัง $4,701 (ประมาณ 141,000 บาท)   อันดับ 3 ประเทศเดนมาร์ก เงินเดือนที่คาดหวัง $5,427 (ประมาณ 152,000 บาท)   อันดับ 2 ประเทศนอร์เวย์ เงินเดือนที่คาดหวัง $6,556 (ประมาณ 195,000 บาท)   อันดับ 1 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เงินเดือนที่คาดหวัง $7,062 (ประมาณ 210,000 บาท)     ถึงแม้ว่าผลสำรวจนี้จะไม่ได้ครอบคลุมทุกประเทศทั่วโลก แต่ก็เลือกประเทศชั้นนำออกมาจำนวนหนึ่งเราเลยพอได้เห็นข้อมูลคร่าวๆถึงเงินเดือนหลังเรียนจบของแต่ละประเทศ (เพราะเด็กที่เรียนจบก็จะคาดหวังเงินเดือนตามที่ควรได้รับ และไม่สูงมากจนเกินไปนัก) ซึ่งข้อมูลเงินเดือนหลังเรียนจบนี้ก็ช่วยในการเลือกที่เรียนได้อย่างดีด้วยล่ะ ที่มา: forbes, ภาพจากเน็ต  และ agentcy http://www.wegointer.com   ทุนการศึกษา,scholarship,study abroad,abroadcenter,ศึกษาต่อต่างประเทศ,เรียนต่อต่างประเทศ,เรียนต่อนอก,เรียนนอก,เรียนภาษาอังกฤษ
เรียนต่อต่างประเทศ นักธุรกิจชาวอาหรับ รับสมัครติวเตอร์เข้า Oxford University ให้ค่าสอน 6 ล้าน
   ใครอยากสอนพิเศษ และมั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถพอ วันนี้เรามีงานสุดเจ๋งมานำเสนอพร้อมค่าตอบแทนสูงลิบลิ่ว เนื่องจากนักธุรกิจหนุ่มชาวอาหรับ กำลังเปิดรับสมัครติวเตอร์ที่จะช่วยให้เขาสอบเข้าOxford University ได้ พร้อมค่าจ้างปีละ 6 ล้าน!! โดยหนุ่มคนนี้ออกจากโรงเรียนตั้งแต่มัธยมปลายเพื่อมาทำธุรกิจ และประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เลยต้องการจะกลับไปเรียน เขาจึงรับสมัครติวเตอร์ที่ช่วยให้เขาสอบ A-Level ผ่าน และเข้าเรียนมหาวิทยาลัย     แต่!!! ติวเตอร์ยังต้องมีความสามารถสอนให้เขาพูดภาษาอังกฤษคล่องเหมือนเจ้าของภาษา เล่นเปียโนแจ๊ส มีรสนิยมกับเพลงโอเปร่า เข้าใจในบทประพันธ์ของเช็คสเปียร์ ฉลาด สุขภาพรูปร่างดี เป็นไกด์พาเขาเที่ยวที่ต่างๆได้ และสอนให้เขาเรียนรู้วัฒนธรรมอื่นๆอย่างดี (เยอะจัง -*-) นอกจากนี้ คนที่จะมาเป็นครูสอนพิเศษ ยังต้องเหมือนพี่เลี้ยงของเขาตลอดเวลา ทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม สามารถใช้เวลาวันหยุดกับเขาได้ เดินทางไปกับเขาได้ทั่วโลก โดยมีที่พักหรูให้อย่างเป็นส่วนตัว พร้อมค่าจ้างปีละ 122,300 ปอนด์ (6,000,000 บาท)     งานนี้ใครที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถ ก็ลองส่งใบสมัครกันได้ ตอนนี้คู่แข่งมีทั้งอาจารย์ใหญ่วัยเกษียณ ครูเอกชน นักดนตรี จนกระทั่งศาสตราจารย์เลยทีเดียวล่ะ !! ที่มา: theweek และ http://www.wegointer.com/ ทุนการศึกษา,scholarship,study abroad,abroadcenter,ศึกษาต่อต่างประเทศ,เรียนต่อต่างประเทศ,เรียนต่อนอก,เรียนนอก,เรียนภาษาอังกฤษ
ตลาดการศึกษาในต่างประเทศของ US มีมูลค่ากว่าพันล้านเหรียญ
 ตลาดการศึกษาในต่างประเทศของ US มีมูลค่ากว่าพันล้านเหรียญ       จากรายงานของ the Open Doors เกี่ยวกับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของอเมริกาในต่างประเทศนั้น พบว่า มหาวิทยาลัยของอเมริกาเติบโตขึ้น 6% ไปที่ 764,492 แห่ง ในปีที่ผ่านมา  นำมาซึ่งรายได้กว่า 21.81 พันล้านเหรียญสู่เศรษฐกิจของอเมริกา          การเพิ่มขึ้นของนักเรียนจากจีนและซาอุดิอาระเบีย ที่เพิ่มขึ้นกว่า 23% และ 50%  โดยเฉพาะในหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษนั้น เป็นตัวหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในรายรับในปีนี้  ในปีนี้อเมริกาสามารถทำลายสถิติในสามเรื่องด้วยกัน คือ เรื่องจำนวนนักเรียนต่างชาติที่เลือกเข้ามาเรียนในอเมริกา, เรื่องจำนวนนักเรียนอเมริกาเดินทางออกไปเรียนยังประเทศอื่น และการเพิ่มขึ้นของผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจจากการเติบโตทางการศึกษา       การสำรวจความคิดเห็นจากมหาวิทยาลัยอเมริกากว่า 3,000 แห่งเกี่ยวกับเรื่องการสมัครเรียนของนักเรียนในต่างประเทศ พบว่า รายรับเพิ่มขึ้น 23% จากประเทศจีน (ตลาดการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา) ที่เพิ่มขึ้นจาก 157,500 ไปที่ 194,000 คน  ส่วนจำนวนนักเรียนจากอินเดียและเกาหลีใต้ ก็มีการลดลงเล็กน้อยจาก 100,270 ลงมาที่ 72,295 คน เช่นเดียวกับตลาดหลักอย่างญี่ปุ่นและไต้หวันที่มีการลดลงที่ 6%       และเมื่อมาพิจารณาที่ระดับของการศึกษา พบว่า จำนวนนักเรียนในระดับปริญญาโทและเอกนั้นยังคงที่  ในขณะที่ระดับปริญญาตรีนั้นมีการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ 6%  อย่างไรก็ตาม หลักสูตรอื่นๆอย่าง non-degree programmes และหลักสูตรใบประกาศอื่นๆ กลับมีการเติบโตอย่างชัดเจน โดยเพิ่มขึ้นจาก 59,000 ไปที่ 69,500 คน  โดยเฉพาะในหลักสูตร intensive English programs (IEPs) ที่มา : PIE News
เรียนต่อต่างประเทศ ท็อปมหาวิทยาลัยการท่องเที่ยวUSA
 ท็อปมหาวิทยาลัยการท่องเที่ยวUSA ประเทศอเมริกาถือว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่า สนใจอย่างมาก สำหรับการเรียนต่อด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่นี่มีมหาวิทยาลัยมากมายกระจายตัวอยู่ในหลายรัฐที่มีชื่อเสียงด้านการท่อง เที่ยว อย่างเช่น แคลิฟอร์เนีย, ฟลอริด้า และนิวยอร์ค มาดูมหาวิทยาลัยท็อปๆด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่เปิดสอนอยู่ในประเทศอเมริกามาแนะนำให้แก่ผู้ที่สนใจเรียนต่อทางด้านนี้ ลองมาดูกันนะคะว่ามีมหาวิทยาลัยอะไรบ้าง 1 มหาวิทยาลัยแรกที่ขอแนะนำคือ San Jose State University ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียบริเวณ Silicon Valley ซึ่งแวดล้อมไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และคึกคักมีสีสันด้วยความหลากหลายของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่น มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคอร์สให้เลือกเรียนกว่า 134 สาขาวิชา และมีจำนวนนักศึกษาประมาณ 26,000 คน สำหรับคอร์สเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการโรงแรมของที่นี่ จะเน้นให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้ด้านทฤษฎีที่แน่นปึ้ก ควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติทักษะทั้งหลายที่จำเป็นสำหรับงานด้านบริการ คอร์สระดับปริญญาตรีที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติคือ Travel Services (Bachelor of Science in Hospitality Tourism) และ Event Management ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเรียนทั้งสิ้น 4 ปี >>Uni ใน US ที่เปิดหลักสูตร Hospitality Tourism >> รวม Uni ที่เปิดหลักสูตร Hospitality Tourism นอกจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่เข้มข้นแล้ว หลักสูตรนี้ยังสนับสนุนให้นักศึกษาได้ฝึกงานกับหน่วยงานชั้นนำด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นเวลา 300 ชั่วโมง เพื่อสะสมประสบการณ์เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต ซึ่งบัณฑิตที่จบการศึกษาสาขาวิชานี้ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ผู้จัดการร้านอาหาร ผู้จัดการโรงแรมหรือรีสอร์ท และอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว >>รวม Uni ที่เปิดสอน Event Management   2 มหาวิทยาลัยต่อมาที่น่าสนใจและได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ จากนักศึกษาต่างชาติที่สนใจศึกษาต่อด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมคือ คอร์สของ School Management Services Rosen (Rosen College of Hospitality Management) ซึ่งเปิดสอนอยู่ที่ University of Central Florida มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของฟลอริด้าอย่าง Disney World, Universal Studios และ Sea World MGM ทำเลที่ตั้งเรียกได้ว่ากินขาดเลยทีเดียว แถมยังมีหลักสูตรให้เลือกเรียนตั้งแต่ปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ไม่ว่าจะเป็น Management services, Event management หรือ Restaurant management และ Catering services ในระดับปริญญาตรี ส่วนในระดับปริญญาโทก็มีคอร์ส Management program และ Travel services และคอร์ส Education services สำหรับปริญญาเอก โดยทุกคอร์สนักศึกษาจะได้รับการสนับสนุนให้ฝึกงานกับหน่วยงานชั้นนำของฟลอริด้า ซึ่งรับรองว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เจ๋งและเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตอย่างแน่นอน รวมUni ที่เปิดสอน Restaurant Management   3 มหาวิทยาลัยสุดท้ายคือ Cornell University ตั้งอยู่ที่เมือง Ithaca รัฐนิวยอร์ค เป็นมหาวิทยาลัยทุนเอกชนและเป็นสมาชิกของ Ivy League/Ancient Eight แน่นอนว่านิวยอร์คมีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของที่นี่จึงเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสุดชิคอย่างนิวยอร์ค Cornell University ก็มี 4 คอร์สโดดเด่นน่าสนใจมาแนะนำ ได้แก่ Bachelor of Hospitality Management, Master of Management Services, Master of Hospitality Management  และ Dr. Hospitality Management   http://www.hotcourses.in.th/study-in-usa/study-guides/top-uni-in-tourism-hospitality-usa/
เรียนต่อต่างประเทศกับ ประเทศมาเลยเซีย มหาวิทยาลัย UKM
  มหาวิทยาลัย UKM อยู่ในอันดับที่ 98 จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีประจำปี 2012 โดย Times Higher Education และเป็นมหาวิทยาลัยของประเทศมาเลเซียเพียงแห่งเดียวที่อยู่ใน 50 อันดับแรกสำหรับมหาวิทยาลัยที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีโดยการจัดอันดับของ QS ประจำปี 2012 และอยู่ในอันดับที่ 57 โดยรวมในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของทวีปเอเชียโดย QS ประจำปี 2013 นอกจากนี้ Universiti Kebangsaan Malaysia (UKM) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะมหาวิทยาลัยแห่งชาติของประเทศมาเลเซียก่อตั้งขึ้นในวันที่ 18 พฤษภาคม 1970 โดยเริ่มต้นการดำเนินงานที่ Lembah Pantai ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จากนั้นจึงได้ย้ายไปยังสถานที่ตั้งในปัจจุบันที่ Bangi ในหุบเขาอันเขียวขจีบนพื้นที่ 1,096 เฮคเตอร์ นอกเหนือจากนี้ UKM ยังมีวิทยาเขตด้านการแพทย์ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ อันเป็นสถานที่ตั้งของคณะแพทยศาสตร์ (พรีคลินิก) คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะทันตแพทยศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ ศูนย์การแพทย์ UKM (UKMMC)ซึ่งตั้งอยู่ที่ Cheras ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์ที่รองรับความต้องการด้านการศึกษาสาขาบริการทางการแพทย์รวมถึงการวิจัยด้านการแพทย์ UKMMC ประกอบด้วยโรงพยาบาล คณะแพทยศาสตร์และสถาบันวิจัยการแพทย์ระดับโมเลกุล (UMBI) มหาวิทยาลัยประกอบด้วย 13 คณะเรียนและสถาบันวิจัย 16 แห่ง โดยเปิดสอนหลักสูตรการเรียนในหลากหลายสาขาวิชาทั้งสาขาศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์รวมถึงมีคณาจารย์ 2,262 คนและเจ้าหน้าที่ 7,519 คน ปัจจุบัน UKM มีนักศึกษา 25,525 คน โดยแบ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี 14,971 คน นักศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี 10,554 คน รวมถึงนักศึกษานานาชาติ 2,985 คนจาก 57 ประเทศ นอกจากนี้นักศึกษานานาชาติยังได้รับการสอนภาษามาเลย์เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันในประเทศมาเลเซียมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำขวัญของมหาวิทยาลัยที่ว่า “มอบแรงบันดาลใจสู่อนาคต สร้างสรรค์ความเป็นไปได้” ทางมหาวิทยาลัยสามารถดึงดูดนักศึกษานานาชาติได้ด้วยการเปิดสอนหลักสูตรระดับสูงกว่าปริญญาตรี 170 หลักสูตรและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยอันทันสมัย การศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศมาเลเซียซึ่งรวมถึงที่ Universiti Kebangsaan Malaysia (UKM) จะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาล ในวันที่ 26 มกราคม 2012 ทางรัฐบาลได้มอบอำนาจปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ให้กับมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย (UKM) โดยเป็นการโอนอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆจากหน่วยงานของรัฐและกระทรวงมายังมหาวิทยาลัย UKM เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี 75 หลักสูตรและหลักสูตรระดับสูงกว่าปริญญาตรี 264 หลักสูตรใน 13 คณะและสถาบันวิจัย 16 แห่งในสาขาวิชาต่อไปนี้:     สถาปัตยกรรมศาสตร์ ธุรกิจ ทันตแพทยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ การศึกษา วิศวกรรม วิทยาศาสตร์สุขภาพ มนุษยศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ อิสลามศึกษา กฏหมาย แพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศาสตร์   http://www.hotcourses.in.th/study/malaysia/school-college-university/universiti-kebangsaan-malaysia-ukm/142518/international.html
เรียนต่อนอก ไอร์แลนด์ปรับกฎ ยืดวีซ่าหลังจบให้นักเรียนต่างชาติ
      ไอร์แลนด์ปรับกฎ ยืดวีซ่าหลังจบให้นักเรียนต่างชาติ       ถ้าคุณเพิ่งเรียนจบจากไอร์แลนด์ หรือ กำลังคิดว่าจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของไอร์แลนด์อยู่แล้วละก็  วันนี้รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ประกาศข่าวดีออกมาแล้วค่ะ ว่าอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติสามารถอยู่ต่อได้อีก 6 เดือนหลังจากเรียนจบ เพื่อหางานทำในประเทศไอร์แลนด์  ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาแบบ the Third Level Graduate Scheme       โดยถ้าคุณเป็นผู้ที่เรียนในระบบการศึกษานี้ คุณก็จะได้รับสิทธิในการยืดอายุวีซ่าของคุณออกไปอีก 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่คุณได้รับผลคะแนนสอบปลายภาค  ซึ่งสิทธินี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คุณมีเวลาในการหางานทำ และได้รับ green card สำหรับการทำงาน       โดยการทำงานในไอร์แลนด์นั้น ทั่วไปแล้วคุณจะมีสิทธิในการทำงานทั้งหมด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์       ถึงแม้ว่าคุณจะมีสิทธิในการอยู่ต่อและทำงานในไอร์แลนด์หลังจากเรียนจบ แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องนี้ โดยถ้าคุณจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนอกเขต the European Economic Area คุณจะสามารถขอสิทธิในการอยู่ต่ออีก 6 เดือนได้ก็ต่อเมื่อคุณยื่นใบสมัครขอสิทธิไปยัง the Garda National Immigration Bureau ก่อนเท่านั้น       ในระหว่างช่วง 6 เดือนที่คุณได้อยู่ต่อ คุณจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้มากถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตทำงาน         แต่หลังจากนั้น คุณจะสามารถทำงานได้เฉพาะในบริษัทที่มีการขาดแคลนทักษะเท่านั้น หมายรวมถึงบริษัทด้านไอที, สุขภาพและการให้บริการทางการเงิน   และถ้าคุณตัดสินใจที่จะทำงานในไอร์แลนด์แบบระยะยาว คุณก็จำเป็นจะต้องมี Green Card หรือ ใบอนุญาตทำงาน Green Card คืออะไร?       Green Card คือใบอนุญาตทำงานที่แสดงว่าคุณสามารถทำงานในไอร์แลนด์ได้ โดยการทำงานในบริษัทที่มีการขาดแคลนทักษะเฉพาะทางเท่านั้น  โดยบัตรนี้จะมีอายุ 2 ปี และเมื่อหมดอายุ คุณก็จะต้องไปทำใหม่ทุกครั้ง  โดยงานที่คุณสามารถขอยื่นทำ Green Card ได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ • จ่ายเงินเดือนมากกว่า 60,000 ยูโรต่อปี • ถ้าเป็นงานที่อยู่ในรายชื่อถูกควบคุม จะต้องจ่ายเงินเดือนมากกว่า 30,000 ยูโรต่อปี เป็นเวลาอย่างน้อยสองปี • มีค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาต 1,000 ยูโร       การขอ Green Card ไม่จำเป็นจะต้องมีผลการทดสอบ a labour market assessment  รวมถึงไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างก็สามารถขอ Green Card นี้ได้   อะไรคือใบอนุญาตทำงาน?       ใบอนุญาตทำงานเป็นอีกวิธีหนึ่งในการขอเอกสารเพื่อการทำงานนอกเหนือจาก Green Card แต่ว่ามีความซับซ้อนและยากกว่าตรงที่จะต้องผ่านการทดสอบ a labour market assessment เสียก่อน ซึ่งหมายความว่านายจ้างจะต้องแสดงให้เห็นว่าตำแหน่งนั้นๆที่คุณทำอยู่นั้น ไม่มีชาวไอริชคนไหนสามารถทำได้ และต้องเป็นคุณเท่านั้นที่ทำ   โดยสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับใบอนุญาตทำงานได้ในเว็บไซต์ the Department of Jobs, Enterprise and Innovation        คุณสมบัติของงานที่สามารถขอใบอนุญาตทำงานได้นั้น จะต้อง • จ่ายเงินเดือนอย่างน้อย 30,000 ยูโรต่อปี แต่สามารถน้อยกว่า 30,000 ได้ในกรณีที่เป็นงานเพื่อสังคม • มีค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาต 1,000 ยูโร ต่ออายุใบอนุญาต 2 ปี   http://www.hotcourses.in.th/study-in-ireland/career-focus/working-in-ireland-after-graduation/
เอกสารสมัครเรียน เมื่อจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
 เอกสารที่ใช้ในการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ  ประเทศอเมริกา ( USA )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport - Bank Statement ( สำเนา )    เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Application Fee - Transcript ( ตัวจริง + สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( ตัวจริง + สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( ตัวจริง + สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล GMAT / GRE ( สำเนา ) ( ถ้าสมัครมหาวิทยาลัยที่ต้องการผล GMAT / GRE ) - Copy passport        ประเทศอังกฤษ ( UK )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport      เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Transcript ( สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา )  - Copy passport          ประเทศอออสเตรเลีย ( Australia )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport      เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Application Fee - Transcript ( สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - Copy passport          ประเทศแคนาดา ( Canada )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport      เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Application Fee - Transcript ( สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - Copy passport        ประเทศนิวซีแลนด์ ( New Zealand )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport      เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Application Fee - Transcript ( สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - Copy passport        ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ( Switzealand )     เอกสารสำหรับสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษ - Transcript ( สำเนา ) - Copy passport      เอกสารสำหรับสมัครเรียนปริญญาตรี และ ปริญญาโท - Application Fee - Transcript ( สำเนา ) - Resume  - Statement of Purpose - 2 Recommendation Letter ( สำเนา ) - หนังสือรับรองการทำงาน ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - ผล IELTS / TOEFL ( สำเนา ) ( ถ้ามี ) - Copy passport         studyoverseas.co.th   22/11 ซ.บาซ่าร์-ชิดลม ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ ไทย 10330   โทรศัพท์ : 02-2557592, 02-2559950  
การเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา
 การเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา - การนำของสด พืช ผัก ผลไม้ เครื่องแกง เครื่องปรุง อาหารสด แห้งของไทยเข้าสหรัฐฯ (รวมทั้งยารักษาโรค) จะมีวิธียุ่งยากมาก และอาจเสี่ยงต่อการที่ศุลกากรจะนำสิ่งของดังกล่าวไปทิ้งหรือทำลาย - ห้ามนำสารหรือวัตถุไวไฟเข้าประเทศ เช่น น้ำมันไฟแช็ก หรือแก๊สสำหรับไฟแช็ก หรือสารอันตรายอื่น ๆ ใส่กระเป๋าสัมภาระ - การสอบใบขับขี่ของสหรัฐฯ อาจใช้ใบขับขี่ของไทยมารับรองที่สถานเอกอัครราชทูตฯ หรืออาจใช้ใบขับขี่สากลไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอทำใบขับขี่ ของแต่ละรัฐได้ - การจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะกับอากาศ ก่อนเดินทางควรตรวจสอบสภาพอากาศของแต่ละเมืองที่คุณจะเดินทางไป เพราะประเทศอเมริกาใหญ่โตมาก อากาศในแต่ละโซนแตกต่างกันไป - กระเป๋าเดินทางไม่ควรปิดล็อค เนื่องด้วยด่านตรวจคนเข้าเมืองและทางรัฐบาลมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดกับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศ สัมภาระของคุณอาจถุกตรวจสอบ ดังนั้นกุญแจที่ล็อคควรเป็นกุญแจแบบสากลที่เจ้าหน้าที่สามารถเปิดดูได้ ในกรณีที่มีการล็อคกระเป๋าด้วยกุญแจส่วนตัว อาจทำให้น่าสงสัยและอาจเกิดการเสียหายของกระเป๋าได้ - ไม่ควรรับฝากสิ่งของจากบุคคลแปลกหน้าและหากเป็นคนรู้จัก ก็ควรจะเปิดดูสิ่งของที่ฝากส่งมาว่าไม่ใช่สิ่งเสพติดและสิ่งของผิดกฎหมาย หากมี คนไม่รู้จักท่านมาก่อนหรือรู้จักโดยบังเอิญ ขอให้พาหรือดูแลคนไทยหรือคนต่างชาติเดินทางเข้าสหรัฐฯ ขอให้ปฏิเสธ เนื่องจากผู้นั้นอาจถือเอกสารเดินทางปลอม และท่านจะต้องปฏิเสธกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ว่าไม่รู้จักแม้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ หรือพูดคุยกันบนเครื่องบิน ทั้งนี้ มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้จับคนไทยหรือเนรเทศกลับไทย โดยคิดว่าท่านอาจเป็นกลุ่มเดียวกับบุคคลลักลอบนำคนต่างชาติเข้าสหรัฐฯ - การจะมาศึกษาต่อควรมีเอกสารการศึกษาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ และอาจรับรองเอกสารที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว (แต่ทั้งนี้แล้วแต่ข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยว่า จะต้องรับรองเอกสารดังกล่าวหรือไม่) ที่สำคัญห้ามลืมเอกสารการเรียน การรับรองจากทางสถาบันหรือมหาวิทยาลัยด้วย - ตรวจสอบข้อมูลของวีซ่าให้ถูกต้องและหนังสือเดินทางต้องมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน - การเดินทางและอยู่ในสหรัฐอเมริกา ควรเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะในแต่ละรัฐกฏหมายแตกต่างกันไป ขอบคุณข้อมูล : http://www.cpinter.co.th
วีซ่าท่องเที่ยวนิวซีแลนด์
 NZ Tourist visa   คุณสามารถมารับแบบฟอร์มต่างๆได้ด้วยตนเอง หรือดาวน์โหลดจาก www.immigration.govt.nz แบบฟอร์มใบสมัครขอวีซ่าประเภทท่องเที่ยวแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้   1. แบบฟอร์ม Tourist/Business Visitor Visa Application (INZ 1189) สำหรับผู้สมัครที่ประสงค์จะเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์และจะพำนักในประเทศไม่เกิน 6 เดือน โดยผู้สมัครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยตนเอง หรือนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในกรณีที่เดินทางไปเพื่อเจรจาธุรกิจ (business) 2. แบบฟอร์ม Visitor Visa Application (INZ 1017) สำหรับผู้สมัครวีซ่าท่องเที่ยวประเภทอื่นซึ่งไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น   ทั้งนี้ ผู้สมัครต้องกรอกใบสมัครขอวีซ่าเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น คู่สมรสและบุตรอายุไม่เกิน 19 ปี สามารถรวมอยู่ในใบสมัครเดียวกันกับผู้สมัครหลักได้    เอกสารประกอบการขอวีซ่าท่องเที่ยวมีดังต่อไปนี้ ใบสมัครวีซ่าท่องเที่ยว (INZ 1017/INZ 1189) ที่ได้กรอกรายละเอียด พร้อมกับติดรูปถ่ายสี ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป ค่าธรรมเนียมวีซ่า 4,300 บาท (ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2555) ชำระค่าธรรมเนียมด้วย บัตรเครดิตวีซ่า/มาสเตอร์ ตั๋วแลกเงิน แคทเชียร์เช็ค หรือ เช็คที่ออกโดยธนาคาร สั่งจ่าย “สถานทูตนิวซีแลนด์(สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)” จะไม่มีการคืนค่าวีซ่าไม่ว่าผลการพิจารณาจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ หนังสือเดินทาง พร้อมสำเนา 1 ชุด หลักฐานการจองตั๋ว หรือตั๋วเครื่องบิน หลักฐานการเงิน (สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน6 เดือน หรือ Bank statement) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางอย่างน้อยคนละ 1,000 เหรียญนิวซีแลนด์ ต่อเดือน จำนวน 1 ชุด ในกรณีที่ชาวนิวซีแลนด์เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางของท่าน  กรุณายื่นแบบฟอร์ม “Sponsorship form for Temporary Entry (INZ 1025)” ที่ได้กรอกรายละเอียด พร้อมทั้งได้รับการรับรองจากกองตรวจคนเข้าเมืองที่ประเทศนิวซีแลนด์แล้ว กรณีผู้สมัครที่ต้องการเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์นานกว่า 6 เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จะต้องยื่นใบตรวจวัณโรค (INZ 1096) กรณีผู้สมัครต้องการเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์เกิน12 เดือน จะต้องยื่นใบตรวจสุขภาพและเอ็กซเรย์ (INZ 1007)   ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2554 เป็นต้นไป สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์ สาขากรุงเทพฯสามารถรับเอกสารประกอบการพิจารณาวีซ่าฉบับภาษาไทย โดยมิต้องแนบเอกสารฉบับแปล(ภาษาอังกฤษ) ประกอบ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อาจขอให้ผู้สมัครยื่นเอกสารฉบับแปล (ภาษาอังกฤษ) ในบางกรณีที่เห็นสมควร การยื่นใบสมัคร ท่านสามารถยื่นขอวีซ่าด้วยตนเอง หรือส่งทางไปรษณีย์ได้ที่                 แผนกวีซ่า สถานทูตนิวซีแลนด์                 ชั้น 15 อาคารเอ็มไทยทาวเวอร์  ออลซีซั่นเพลส เลขที่ 87  ถนนวิทยุ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330                 โทรศัพท์      (66) 2 654 3444 แฟกซ์     (66) 2 654 3445 อีเมลล์      nzisbangkok@dol.govt.nz เวลาทำการ  09.00 – 12.00 และ 13.00 – 15.00 (วันจันทร์ ถึง วันศุกร์) ยกเว้นวันพุธ ปิดเวลา 14.00 ระยะเวลาการพิจารณา ใบสมัครส่วนใหญ่จะได้รับการพิจารณาภายใน 7 วัน ในบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจขอเอกสารอื่นเพิ่มเติม หรือขอสัมภาษณ์ ซึ่งทำให้ระยะเวลาพิจารณาเพิ่มขึ้น หรืออาจถึง 30 วัน โดยเจ้าหน้าที่จะติดต่อ และแจ้งให้ท่านทราบ
การยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวอังกฤษ
 การยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวอังกฤษ ประเภทท่องเที่ยว เยี่ยมญาติ ธุรกิจ และราชการ   1. หนังสือเดินทางที่เหลืออายุใช้งานได้เกิน 6 เดือน และหนังสือเดินทางทุกเล่มที่มี 2. กรอกแบบฟอร์ม Non-Settlement Form (VAF 1/2007) ให้ครบถ้วนเป็นภาษาอังกฤษ และลงลายมือชื่อด้วยตนเอง 3. รูปถ่ายปัจจุบันหน้าตรง 1 รูป อายุไม่เกิน 6 เดือน ฉากหลังต้องเป็นสีขาว,สีขาวนวล เท่านั้น ขนาด 35 มม. x 45 มม. ( 1 1/2 x 2.0 นิ้ว ) 4. เพื่อความสะดวดรวดเร็วในการยื่นขอวีซ่าท่านสามารถชำระค่าธรรมเนียมโดยการชำระเป็น ตั๋วแลกเงิน (banker's draft) สั่งจ่าย "สถานฑูตอังกฤษ กรุงเทพมหานคร" (ไม่รับเป็นเช็คส่วนบุคคล) ชำระเป็นรายบุคคล 5. สำเนา บัตรประจำตัวประชาชน / บัตรประจำตัวพนักงานบริษัท หรือ บัตรประจำตัวข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ 6. หนังสือรับรองการทำงาน ระบุตำแหน่ง ระยะเวลาการว่าจ้าง ระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ลางาน หรือ ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ กรุณานำหนังสือจดทะเบียนธุรกิจ และหลักฐานการดำเนินธุรกิจ 7. หนังสือรับรองจากสถานศึกษา ในกรณีที่เป็นนักเรียน หรือ นักศึกษา 8. หลักฐานทางการเงิน    1. สมุดบัญชีธนาคาร (Bank book) ทุกเล่มที่มี พร้อมสำเนาย้อนหลัง 6 เดือน หรือ    2. ใบแจ้งยอดบัญชีเงินฝากธนาคาร ย้อนหลัง 6 เดือน (Bank Statement)    3. ใบแสดงรายการเงินเดือน (Pay slip)   ขอขอบคุณข้อมูล : http://www.cpinter.co.th
ค่าครองชีพ ในสิงค์โปร์
    เรียนสิงคโปร์ : ค่าครองชีพเป็นอย่างไร?       ถึงแม้ว่าค่าครองชีพในสิงคโปร์นั้น แทบจะสูงที่สุดในเอเชีย แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศในโลกตะวันตก ปรากฏว่าค่าครองชีพของสิงคโปร์นั้นค่อนข้างต่ำ, ส่วนอาหารและเสื้อผ้าก็ขายอยู่ในราคาที่สมเหตุสมผล       ค่าใช้จ่ายที่หนักหนาที่สุดก็คือค่าเล่าเรียน ตามมาด้วยค่าที่พักและค่าอาหาร  โดยนักเรียนต่างชาติที่มาเรียนต่อในสิงคโปร์นั้น มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 750 เหรียญถึง 2,000 เหรียญต่อเดือน  ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับไลฟสไตล์และหลักสูตรที่เลือกเรียน       ค่าอาหารต่อมื้อหนึ่งในโรงอาหารนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 225 เหรียญถึง400 เหรียญ ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้น ตกอยู่ที่ 100 – 150 เหรียญ (เฉพาะการเดินทางสาธารณะเท่านั้น) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ • อาหารกลางวัน ประมาณ 90-150 เหรียญต่อเดือน (ตกอยู่ที่ประมาณ 3-5 เหรียญต่อวันต่อมื้อ) • ค่าโทรศัพท์ ประมาณ 30 เหรียญ (ขึ้นอยู่กับการใช้และโปรโมชั่นที่เลือก) • ค่าหนังสือและอุปกรณ์ ประมาณ 30-70 เหรียญ (ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่เรียน) • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ประมาณ 50-100 เหรียญ (แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง, ค่าตัดผม และอื่นๆ) ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง       การชอปปิ้งนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของประเทศนี้ จึงทำให้ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และร้านขายเสื้อผ้าตั้งอยู่ตลอดสองข้างทางของ Orchard Road  แต่สถานที่เหล่านี้ก็ขายสินค้าที่ราคาสูงเกินกว่างบประมาณที่เด็กนักเรียนจะแบกรับไหว       ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาจับจ่ายซื้อของจากตลาดนัดต่างๆแทน เช่น The Lime Flea market ที่มีทุกๆวันเสาร์  โดยตลาดนัดนี้จะขายเสื้อผ้าแนววินเทจและเครื่องประดับทำเองมากมาย เป็นต้น ซึ่งนอกจากราคาจะไม่แพงมากแล้ว ยังสามารถที่จะต่อรองราคากับคนขายได้อีกด้วย       นอกจากนี้ การไปดูหนังก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมของคนที่นี่ จึงทำให้ราคาของตั๋วหนังมีราคาไม่แพงจนเกินไป คือ อยู่ที่ประมาณ 10 เหรียญ  โดยภาพยนตร์ที่ฉายในประเทศนี้มักจะเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่ก็มีภาพยนตร์ประเภทอื่นๆเช่นกัน เช่น จีน, ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เช่นกัน โดยมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ   ที่มา : http://www.hotcourses.in.th/study-in-singapore/student-finance/student-living-costs-in-singapore/
1 2 3 4 5 6 7 8 9 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา