หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ
นักเรียนที่สนใจ เรียนต่อต่างประเทศ แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าประเทศไหนที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ วันนี้เรามี 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ มาให้ทุกคนได้อ่านแล้ว   1. ประเทศแคนาดา – Canada 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ เริ่มต้นกันที่ประเทศแคนาดา ประเทศที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ ความอบอุ่นและเป็นมิตรของผู้คนท้องถิ่น ที่พร้อมจะช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติทุกเมื่อ เป็นประเทศที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรมที่น่าสนใจ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย เป็นสวรรค์ของนักเรียนที่ชอบบรรยากาศความหนาวเย็นของหิมะขาวๆ ที่มีหน้าหนาว 4-5 เดือน หน้าร้อนที่มีแสงแดดอบอุ่นอากาศเย็นสบาย ผู้คนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และอีกทั้งนักเรียนหลายคนๆยังได้ภาษาฝรั่งเศสแถมมาด้วย เพราะชาวแคนาดาจำนวนมากสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้เหมือนกัน   2. ประเทศอังกฤษ – UK 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาดั้งเดิม อยากได้สำเนียงภาษาอังกฤษที่ไพเราะ ในระบบการศึกษาที่มีมาตราฐานสูงสุด ความเก่าแก่สวยงามของเมือง ตึก ในประเทศอังกฤษเป็นเหมือนสวรรค์ขอนักเรียนที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ เพราะที่ประเทศอังกฤษเป็นเสมือนศูนย์กลางของยุโรปที่นักเรียนสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปที่ยุโรปได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ราคาอาจจะสูงกว่าประเทศอื่นๆ แต่ความปลอดภัย ความสะดวกสบายของประเทศอังกฤษนั้นสูงสุดแน่นอน   3. ออสเตรเลีย – Australia 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ หนึ่งในแประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักเรียนชาวต่างชาติที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ ในประเทศออสเตรเลียนั้นมีความอบอุ่นตลอดทั้งปี เป็นเมืองที่ให้ความผ่อนคลายแก่ผู้มาเยือน เมืองที่ทันสมัย วันรุ่นๆ ชายหาด ทะเล แสงแดด เหมาะสำหรับนักเรียนที่มองหาความมสนุกสนานระหว่างที่เรียนภาษาอังกฤษ ประเทศออสเตรเลียเปรียบเสมือนเมืองใหม่ของประเทศอังกฤษ เพราะประชาชนชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่ย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเรื่องภาษาอังกฤษนั้นอาจจะมีสำนียงแบบออสซี่นิดๆ แต่มีเสน่ห์อีกแบบ   4. นิวซีแลนด์ – New Zealand 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ หลังจากที่นักเรียนหลายๆคนได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสบรรยากาศการเรียนการสอน และธรรมชาติที่ประเทศนิวซีแลนด์ นักเรียนทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศนิวซีแลนด์นี้เป็นที่สุดของที่สุด เมืองสงบ ธรรมชาติงดงาม ผู้คนเป็นมิตร อากาศดีสุดๆ ความปลอดภัยสูง  อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ได้รับการโวตว่าเป็นประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวคนเดียวอีกด้วย   5. ไอร์แลนด์ – Ireland 6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ ประเทศที่มีแต่ความสนุกสนาน ครื้นแครง ที่นักเรียนจะได้พบกับเพื่อนๆใหม่มากมาย ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม กับระบบการศึกษาแบบยุโรปผสมผสานอย่างลงตัว เรื่องอาหารที่มีความอร่อยขึ้นชื่อ อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากประเทศอังกฤษที่นักเรียนสามารถไปท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายและราคาไม่แพงอีกด้วย   6. อเมริกา – USA  6 ประเทศที่เหมาะแก่การเรียนภาษาอังกฤษ ขาดไม่ได้เลยทีเดียวกับประเทศอเมริกา ที่เป็นประเทศที่มีโรงเรียนภาษาอังกฤษมากที่สุดในโลก นักเรียนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกเลือกที่จะมาเรียนที่ประเทศอเมริกา ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ทันสมัย ความเจริญของเมืองต่างๆ ความแตกต่างของอากาศและวัฒนธรรมในแต่ละเมืองที่นักเรียนสามารถเลือกได้ตามความชอบทั้ง หิมะ ทะเล ป่าเขา และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีนักเรียนสนใจมากที่สุด   ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : Kaplan International English    
ไชน่าเดลีเผย 10 อันดับอาชีพรายได้สูงที่คาดว่าจะมาแรงในอีกไม่กี่ปี
 สำหรับประเทศจีนในปัจจุบันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจใหญ่ยักษ์ทางเศรษฐกิจอีกขั้นหนึ่งด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่สูงมาก ทำให้ประเทศนี้มาแรงไม้แพ้ใครในช่วงนี้เลยล่ะครับ อีกทั้งตลาดแรงงานจีนก็มีกำลังคนมากๆ อีกด้วย   ล่าสุดทาง  ไชน่าเดลี เผย 10 งานอาชีพรายได้สูงที่สุดในจีนเวลานี้ โดยเว็บไซต์ YJBS.com ระบุว่า ขณะนี้งานอาชีพที่มีอนาคตที่ดีในตลาดแรงงานจีน มีโอกาสได้งานและเพดานเงินเดือนที่สูง โดย 10 อันดับอาชีพแรกมีดังต่อไปนี้ครับ   10. สายงานอุตสาหกรรมผลิตยา รายได้ขั้นต่ำ 60,000 หยวนขึ้นไป / ต่อปี หรือราวๆ 310,000 บาท ในบรรดาผู้ศึกษาด้านการแพทย์และเภสัชฯนั้น พบว่า มีสัดส่วนของผู้สำเร็จการศึกษาที่เลือกทำงานในอุตสาหกรรมผลิตยา ที่นับวันจะมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ   9. สายงานธุรกิจขนส่ง ลอจิสติกส์ รายได้ขั้นต่ำ 70,000 – 100,000 หยวน/ ต่อปี 362,000 ธุรกิจการจัดการโลจิสติกส์ หรือ ลอจิสติกส์ (logistics) เป็นระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่นจากจุดต้นทางไปยังจุดบริโภคตามความต้องการของลูกค้า ขณะที่เทคโนโลยีซื้อขายออนไลน์ได้เติบโตมาก ผู้ประกอบการขนส่งจึงได้รับอานิสงค์อย่างมหาศาลไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนนั้้น ยังมีผู้ทำงานด้านนี้ที่สำเร็จการศึกษาโดยตรงเพียงสัดส่วนที่ร้อยละ 21 เท่านั้น จึงยังมีที่ว่างสำหรับบัณฑิตใหม่ใฝ่อนาคตอีกมาก   8. สายงานวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม รายได้ขั้นต่ำ 80,000 – 100,000 หยวน/ ปี หรือราวๆ 460,000 บาท การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีนได้มีผลกระทบกับทรัพยากรธรรมชาติ และก่อมลภาวะมากมาย รัฐบาลจีนจึงมีวาระแห่งชาติ ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังนั้น บุคลากรด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering) ซึ่่งสามารถศึกษา วิเคราะห์ ออกแบบ ก่อสร้าง ควบคุมดูแลระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อม เช่น มลภาวะทางน้ำ อากาศ เสียง ขยะ สารพิษอันตราย ฯลฯ จึงเป็นอีกตำแหน่งที่อย่างไรเสีย ไม่มีวันตกงาน หรือรายได้ต่ำ   7. ผู้เชี่ยวชาญศุลกากร รายได้ขั้นต่ำ 80,000 – มากกว่า 100,000 หยวน/ ปี ราวๆ 460,000 บาท เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับอานิสงค์จากการเปิดตลาดค้าขายสู่โลกกว้างของจีนเช่นเดียวกับสายงานด้านลอจิสติกส์ โดยผู้ประกอบการซึ่งผลิตสินค้ายังคงต้องพึ่งพาคนกลางที่ประสานพิธีการศุลกากรอันจุกจิก และมักมีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้ไขนั่นเอง   6. ผู้ตรวจสอบบัญชี รายได้ขั้นต่ำมากกว่า 100,000 หยวน/ ปี หรือราวๆ 518,000 บาท มีผู้กล่าวว่า งานด้านบัญชีนั้นอย่างไรเสียก็ตกงานยาก เพราะไม่ว่ากิจการห้างร้านที่รุ่งเรืองหรือล้มละลาย คนที่จะถูกไล่ออกคนสุดท้ายคือคนทำบัญชี ขณะที่การค้าจีนรุ่งเรือง ผู้ให้บริการทางการบัญชี ซึ่งสามารถดูแลการทำบัญชี และการตรวจสอบบัญชี การตรวจสอบ การรับรองความถูกต้อง และความครบถ้วนในการทำบัญชี และเอกสารทางการเงินได้ยิ่งต้องเป็นที่ต้องการตลอดกาล   5. บรรณาธิการออนไลน์ รายได้ขั้นต่ำ 100,000 – 120,000 หยวน/ ปี หรือราวๆ 570,000 บาท ด้วยการเติบโตของวัฒนธรรมสื่อรุ่นใหม่ ทำให้ปัญหาให้ของการป้อนข้อมูลข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพตามช่องทางจำนวนมากที่เปิดกว้าง กำลังเป็นพื้นที่ใหญ่ให้ผู้มีความสามารถด้านการเรียบเรียงเนื้อหา ข้อมูลสำหรับผู้รับสาร และนี่คืองานของบรรณาธิการออนไลน์ และนักข่าวนักเขียนออนไลน์ทั้งหลาย   4. นักคณิตศาสตร์ประกันภัย รายได้ขั้นต่ำ 120,000 – มากกว่า 150,000 หยวน / ปี  หรือราวๆ 725,000 บาท นักคณิตศาสตร์ประกันภัย (actuary) ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดอาชีพที่มีรายได้ดีที่สุด โดยผู้ทำอาชีพด้านนี้มีความเชี่ยวชาญในการประเมินผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านการเงินจากความไม่แน่นอนในอนาคต อันเป็นหลักการทำธุรกิจที่สำคัญของทุกบริษัทประกันฯ ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่ขยายเติบโตอย่างมากในจีนจนคาดว่าอีกไม่กี่ปี จีนจะเป็นตลาดประกันภัยที่ใหญ่โตมหาศาลที่สุดในโลก   3. วิศวกรผู้ออกแบบ และดูแลระบบฯ รายได้ขั้นต่ำ 100,000 – 200,000 หยวน/ปี หรือราวๆ 777,000 บาท ผู้ทำงานด้านนี้ต้องการคนหัวพิเศษที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวางระบบต่างๆ ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งดูแลรักษาระบบข้อมูลอันเป็นสิ่งจำเป็นของทุกองค์กร โดยบัณฑิตจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ ก็รับไปก่อนเลยไม่ต่ำกว่า 80,000 ต่อปี   2. วิศวกรเทคโนโลยี 3จี รายได้ขั้นต่ำ 200,000 หยวนขึ้นไป /ปี หรือราวๆ 1 ล้านบาท เนื่องจากเทคโนโลยี 3จี เป็นเสมือนโครงสร้างใหม่แห่งการสื่อสารของโลกทุกวัน ดังนั้น ผู้ประกอบการต่างต้องการพัฒนาซอฟตแวร์โปรแกรมต่างๆ เพื่อใช้กับเทคโนโลยีนี้ และชิงความได้เปรียบทางธุรกิจเหนือคู่แข่ง   1. ล่ามแปลภาษา รายได้ขั้นต่ำ 300,000 – มากกว่า 400,000 หยวน/ ปี หรือราวๆ 2 ล้านบาท เมื่อตะวันออกเปิดประตูสู่ตะวันตก ตำแหน่งงานของล่ามสำหรับสื่อสารกับชาวต่างชาติ นับเป็นงานที่มีรายได้ต่อชั่วโมงสูงที่สุดในจีนเวลานี้ (ไม่ต่ำกว่า 4,000 – 8,000 หยวน/ ชั่วโมง) อีกทั้งมีงานให้เลือกทำอย่างมากมายอีกด้วยล่ะ Source: Manager.co.th  
STUDY IN USA
 STUDY IN USA  ข่าวดี สำหรับน้องๆที่อยากเรียนป.ตรีที่ USA : เรียน ป.ตรี2-year Colleges คุณภาพเทียบเท่ามหาวิทยาลัย  ค่าใช้จ่ายประหยัดกว่าถึง 2 ล้านบาท* สามารถโอนหน่วยกิตไปเรียนมหาวิทยาลัย TOP ในอเมริกา อีก 2 ปี เช่น Santa Barbara City College, California*, Foothill & DeAnza College (CA)*, Marymount College, Citrus College, Lane Community College, Bellevue College, WA, Glendale Community College, Santa Monica College, Whatcom Community College, Spokane Fall Community College, Snow College, UT* *ยังมีอีกเพียบ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ SOC       จะเรียนมหาวิทยาลัยไหนดีในอเมริกา อยากเรียน MBA/Engineer ไม่อยากสอบ GMAT/GRE, GPA น้อย, ไม่อยากสอบ IELTS/TOEFL, จบ Inter เขาเรียนที่ไหนดี, อยากเข้ายูดัง, อยากได้ทุนจัง, อยากเรียนนอกแต่งบจำกัด หรือจะเป็นเรื่องอื่นหลากหลายคำถาม ปรึกษาเรา ที่นี่มีคำตอบ       จะเรียนที่ไหนดีในอเมริกา: ภาษา ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี โท เอก Colorado State University มหาวิทยาลัยรัฐบาลตั้งอยู่เมือง FortCollin, รัฐ Colorado  www.colostate.edu/international Highlight ข่าวดีสำหรับนักเรียนที่ GPA ไม่ถึงเกณฑ์ก็สามารถเข้าเรียนได้* มหาวิทยาลัยติด Top 100 ในอเมริกา และ Top 200 ของมหาวิทยาลัยทั่วโลก* ติดอันดับ #67 ทางด้าน Engineering* หลักสูตรเด่น Agriculture, Human Sciences, MBA, Business, Accounting, Finance, Marketing, Engineering, Journalism, Natural Sciences, Veterinary Medicine & Biomedical Sciences, Tourism and etc Requirement/Tuition GPA สำหรับ ป.ตรี/ป.โท รับ GPA 3.0,  IELTS 6.5/TOEFL 80 ต้องยื่นผล GMAT/GRE, ป.ตรีสามารถยื่นผล SAT หรือ ACT ได้ นักเรียนสามารถขอ Conditional Admission ได้* ค่าเรียนปี 2013/2014: ค่าเรียนป.ตรี $1285.81 / หน่วยกิต, ป.โท $1,318.41/หน่วยกิต Concordia University Wisconsin: มหาวิทยาลัยเอกชนตั้งเมือง Mequon รัฐ Wisconsin ห่างจากตัวเมือง Milwaukee ประมาณ 15 นาที และ Madison ประมาณ 2 ชั่วโมง website: www.cuw.edu  Highlight เรียน MBA จบภายใน 1-1.5 ปี ไม่ต้องสอบ GMAT, จบ Inter. Program เข้าได้เลย ไม่ต้องสอบ IELTS/TOEFL หลักสูตรเด่น MBA, Marketing, Finance, Risk Management, Education, Information Technology, Nursing, Pharmacy and etc Requirement/Tuition GPA 2.5-2.8+ IELTS 6.5 หรือ TOEFL 79 ค่าเรียนปี 2013/2014: ป.ตรี $23,970/ปี, ป.โท $1470- $1770/ วิชา, MBA $23,010/ตลอดหลักสูตร 13 วิชา Dallas Baptist University มหาวิทยาลัยเอกชนตั้งอยู่เมือง Dallas, Texas www.dbu.edu Highlight ไม่ต้องใช้ GMAT/GRE ในการสมัครเรียน* (สามารถยื่นภายในเทอม 2 ได้) ไม่มีผลภาษาสามารถเรียนภาษาของมหาวิทยาลัยได้เลยไม่ต้องสอบ IELTS/TOEFL   หลักสูตรเด่น MBA, Accounting, Health Care Management, Project Management, Information Systems, Technology Engineering Management, Marketing, eBusiness, Entrepreneurship and etc. Requirement/Tuition GPA 2.5 สำหรับ ป.ตรี/ GPA 3.0 สำหรับ ป.โท; ป.ตรี IELTS 5.5 (แต่ละ band ไม่ต่ำกว่า 5)/ TOEFLiBT 71 ป.โท IELTS 6.0 (แต่ละ Band ไม่ต่ำกว่า 5)/ TOEFL 79 หรือเรียนภาษาของมหาวิทยาลัย ค่าเรียนปี 2013/2014:ป.ตรี $18,000/ปี ค่าใช้จ่ายโดยรวม $27,500/ปี, ป.โท $14,000/ปี  ค่าใช้จ่ายโดยรวม  & $23,200, ป.เอก $14,500/ปี  ค่าใช้จ่ายโดยรวม $26,500/ปี Fontbonne University: มหาวิทยาลัยเอกชนตั้งเมือง St. Louis, Missouri : www.fontbonne.edu (ข้อมูลเพิ่มเติมหน้า....) Highlight DUAL-Degree Master: MBA + Supply Chain, Management หรือ Non-Profit Mgnt. จบภายใน 1-1.5 ปี ได้ 2 ปริญญา ไม่ต้องใช้ GMAT หลักสูตร Business School ได้รับการยอมรับจาก ACBSP* ทุนการศึกษาป.ตรีสุงถึง $15,000/ปี หลักสูตรเด่น MBA+ Business English, Art/Fine Arts, Education, Human Environment Science, Teaching, Theatre etc. Requirement/Tuition GPA 2.5+, IELTS 5.5 หรือ TOEFL 65 ค่าเรียน 2014/2015: ป.ตรี $22,834/ปี, ป.โท $12,084/ปี, MBA+Biz English $14,375/ปี (หลักสูตร 2 ปี) และ $26,309/หลักสูตร 1 ปี Florida International University มหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่เมือง Miami รัฐ Florida www.fiu.edu Highlight เรียน ป.โท จบภายใน 1 ปี หลักสูตรเด่น International MBA, Human Resource Management, Management Information Systems, Finance, MBA Requirement/Tuition TOEFL 80/213/550 หรือ IELTS 6.5, ต้องยื่นผล GMAT/GRE (GPA 3.0+ ประสบการณ์ 4-5 ปี ไม่ต้องใช้ GMAT/GRE) ค่าเรียนปี 2013/2014: ค่าเรียน+ค่าครองชีพ ป.โท  $28,000- $49,000/ ปี ขึ้นอยู่คณะที่เลือก Florida Institute of Technology มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่เมือง Melbourne รัฐ Florida www.fiu.edu Highlight มีหลักสูตรโดนเด่นหลากหลายทางด้าน Engineering, Business, IT และอื่นๆ หลักสูตรเด่น MBA, Aerospace Engineering, Computer Engineering, Electrical Engineering, Mechanical Engineering, Supply Chain Management Requirement/Tuition ป.ตรี รับ GPA 2.5/3.0 ไม่ต้องใช้ SAT, ป.โท GPA 3.0 , TOEFL 79/IELTS 6.5 หรือเรียนภาษาของมหาวิทยาลัยไม่ต้องใช้ GMAT, GRE 1000+ สำหรับบางคณะ ค่าเรียนปี 2013/2014: ป.ตรี $15,555-$17,730/sem (12-19 หน่วยกิต), ป.โท $1,123/ หน่วยกิต Hawaii Pacific University มหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่เมือง Honolulu รัฐ Hawaii www.hpu.edu Highlight เรียน MBA จบภายใน 12 เดือน ไม่ต้องใช้ประสบการณ์ทำงาน หลักสูตรเด่น MBA, Communication, Marine Science, Education, Social Work , TESOL, Information Systems, Travel Industry Management & etc Requirement/Tuition TOEFL 80 (Writing 25)/550/213 หรือ IELTS  6.0 (Writing 6.5)  หรือ จบภาษาที่ ELS Level 112, GMAT สำหรับ MBA ค่าเรียนปี 2013/2014: ค่าเรียน ป.ตรี $19,980/ปี (12-16 หน่วยกิต/sem), ป.โท& MBA $825/หน่วยกิต, MSMS $1,092/ หน่วยกิต John F. Kennedy University มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็ก ตั้งอยู่เมือง San Francisco รัฐ California www.jfku.edu Highlight มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทางด้าน Psychology, Business Psychology  เปิดสอนระดับตรี โท เอก หลักสูตรเด่น MBA, Counseling Psychology, Sport Psychology, Health Science และอื่นๆ Requirement/Tuition IELTS 6.0 แต่ละ Part ไม่ต่ำกว่า 5.5/ TOEFL 79-80 (IELTS 7.0/TOEFL 100 สำหรับ Museum Studies) ค่าเรียนปี 2013/2014: ค่าเรียนป.ตรี $465/หน่วยกิต ($1,395/วิชา), ป.โท $635/หน่วยกิต ($1,905/วิชา) LIU Post (Long Island Uni.), NY มหาวิทยาลัยเอกชนตั้งอยู่ Brookville, New York www.liu.edu/post Highlight มหาวิทยาลัยทางด้าน Business & Accounting หลักสูตรเด่น MBA, Business, Elementary Education, TESOL, Biology Criminal Justice, Psychology and etc Requirement/Tuition ป.ตรี รับ GPA 3.0 ป.โท GPA 2.5 , TOEFL 41-70 (ตรี) 61-78 (โท) สำหรับ สำหรับ conditional admission, ต้องยื่น GMAT (400-450)/GRE ค่าเรียนปี 2013/2014: ป.ตรี $15,601/เทอม (12-18 หน่วยกิต) ป. โท $1,068/หน่วยกิต (MBA 48 หน่วย) Marshall University มหาวิทยาลัยรัฐบาล ตั้งอยู่เมือง Huntington รัฐ West Virginia www.marshall.edu Highlight ติดอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยในอเมริกาทางด้าน Forensic Science’s Master*, Top อันดับ 16 Public Regional Universities, South * ข่าวดีสำหรับนักเรียนที่ GPA ไม่ถึงเกณฑ์ก็สามารถเข้าเรียนได้* หลักสูตรเด่น Business, Engineering, Sciences, Fine Arts, Environmental Science, Information Systems, Business Mgnt, HRM, Health Care and etc Requirement/Tuition GPA สำหรับ ป.ตรี/ป.โท รับ GPA 3.0,  IELTS 6.5/TOEFL 80 ต้องยื่นผล GMAT/GRE, ป.ตรีสามารถยื่นผล SAT หรือ ACT ได้ นักเรียนสามารถขอ Conditional Admission ได้* ค่าเรียนปี 2013/2014: ค่าเรียนป.ตรี $ 14,446/ ปี, ป.โท $15,916/ ปี (9 เดือน) Marylhurst University มหาวิทยาลัยเอกชน ตั้งอยู่เมือง Marylhurst รัฐ Oregon ห่างจากตัวเมือง Portland ประมาณ 15 นาที www.marylhurst.edu Highlight เรียน MBA  15 เดือน ไม่ต้องใช้ผล GMAT , จบ International Program ไม่ต้องสอบ IELTS/TOEFL หลักสูตรเด่น        
เอกสารประกอบการยื่นวีซ่านักเรียนประเทศออสเตรเลีย
  เอกสารประกอบการยื่นวีซ่านักเรียนประเทศออสเตรเลีย     1. แบบฟอร์ม 157A ที่กรอกสมบูรณ์แล้ว 2. รูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 3 รูป 3. หลักฐานการศึกษา Transcript ตัวจริงพร้อมสำเนา 4. หลักฐานอื่นๆ หลังจากจบการศึกษา (ถ้ามี)      - กรณีทำงานแล้ว ให้นำจดหมายรับรองจากที่ทำงานทุกแห่งที่เคยทำ ระบุตำแหน่ง อัตราเงินเดือน วันเริ่มและวันสิ้นสุดของการทำงาน      - กรณีที่ทำงานในธุรกิจในครอบครัว ให้นำจดหมายจากผู้ปกครองซึ่งระบุว่าได้ช่วยเหลือกิจการของครอบครัวนับตั้งแต่จบการศึกษาเป็นต้นมา พร้อมแนบสำเนาทะเบียนการค้า (ถ้ามี )      - กรณีที่เรียนเพิ่มเติม เช่น ภาษา คอมพิวเตอร์ หรือหลักฐานอื่นๆ จะต้องนำใบรับรองจากสถาบันการศึกษานั้นๆ มาแสดงเพื่อเป็นหลักฐานพร้อมสำเนา      - กรณีมิได้ทำงาน ขอให้นำใบรับรองจากผู้ปกครองว่าได้อยู่ในความควบคุมดูแลและได้รับการสนับสนุนด้านการเงินมาโดยตลอด 5. เอกสารแสดงฐานะทางการเงิน Bank Statement (อย่างใดอย่างหนึ่ง)          5.1 บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ให้นำสมุดบัญชีเงินฝากเล่มจริงพร้อมถ่ายสำเนา ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายที่แสดงตัวเลขด้านการเงิน วงเงิน 700,000 บาทขึ้นไป ย้อนหลัง 6 เดือน และให้ธนาคารรับรองสำเนา หรือ ออกใบรับรองฐานะการเงินของลูกค้าธนาคาร      5.2 บัญชีในรูปบริษัท ต้องมีหลักฐานระบุชื่อของผู้สนับสนุนทางการเงินอยู่ (หนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์ ) และเป็นผู้มีสิทธิ์ในการสั่งจ่ายเงินพร้อมด้วยสำเนาทะเบียนการค้า และบัญชีของบริษัท     6. หลักฐานการทำงานของผู้สนับสนุนทางการเงิน      - หนังสือรับรองจากที่ทำงาน โดยระบุระยะเวลาในการทำงาน ตำแหน่งงานที่ทำอยู่ปัจจุบัน และเงินเดือนที่ได้รับ 7. สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของนักเรียนและผู้สนับสนุนทางการเงิน 8. หนังสือเดินทาง Passport เล่มจริง (หากมีการต่ออายุให้นำเล่มเก่ามาด้วย ) 9. ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ = A$ 535 (จ่ายผ่านบัตรเครดิต ) + 600 บาท(เงินสดใส่ซองเขียนชื่อ-นามสกุล หน้าซอง) หรือจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด 18,050 บาท 10. หลักฐานการเรียน รด./ หลักฐานการเกณฑ์ทหาร (สำหรับนักเรียนชาย) 11. ใบเสร็จรับเงินจากการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลที่สถานฑูตระบุให้ไปตรวจสุขภาพ (แห่งใดแห่งหนึ่ง) 1. Bangkok General Hospital (โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย)  Soi.Soonvijai 7,New Petchaburi Rd., Bangkok 10320 Tel: 1719     2. BNH Hospital (โรงพยาบาล บางกอกเนอสซื่งโฮม) 9 Convent Rd.,Silom, Bangkok 10500 Tel: 02-6320550 or 02-6320560   http://www.uniadvice.co.th/    
ระบบการศึกษาของประเทศอินเดีย
 ระบบการศึกษาของประเทศอินเดีย  อินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ดังนั้นการเปิดและปิดภาคเรียนจองแต่ละภาคจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแถบนั้นแต่โดยส่วนใหญ่จะเปิดรับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์- กรกฎาคม หรือ เดือนตุลาคม- มกราคม ของทุกปี อินเดียเป็นประเทศที่มีการพัฒนาระบบการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก   โดยระบบการศึกษาของประเทศอินเดียแบ่งเป็นระบบดังนี้           ระบบการเรียนของอินเดีย โดยในประเทศอินเดียจะมีระบบการเรียนแบบอังกฤษ ซึ่งในระดับประถม – มัธยมจะแบ่งเป็น 2 ระบบคือ โรงเรียนระบบ CBSE และ ICSE โดยทั้งสองระบบนี้จะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนเท่านั้น และมีภาษาที่สองให้เลือกคือ เยอรมัน,ฝรั่งเศส,ญี่ปุ่นซึ่งความแตกต่างของ 2 ระบบ คือหนังสือเรียนจะไม่เหมือนกัน  แต่เนื้อหาจะไปในทางเดียวกัน เนื่องจากทั้ง 2 ระบบ ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการของอินเดียเหมือนกัน  แต่ที่แบ่งเป็น 2 ระบบเนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่และมีประชากรมาก  หากมีหน่วยงานที่ดูแลเพียงหน่วยงานเดียวจะไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง และประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศที่หลากหลาย ดังนั้นการปิดและเปิดเทอมของแต่ละโรงเรียนก็ไม่ตรงกันโดยในอดีตโรงเรียนจะขึ้นกับระบบ CBSE เป็นส่วนใหญ่และจะสอบปลายภาคตอนเดือนมีนาคม ต่อมีโรงเรียนที่เปิดขึ้นบนภูเขาและไปสอบปลายภาคในเดือนพฤจิกายน เพราะในเดือน ธันวาคม - กุมพาพันธุ์ หิมะตกจนไม่สามารถเปิดโรงเรียนได้ ทางรัฐบาลอินเดียจึงได้ตั้งระบบ ICSE ขึ้นมา เพื่อให้โรงเรียนที่สอบปลายเดือนพฤจิกายนมาจดทะเบียนขึ้นกับระบบนี้ แต่ปัจจุบันระบบที่มีโรงเรียนจดทะเบียนใช้มาที่สุดคือ CBSE โดยทั้ง 2 ระบบนี้ เมื่อเด็กเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ ป.1-6 จนจบก็จะได้รับอนุญาติให้เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Secondary School) คือมัธยมศึกษาปีที่ ม.1-4 หรือที่อินเดียเรียก Class 7 – Class 10 และในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (Class 10) เด็กจะต้องทำคะแนนให้ดีและเมื่อขึ้นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ม.5-6 (class 11- class 12) เด็กจะต้องนำผลการสอบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาวัดผลเมื่อเลือกสายวิชาที่จะเรียน หากได้คะแนน 65% - 80% ขึ้นไปจะเลือกได้ทั้งสายวิทยาศาสตร์ ,วิทย์-คณิต และสายศิลป์ หากได้คะแนน 40-64 % สามารถเลือกสายศิลป์ได้ หากเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (Class 10) จากประเทศไทยและต้องการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 (Class 11) ทางโรงเรียนจะดูผลการศึกษาจากมัธยมศึกษาปีที่ 4 (Class 10) และพิจารณาว่าเด็กจะสามารถเข้าศึกษาต่อในสายวิชาใดได้บ้าง   โรงเรียนที่ขึ้นกับกองกรรมมาธิการศึกษาอินเดียทั้ง 2 ระบบนั้นได้รับการรับรองวิทยฐานะจากกระทรวงศึกษาธิการไทยทุกโรงเรียนเมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 (Class 12) จากอินเดียแล้วสามารถนำใบสุทธิ (Transcript) ไปขอเทียบวิทยฐานะได้ที่กรมวิชาการในกระทรวงศึกษาธิการ ทางกระทรวงศึกษาธิการจะเทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 ของประเทศไทยให้เลย และสามารถนำไปเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทุกแห่งในประเทศไทยได้เลย  และหากต้องการไปศึกษาต่อในประเทศอื่นเช่น อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ฯลฯ ก็สามารถนำไปเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีได้เลย หรือหากต้องการศึกษาในประเทศอินเดียก็สามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้เช่นกัน และในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกนั้น ประเทศอินเดียมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่มีมาตรฐานระดับโลกมากมาย โดยแต่ละรัฐจะมีมหาวิทยาลัยประจำรัฐอยู่ทุกรัฐ และจะมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆ ที่ขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยประจำรัฐอีกมากมาย และมหาวิทยาลัยประจำรัฐเหล่านี้ก็จะขึ้นกับทบวงมหาวิทยาลัยของอินเดียอีกที ระดับปริญญาตรีใช้เวลาศึกษา 3 ปี - 5 ปี แล้วแต่คณะที่เรียน และระดับปริญญาโทใช้เวลาศึกษา 2 ปี มหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยของรัฐมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากพอๆ กัน และมหาวิทยาลัยจะมีโควต้าให้กับตัวแทนแทนของตนในประเทศต่างๆ เพื่อรับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียน   ดังนั้นการสมัครผ่านตัวแทนที่มีโควต้าอยู่จะสะดวกมากเพราะจะได้รับการตอบรับทันที หากสมัครด้วยตนเองอาจต้องรอการตอบรับนาน 4-6 เดือน และโอกาสที่จะได้เข้าศึกษามีน้อยเพราะมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆ มักจะรับนักศึกษาที่สมัครโดยใช้โควต้าของตัวแทนก่อน  ประเทศอินเดียมีชื่อเสียงในการศึกษา คณะบริหารธุรกิจ, คอมพิวเตอร์, วิศวกรรมศาสตร์, สถาปัตยกรรม และแพทยศาสตร์ มากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียและได้รับการรับรองวิทยฐานะโดยกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยทั้งหมด   ระบบต่างประเทศที่อินเดียนำมาใช้ ประเทศอินเดียยังมีการนำระบบของอังกฤษและสวิสเซอร์แลนด์มาใช้อีกด้วย คือระะบบ IGCSE  ซึ่งในระบบ IGCSE นั้นจะเริ่มสอนตั้งแต่ชั้น ม.3 หรือ Class 9 โดยเมื่อนักเรียนจบ ม.2 หรือ class 8 แล้วหากจะเรียนระบบ IGCSE หรือเรียกอีกอย่างว่า University Of Cambridge System นักเรียนจะต้องเลือกเรียน 5 วิชา และเมื่อสอบผ่านครบ 5 วิชา ( โดยปกติแล้วนักเรียนจะสอบผ่านได้ภายในใน 2 ปี )เมื่อผ่านแล้วจะได้ประกาศณียบัตร O LEVEL ซึ่งเมืองไทยเทียบเท่า ม.6 และสามารถนำกลับมาเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้เลย เช่น มหาวิทยาลัยมหิดลอินเตอร์, มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรภาคอินเตอร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ภาคอินเตอร์ ฯลฯ แต่ถ้าน้องๆประสงค์จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศอื่นๆ น้องๆจะต้องเรียนต่ออีก 3 วิชา ซึ่งเมื่อสอบผ่านอีก 3 วิชาแล้วนั้นน้องๆจะได้ประกาศนียบัตร A LEVEL ซึ่งใช้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เลย  ระบบนี้น้องๆจะประหยัดเวลาได้ 2 ปีหากเมื่อจบ O LEVEL แล้วน้องๆกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศไทย   ระบบ Matriculation ระบบนี้เป็นระบบเก่าแก่ที่ใช้เฉพาะในรัฐ Tamil Nadu โดยระบบนี้จัดการสอบโดยสำนักงานศึกษาของรัฐ Tamil Nadu เองโดยไม่ได้จัดการสอบทั่วประเทศแบบระบบ CBSE และ ICSE ดังนั้นการยอมรับจะต่างกัน แต่ทั้งสามระบบ CBSE, ICSE, Matriculation เมื่อจบเกรด 12 ก็สามารถนำกลับมาเทียบกับกระทรวงศึกษาไทยได้เลยโดยไม่ต้องสอบอะไรอีก   ระบบ Pre University ระบบนี้จะใช้สำหรับน้องๆ ที่จบ ม.4 หรือ ม.5 จากเมืองไทยหรือที่ไหนก็ได้ในโลก ก็สามารถไปต่อได้ โดยจะเรียนที่ Bangalore University เมื่อจบ ม.4 จากเมืองไทยไปก็จะเรียน 2 ปี สามารถเข้ามหาวิทยาลัย Bangalore University หรือมหาวิทยาลัยอื่นของอินเดียได้เลย แต่ระบบนี้จะเหมาะกับนักเรียนที่จบ   Pre university และจะเข้ามหาวิทยาลัยในอินเดียเท่านั้น หากจะไปเรียน ม.5 - ม.6 แล้วกลับมาต่อมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็ให้เลือกเรียนระบบ CBSE, ICSE หรือ IGCSE จะดีกว่า   ช่วงเวลาที่เปิดรับสมัครนักเรียนและนักศึกษา อินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ดังนั้น การเปิดและปิดภาคเรียนจองแต่ละภาคจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแถบนั้นแต่โดยส่วนใหญ่จะเปิดรับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์- กรกฎาคม หรือ เดือนตุลาคม- มกราคม ของทุกปี   http://www.jiecenter.com/      
เอกสารประกอบการขอวีซ่าประเทศอังกฤษ
  เอกสารประกอบการขอวีซ่าประเทศอังกฤษ     เอกสารประกอบการขอวีซ่าประเทศอังกฤษ 1. หนังสือเดินทาง (Passport) ที่เหลืออายุการใช้งานอย่างน้อย 6 เดือน 2. แบบฟอร์ม VAF 9 + Appendix 8 ที่กรอกสมบูรณ์แล้ว 3. รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป 4. สำเนาบัตรประชาชน/ บัตรประจำตัวข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ 5. หลักฐานการศึกษา (Transcript)  พร้อมหลักฐานการศึกษาอื่นๆที่เคยศึกษาเพิ่มเติม (ถ้ามี) เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงระดับภาษาอังกฤษของนักเรียนซึ่งต้องอยู่ในระดับ ไม่ต่ำกว่า CEFR A2 หรือไม่ต่ำกว่า Pre-Intermediate Level โดยเอกสารดังกล่าวหมายรวมถึง:  • ใบ transcript หรือประกาศนียบัตรจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่แสดงให้เห็นว่า    นักเรียนมีการเรียนวิชาภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี • ใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ระบุว่านักเรียนสอบผ่านการ เรียนในวิชาภาษาอังกฤษ  • ใบประกาศนียบัตรจากการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากเวลาเรียนปกติ  • ใบประกาศนียบัตรจากวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ระบุจำนวนชั่วโมงการเข้าเรียน และแสดงให้เห็นว่า   ได้ผ่านการเรียนภาษาอังกฤษในระดับที่ระบุ  • ผลสอบ IELTS  • ใบประกาศนียบัตร University of Cambridge ESOL Certificate  • TOEFL Certificate  • TOEIC Certificate • จดหมายอ้างอิงที่แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีการเรียนภาษาอังกฤษ โดยระบุหลักสูตรที่เรียนและระบุวันที่ระยะเวลาเรียน    ผู้อ้างอิงจะต้องใส่รายละเอียดการติดต่อบนหัวกระดาษจดหมาย และต้องระบุว่าได้มีการ interview นักเรียนและ confirm ว่านักเรียนมีระดับภาษาอังกฤษในระดับเทียบเท่า Pre-Intermediate  6. หนังสือตอบรับจากสถานศึกษาในประเทศอังกฤษ ระบุชื่อหลักสูตร ค่าเล่าเรียน ระยะเวลาเรียนทั้งหมด จำนวนชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ วุฒิการศึกษาที่จะได้รับเมื่อเรียนจบแล้ว ที่เรียกว่า Certificate of Acceptance of Studies (CAS) ซึ่งออกให้โดยโรงเรียนที่มี Sponsor license ซึ่ง CAS ที่ใช้ในการยื่นวีซ่าจะเป็นในรูปแบบของหมายเลขอ้างอิง Electronic reference number  สำหรับนักเรียนที่จะยื่นวีซ่า GSV และ CSV ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการยื่นวีซ่าเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น และนักเรียนจะต้องชำระเงินเพิ่ม 10 ปอนด์ เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการออก CAS Reference numberด้วย 7. หลักฐานที่พักอาศัยระหว่างศึกษา ระบุชื่อ ที่อยู่ หรือสัญญาเช่า (ถ้ามี) ในกรณีที่ญาติ หรือ sponsor เป็นผู้รับรองให้ที่พักอาศัยในประเทศอังกฤษ กรุณานำ • หนังสือรับรองยืนยันที่จะให้พักอาศัยอยู่ด้วยกัน • สำเนาหนังสือเดินทางหน้าแรก และหน้าที่มีตราประทับทุกหน้าของผู้รับรอง • หลักฐานการเงินของผู้รับรอง • หลักฐานการเป็นเจ้าของที่พักอาศัยของผู้รับรอง หรือสัญญาเช่า • หลักฐานการติดต่อระหว่างท่านกับผู้รับรอง เช่น จดหมาย ใบเสร็จค่าโทรศัพท์ รูปถ่าย เป็นต้น 8.  ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า (Tier 4) 15,198 บาท (Student Visitor Visa) 4,080 บาท (Student Visitor Visa Extened) 7,344 บาท (ยังไม่รวมค่า VFS) 9.  หลักฐานการเงิน ต้องเป็นชื่อนักเรียน หรือระบุชื่อนักเรียน และต้องมีเงินอยู่ในบัญชีมาแล้วอย่างน้อย 28 วัน ก่อนวันที่ยื่นวีซ่า เป็นบัญชีอะไรก็ได้ที่สามารถถอนเงินได้ตลอดเวลา   รายละเอียดเกี่ยวกับวีซ่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง   http://www.uniadvice.co.th/      
BHMS Switzerland
   เรียน + ทำงานด้านการโรงแรมที่สวิส ได้เงินเดือนๆ ละ 75,000-79,000 บาท!!!   สถาบัน BHMS Business & Hotel Management School ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Lucerne ประเทศ Switzerland โดยประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น ขึ้นชื่อเรื่องการเรียนการสอนด้านการโรงแรมเป็นอย่างมาก และถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของหลักสูตรการท่องเที่ยวและการโรงแรมเลยทีเดียว Degrees และ Cerificates ที่ได้รับ จึงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก   เมือง Lucerne ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว รีสอร์ท และโรงแรมอยู่มากมาย ทำให้เหมาะแก่นักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อด้านการโรงแรม อย่างแท้จริง     ++ด่วน!! ตอนนี้มี ทุนการศึกษา มอบให้ทุกหลักสูตร!!++  ปริญญาตรี Hotel and Hospitality Management หรือ Global Management: 3 ปี จบมาได้ปริญญา 2 ใบ จาก The Robert Gordon University, Aberdeen, UK และ จากสถาบัน BHMS, Switzerland ปริญญาโท MBA Hospitality Management หรือ Global Management: 2 ปี จบมาได้ปริญญา 2 ใบ จาก City University of Seattle, USA และ จากสถาบัน BHMS, Switzerland Post Graduate Diploma Hospitality Management: 1 ปี จบมาได้ปริญญาจากสถาบัน BHMS, Switzerland Associate Degree Culinary Management (หลักสูตรเรียนทำอาหาร): 3 ปี จบมาได้ปริญญาจากสถาบัน BHMS, Switzerland รูปแบบการเรียน จะแบ่งเป็นเรียน 6 เดือน + ทำงาน 6 เดือนค่ะโดยแต่ละเดือนที่ทำงาน นักเรียนจะได้เงินเดือนประมาณ75,000-79,000 บาท/ เดือน โดยทางสถาบันจะเป็นผู้จัดหางานให้ ได้ทั้งใบปริญญา ประสบการณ์ และยังมีรายได้ระหว่างเรียนอีกด้วย!!!!  **สอบถามวันเปิดเทอม และคุณสมบัติในการสมัครเพิ่มเติมได้ค่ะ**  
Raffles College, Singapore
  Raffles Education Corp. เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนด้านการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย มีสาขาถึง 13 แห่ง ตามเมืองสำคัญทั่วโลก ก่อตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 -Raffles College of Higher Education เปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับด้าน Business and Commerce ตั้งแต่ในระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท  -Raffle Design Institute สอนหลักสูตร Arts & Design โดยมีหลายหลักสูตร ตั้งแต่ในระดับ Advanced Diploma-ปริญญาตรี-ปริญญาโท ปัจจุบัน Raffles College of Higher Education และ Raffles Design Institute ได้รับการรับรองจากรัฐบาลสิงคโปร์ว่าเป็นสถานศึกษาเอกชนระดับ ‘Singapore Quality Class’ ซึ่งมีมาตรฐานการบริหารจัดการด้านการศึกษาอยู่ในระดับคุณภาพเป็นเลิศตาม มาตรฐานระดับโลก ซึ่งในสิงคโปร์ มีเพียงไม่ถึง 50 แห่งเท่านั้นที่ได้รับการรับรองเช่นนี้ และยังได้ตราสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือหรือ CASE TRUST จากสมาคมผู้บริโภคของสิงคโปร์ด้วย   Raffles มีแคมป้สหลักตั้งอยู่ใจกลางเมืองสิงคโปร์ โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที เข้าสู่แหล่งช้อปปิ้ง บ้นเทิง หอสมุด รวมถึงพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งถือเป็นสถานที่แห่งแรง บันดาลใจ การค้นหาไอเดีย และพบปะแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ชำนาญด้านการออกแบบ เพื่อพัฒนาฝีมือ และผลิตผลงานตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดี Raffles Design Institute ปริญญาบัตรระดับปริญญาตรี ออกโดย KvB Institute of Technology, Australia หรือ Curtin University of Technology, Australia หรือ Northumbria University, Newcastle, United Kingdom มีโปรแกรมฝึกงาน งานแฟชั่นโชว์และงานแสดงผลงานของนักเรียน เพิ่มโอกาสการมีงานทำ สอนตั้งแต่พื้นฐาน นักเรียนไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐาน ไม่ต้องสอบวิชาเฉพาะ และไม่ต้องมี Portfolio เน้น เรียนแบบเจาะลึก เน้นการปฏิบัติลงมือทำ ทุกวิชาที่เรียนเป็นสาขาวิชาที่ต้องใช้ในการทำงาน ไม่ต้องเรียนวิชาสามัญอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเช่น คณิตศาสตร์ สถิติ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา เรียนใกล้ชิดกับอาจารย์ ห้องเรียนเล็กไม่เกิน 20 คนแล้วแต่สาขาวิชา สอนโดยอาจารย์ที่จบในแต่ละสาขาโดยตรงและมีประสบการณ์การทำงานในสาขานั้นๆ ดังนั้นอาจารย์สามารถแนะนำทั้งเรื่องการเรียนและการทำงาน สามารถโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันในเครือข่ายได้ โดยไม่ต้องเรียนซ้ำ นักเรียนสามารถเริ่มเรียนในไทยแล้วโอนไปต่อที่จีน สิงคโปร์ หรือ ออสเตรเลีย ก็ได้ หลักสูตรที่เปิดสอน (ในแต่ละสาขาจะมีแยกย่อยเฉพาะทาง): Advanced Diploma 2 years:  January, April, July, October Bachelor of Design 3 years: January, April, July, October Master of Design  1 year: January, July Animation Fashion Design Digital Media Design Fashion Design Graphic Design Fashion Design Games Design Interior Design Graphic Design Graphic Design Jewellery Design Interior Design Interior Design Multimedia Design   Jewellery Design Product Design   Multimedia Design   Product Design   Transportation Design       Raffles College of Higher Education Bachelor of Commerce 3 years: January, April, July, October Master of Commerce 1 year: January, July Management Commerce Marketing   Finance   Accountancy   Tourism   Hospitality     ติดต่อสอบถามรายละเอียดที่ใช้ในการสมัครเรียน ค่าใช้จ่าย และวันเปิดรับได้ที่ Tel / Line / Whatsapp 089-177-6505 ค่ะ http://www.myeducation.co.th/
At-Sunrice GlobalChef Academy, Singapore
  สถาบัน At-Sunrice GlobalChef Academy ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดสอนเกี่ยวกับหลักสูตรด้านการทำอาหาร และทำขนม ตั้งแต่ปี 2001 ได้รับการรับรองจากรัฐบาลสิงคโปร์ว่าเป็นสถานศึกษาเอกชนระดับ ‘Singapore Quality Class’ ซึ่งมีมาตรฐานการบริหารจัดการด้านการศึกษาอยู่ในระดับคุณภาพเป็นเลิศตามมาตรฐานระดับโลก มีนักเรียนมากกว่า 34 เชื่อชาติมาร่วมเรียน และมี Chefs จากหลายประเทศทั่วโลกมาสอน สถาบันตั้งอยู่ใจกลางเมือง กว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นักเรียนต่อเทอม 16-24 คนเท่านั้น  ในแต่ละหลักสูตร จะมีช่วงฝึกงานที่โรงแรม หรือ ร้านอาหารระดับ 4-5 ดาว ซึ่งทางสถาบันจะเป็นผู้หา งานให้ นักเรียนจะมีรายได้ช่วงทำงานประมาณ 800 SG$ / เดือน หรือประมาณ 20,000 บาท มีทุนการศึกษามอบให้บางส่วน และแบ่งจ่ายค่าเรียนได้!! หลักสูตรที่เปิดสอน: Diploma in Culinary Arts Diploma in Pastry & Bakery Diploma in Food & Beverage Management ระยะเวลาเรียน 18 เดือน (รวมปิดเทอม) เมื่อเรียนจบ นักเรียนสามารถมีโอกาสเข้าเรียนที่ Johnson & Wales University (JWU), USA ในสาขาดังนี้: BS Degree in Culinary Arts & Food Service Management BS Degree in Pastry Arts & Food Service Management BS Degree in Restaurant, Food & Beverage Management  ตัวอย่างโรงแรม/ร้านอาหารที่เป็น Partner กับสถาบัน:  สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ *สายด่วน /Line / Whatsapp 089 177 6505             http://www.myeducation.co.th/    
มหาวิทยาลัย James Cook University (JCU Singapore)
    James Cook University เป็นมหาวิทยาลัยรัฐของประเทศ Australia ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2513 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ประจำรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีวิทยาเขตหลักอยู่ที่เมือง Townsville และยังมีวิทยาเขตอื่นๆอีก อยู่ที่เมือง Cairns, เมือง Brisbane ปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งชาวออสเตรเลียและต่างชาติเรียนอยู่ที่วิทยาเขตต่างๆประมาณ 18,000 คน James Cook University อยู่อันดับที่ 352 หรือติดกลุ่มมหาวิทยาลัย Top 4% ของโลก จากรายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก 700 อันดับแรกหรือ Top 7% ของ QS World University Ranking ประจำปี 2011 ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มธุรกิจที่เชี่ยวชาญการศึกษาต่างประเทศจากประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ 2546 James Cook University ได้มาตั้งวิทยาเขตที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งนับเป็นวิทยาเขตต่างประเทศแห่งแรก และแห่งเดียวของมหาวิทยาลัยซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ JCU Singapore ปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งสิงคโปร์และต่างชาติรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 คน วิทยาเขตประจำประเทศสิงคโปร์มี 2 แห่งคือวิทยาเขต Upper Thomson และวิทยาเขต Ang Mo Kioทั้งนี้เพื่อรองรับจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี James Cook University เป็นมหาวิทยาลัยต่างประเทศในสิงคโปร์เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่มาเปิดวิทยาเขตของตัวเอง และจัดการการเรียนสอนด้วยตัวเอง ดังนั้นนักศึกษาที่มาเรียนที่นี่จึงแน่ใจได้ว่า ได้มาเรียนกับมหาวิทยาลัยโดยตรง ไม่ได้เรียนผ่านตัวแทน จึงเป็นที่มาของคำว่า “Real Australian Degree” ที่เป็นคำขวัญของมหาวิทยาลัย หลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาโทที่เปิดสอนในวิทยาเขตประเทศสิงคโปร์ มีแต่หลักสูตรเร่งรัดเท่านั้นคือเรียนปริญญาตรี2 ปี และปริญญาโท 1 ปี ทำ ให้นักศึกษาเรียนจบเร็วขึ้น และยังช่วยประหยัดค่าครองชีพระหว่างอยู่สิงคโปร์ได้ นอกจากนักศึกษาจะมีรายจ่ายด้านค่าครองชีพลดลงจากการจบเร็วขึ้นแล้ว มหาวิทยาลัยยังได้กำหนดให้ค่าเรียนที่วิทยาเขตประเทศสิงคโปร์ถูกกว่าค่า เรียนที่วิทยาเขตประเทศออสเตรเลียอีกด้วย ประมาณ 30% สำหรับการเรียนปริญญาตรีและเกือบ 20%สำหรับการเรียนปริญญาโท ทำให้นักศึกษาวิทยาเขตสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาตรีและปริญญาโทลดลง  หลักสูตรที่ James Cook University เหมาะสำหรับนักเรียนที่จบม.5และม.6 ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับป.ตรี และนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อในระดับป.โท นักเรียนจะต้องมีผลสอบ IELTS มายื่นในวันสมัครเรียน จะต้องมีผลสอบ IELTSคะแนนรวม 6.0 โดยที่คะแนนแต่ละทักษะ ห้ามต่ำกว่า 5.5 ยกเว้นนักเรียนที่สมัครเรียนต่อหลักสูตร Foundation จะต้องมีผลIELTS 5.5 โดยที่คะแนนแต่ละทักษะ ห้ามต่ำกว่า 5.0 นักเรียนไทยที่มีผลสอบ IELTS ไม่ ถึงเกณฑ์ สามารถสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยได้ โดยมหาวิทยาลัยอาจจะพิจารณาให้นักเรียนรายนั้นเรียนหลักสูตรเตรียมความพร้อม ภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยเป็นระยะเวลา 4-12 เดือน ก่อนเข้าเรียนปริญญาตรีและโทต่อไป      หลักสูตรที่เปิดสอน     Pathways Program Undergraduate Programs Postgraduate Programs English Language Preparatory Program (ELPP) Bachelor of Business  - Hospitality & Tourism Management  - International Business - Marketing  - Sports & Events Management  - Management  - Accounting Master of Business Administration   - General  - Managerial Accounting  - Human Resource Management -  Marketing Pre-University Foundation Program Bachelor of Information Technology         - Computing and Networking          - Interactive Technologies and Games Design Master of Information Technology (MIT)         - Business Informatics   - Computing and Networking          -  Interactive Technologies and Games Design Diploma of Business Bachelor of Arts (Psychology) Master of Professional Accounting (MPA) Diploma of Information Technology Bachelor of Psychology Master of International Tourism and Hospitality Management (MITHM)   Bachelor of Business and Environmental Science Master of Education   Bachelor of Education (Early Childhood Education)      Intakes: February, June & October สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ *สายด่วน / Line / Whatsapp 089 177 6505, 089 113 6505* http://www.myeducation.co.th/    
มหาวิทยาลัย KDU University College, Malaysia NEW!
  มหาวิทยาลัย KDU University College ตั้งอยู่ที่ประเทศ Malaysia ก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 มี 3 แคมปัส ใน 2 เมืองคือ Selangor และPenang เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงยาวนาน มาตรฐานทางการศึกษาสูง แคมปัสกว้างขวาง เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาครบครัน ปัจจุบันมีนักศึกษามาศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก และมีหลักสูตรให้เลือกเรียนมากมายหลาย ด้าน ตั้งแต่หลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ Diploma ปริญญาตรี และ ปริญญาโท โดยที่หลักสูตรของ KDU University College  ได้รับการรับรอง และเข้าร่วมกับหลายมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยที่เมื่อจบแล้ว นักเรียนจะได้ประกาศนียบัตรของทั้งที่ KDU University College และจากมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วม เช่น • Keele University, UK • Oxford Brooke University, UK • Northumbria University, UK • University of London, UK • IMI, Switzerland หลักสูตรที่เปิดสอน     ในการสมัครเรียนต้องมีผล IELTS ในกรณีที่ภาษาไม่ถึงเกณฑ์ สามารถเรียนหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษก่อนได้ ระยะเวลาเรียนขึ้นอยู่กับระดับภาษาของนักเรียน สำหรับนักเรียนที่ไม่มีผลภาษาเลย สามารถทำ Online Placement Test ของมหาวิทยาลัยก่อน แล้วจึงเข้าเรียนหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษต่อไป   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ *สายด่วน / Line / Whatsapp 089 177 6505, 089 113 6505* http://www.myeducation.co.th/
เคล็ดไม่ลับพร้อมสอบ GMAT
 เคล็ดไม่ลับพร้อมสอบ GMAT       GMAT หรือ Graduate Management Admission Test คือการทดสอบมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบคุณสมบัติของผู้สมัครเรียนในระดับปริญญาขั้นสูง (โทและเอก)  โดยการสอบนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ทำงานแล้ว ในขณะที่นักเรียนในระดับปริญญาตรีไม่ได้สนใจในการสอบนี้มากนัก  เพราะถึงแม้พวกเขาจะเข้าสอบ แต่ผลสอบมีอายุเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น        การเตรียมตัวให้ดีนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการสอบ GMAT  โดยคุณควรจะเข้าใจถึงรูปแบบของข้อสอบ และ ลองทำข้อสอบในแต่ละส่วนในเวลาจำกัด  เพราะมันจะช่วยให้คุณพร้อมในวันสอบจริง  ดังนั้นในวันนี้ฮอทคอร์สจะมาแนะนำเคล็ดลับดีๆสำหรับการเตรียมตัวสอบ GMAT ว่าควรทำอย่างไรบ้าง วางกลยุทธ์ให้เหมาะสม       ผู้ที่ต้องการสอบ GMAT นั้นจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการประยุกต์หรือวางแผนวิธีการทำข้อสอบ  เพราะการมีกลยุทธ์ที่ดี ย่อมทำให้คุณมีความพร้อมกว่าคนอื่นๆ และใช้ประโยชน์จากความรู้ของคุณได้อย่างเต็มที่ โดย... ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด :       นักเรียนควรจะรู้ล่วงหน้าว่าคำถามในข้อสอบนั้นมีประเภทอะไรบ้าง และทิศทางการถามในแต่ละส่วนของข้อสอบเป็นอย่างไร  โดยจะต้องเข้าใจรูปแบบของข้อสอบและคำตอบที่ถูกต้อง  ซึ่งในระหว่างที่คุณทำข้อสอบนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณจะแสดงเวลาตลอดว่าคุณเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่  อย่าลืมที่จะดูเวลาอยู่เสมอ  และถ้าเมื่อใดที่ใกล้จะหมดเวลา  ตัวแสดงเวลาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จากนั้นจะหายไป และจะกลับมาเตือนอีกครั้งเมื่อคุณเหลือเวลาอีก 5 นาทีสำหรับการทำข้อสอบในส่วนนั้นๆ ทำตามคำสั่งอย่างถูกต้อง :       นักเรียนจะต้องอ่านคำสั่งในข้อสอบให้ดีและรอบคอบ  เพราะมันจะอธิบายถึงวิธีการตอบในแต่ละส่วนของคำถาม  โดยคุณสามารถเข้าไปอ่านการช่วยเหลือได้โดยกดปุ่ม Help ที่มุมจอ  แต่อย่าลืมว่าเวลายังคงเดินอยู่ตลอดเวลา  อ่านคำถามอย่างระมัดระวัง :       คุณควรจะอ่านคำถามให้ละเอียดก่อนที่จะตอบ  โดยจะต้องเข้าใจว่าข้อสอบถามอะไรและตอบในสิ่งที่ถูกต้องและตรงประเด็น หลีกเลี่ยงการอ่านคำถามแบบคร่าวๆ เพราะมันอาจจะนำไปสู่การพลาดข้อมูลสำคัญที่คำถามต้องการได้ ตั้งสติให้มั่นและพยายามตอบคำถามให้ครบทุกข้อ :       โดยวิธีที่ดีที่สุดก็คือการพยายามตอบให้ครบทุกคำถาม เพราะคุณไม่สามารถกลับมาทำข้อสอบในข้อที่คุณได้ข้ามไปแล้ว  ดังนั้นแล้วพยายามใช้เวลาให้ดี ตอบให้ครบทุกคำถาม และมีการเผื่อเวลาเล็กน้อยถ้าเป็นไปได้       โดยในการทำข้อสอบประเภท Verbal question คุณควรใช้เวลาประมาณ 1 นาทีครึ่งในแต่ละข้อ และประเภท Quantitative aptitude question ควรใช้ประมาณ 2 นาทีต่อข้อ  โดยถ้าคุณไม่สามารถทำข้อสอบในชุดนั้นทันในเวลาที่กำหนด คุณก็ยังคงได้คะแนนอยู่ตราบใดที่คุณตอบคำถามครบทุกส่วน   อย่างไรก็ตาม คะแนนที่คุณจะได้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนของคำถามที่คุณตอบ ลบด้วยคำถามที่คุณไม่ได้ตอบ       เมื่อคุณแน่ใจในคำตอบแล้ว ใช้วิธีกด ENTER ในการตอบเพื่อจะได้ไปสู่คำถามข้อต่อไป  ดังนั้นแล้วคุณจึงไม่สามารถย้อนกลับมาทำคำถามหรือข้ามข้อใดๆได้  คุณจึงต้องมั่นใจว่าคุณตอบคำถามได้ถูกต้องแน่นอน ก่อนที่จะไปทำยังข้อต่อไป ที่มา : GMAT official website
ความเชื่อผิดๆ เรื่องการเรียน IELTS
  ความเชื่อผิดๆ เรื่องการเรียน IELTS   แบบทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ IELTS นิยมใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ผู้ที่มีเป้าหมายจะเรียนต่อเมืองนอกจึงควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับ IELTS อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อต้องการเรียนพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณเสียเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สถาบันที่มีชื่อเสียงน่าจะสอนดีนะ แน่นอนว่าสถาบันกวดวิชาที่มีชื่อเสียงย่อมทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากกว่า (และส่วนใหญ่ก็มักจะต้องจ่ายแพงกว่าด้วย) แต่คุณต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าสถาบันแห่งนั้นสอนดีจริงๆ หรือแค่เก่งด้านการทำประชาสัมพันธ์ ทางที่ดีนอกจากจะฟังข้อมูลจากพนักงานของสถาบันแล้ว คุณควรหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นด้วย อย่างเช่น กระทู้ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต หรือจะให้ชัวร์สุดก็ควรลองถามจากเพื่อนและรุ่นพี่ที่เคยเรียน IELTS จากแต่ละที่มาก่อนจะดีกว่า แล้วนำมาเปรียบเทียบว่าแต่ละสถาบันมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันยังไงบ้าง เสียเงินเรียนแล้วต้องเก่งขึ้นแน่นอน หลายคนที่สมัครเรียน IELTS มักจะรู้สึกเชื่อมั่นว่าเมื่อเรียนกับอาจารย์ในคลาสแล้ว ทักษะภาษาอังกฤษของเราจะต้องพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน จนบางครั้งอาจละเลยการทบทวนบทเรียน หรือการฝึกฝนด้วยตัวเองอย่างจริงจังนอกชั้นเรียนเพิ่มเติม การเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีนั้น คุณควรจะหาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างเช่น เวลาคุย Line กับเพื่อน ตั้งสเตตัส Facebook หรือทวีตอะไรใน Twitter ก็ควรจะลองพิมพ์เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษบ้าง อย่าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่การเรียนในคลาสเพียงอย่างเดียว อาจารย์ฝรั่งยังไงก็สอนดีกว่า นักเรียนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าอาจารย์ฝรั่งที่เป็นเจ้าของภาษา ย่อมสอนดีกว่าอาจารย์ไทย หรืออาจารย์ที่มาจากเอเชีย บางสถาบันที่เปิดสอน IELTS จึงจ้างฝรั่ง Backpackers มาเป็นอาจารย์สอนภาษาซะเลย จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายและดึงดูดใจนักเรียนที่อยากเรียนกับฝรั่งโดยตรง จริงๆ แล้วการพิจารณาประวัติของอาจารย์ผู้สอนนั้น คุณควรจะเลือกสถาบันที่จ้างอาจารย์ที่มีประสบการณ์สอน ถ้าจบด้านการสอนภาษามาโดยตรงยิ่งดี เพราะอาจารย์บางคนถึงแม้จะเก่งภาษามาก แต่ถ้าขาดทักษะในการถ่ายทอดความรู้ที่ดีก็ถือว่าไม่เวิร์คนะคะ โดยเฉพาะในส่วนของ Writing ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ผู้สอนจึงควรจบด้านภาษาศาสตร์มาโดยตรง ไม่ใช่แค่สามารถพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเท่านั้น ยิ่งท่องจำศัพท์ยากๆ ได้เยอะ ก็จะยิ่งสอบได้คะแนนดี คำศัพท์เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษค่ะ แต่การเรียนการสอน IELTS ให้ได้ผลดีนั้น ไม่ควรตะบี้ตะบันท่องแกรมม่า ท่องศัพท์เพียงอย่างเดียว การรู้จัก Big words (คำศัพท์ไฮโซ ดูวิชาการ) ไว้บ้างถือเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ในการเขียน Essay อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่ควรโฟกัส คือ ประเด็นที่ต้องการจะสื่อสาร และควรเลือกใช้ระดับคำศัพท์, แกรมม่าให้เข้ากับเนื้อหาด้วย สถาบันสอนภาษาจึงไม่ควรละเลยการนำตัวอย่าง Essay จากข้อสอบจริงมาให้นักเรียนได้ทำความคุ้นเคย และสอนเทคนิคการหยิบจับไอเดียต่างๆ มาเขียนตอบ ควบคู่ไปกับการสอนคำศัพท์ต่างๆ ด้วย    http://www.hotcourses.in.th    
เปรียบเทียบ IELST TOEFL สอบอันไหนดี รู้ให้แม่นก่อนเลือกเรียน
 เปรียบเทียบ IELST TOEFL สอบอันไหนดี รู้ให้แม่นก่อนเลือกเรียน TOEFL และ IELTS คือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษนานาชาติที่เป็นมาตรฐานของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก การสอบทั้งสองแบบนี้มีจุดที่เหมือนกันหลายประการ แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เราควรใส่ใจก่อนเลือกสอบด้วย ระบบคะแนน ระดับคะแนนของ IELTS จะอยู่ระหว่าง 1 ถึง 9 ในทุกทักษะ​(ฟัง พูด อ่าน เขียน) โดยระดับ 1 คือระดับต่ำสุดและระดับ 9 คือระดับสูงสุด หมายความว่าใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับดีมาก ในขณะเดียวกันคะแนน TOEFL จะแบ่งตามทักษะ และนำคะแนนรวมของทุกทักษะมาใช้เป็นคะแนนสุดท้าย ยกตัวอย่างเช่น TOEFL iBT 120 คะแนน จะแบ่งเป็นทักษะละ 30 คะแนน คะแนนรวมของทุกทักษะจะบอกถึงความถนัดทางภาษาของเราว่าได้กี่คะแนน เทียบคะแนน IELTS และ​ TOEFL (เป็นเพียงการอ้างอิงเท่านั้น) IELTS          TOEFL (paper-based)       TOEFL (internet-based) 4.5               477                                 53 5.0               500                                61 5.5               527                                71 6.0               553                                82 6.5               580                                92 7.0               617                                105 รูปแบบการสอบ 1. การอ่าน TOEFL ต้องอ่านบทความที่ยาวประมาณ 3-5 ย่อหน้าสั้นๆ และตอบคำถามแบบ multiple choice ภายใน 20 นาที โดยหัวข้อจะเป็นแนววิชาการ IELTS มีหัวข้อให้อ่าน 3 หัวข้อ โดยแต่ละส่วนจะมีเวลาให้ตอบคำถาม 20 นาที แต่ละหัวข้อเป็นแนววิชาการและคำถามจะมีหลายรูปแบบมากกว่า (เติมคำในช่องว่าง, เลือกถูกผิด, multiple choice เป็นต้น) 2. การฟัง TOEFL มีเวลาให้ฟัง 40-60 นาที โดยอาจเป็นบทสนทนาหรือการบรรยาย ซึ่งเราจะต้องตอบคำถาม multiple choice ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ IELTS การฟังของ IELTS จะต้องตอบคำถามหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะต้องฟังและตอบคำถามไปพร้อมๆ กัน ส่วนความยาวของการสอบจะไม่แน่นอน เปลี่ยนไปตามบทสนทนา 3. การเขียน TOEFL การเขียนทั้งหมดจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ Lesson1 จะระบุให้เราเขียนเรียงความประมาณ 5 ย่อหน้า ยาว 300 - 350 คำ ในส่วนที่สองเราจะต้องอ่านบทความและฟังการบรรยายในหัวข้อที่กำหนด จากนั้นค่อยเขียนเรียงความยาว 150 - 225 คำ ตามโจทย์ที่กำหนด IELTS การเขียน Part 1 จะให้เราเขียนอธิบายข้อมูลที่เห็น ซึ่งอาจเป็นตาราง กราฟ หรือแผนภาพต่างๆ โดยในส่วนนี้จะให้เขียน 200 - 250 คำ ในส่วนที่ 2 จะต้องเขียนเรียงความแสดงความคิดเห็นต่อหัวขอที่เป็นที่ถกเถียงกัน ยาวประมาณ 300 คำขึ้นไป  >>> IELTS Writing task 2 มีคำถามแนวไหน และต้องตอบอย่างไร <<< 4. การพูด TOEFL เราจะต้องตอบคำถามกับคอมพิวเตอร์โดยมีเวลาประมาณ 45 - 60 วินาที ซึ่งจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับบทสนทนาหรือคำบรรยายสั้นๆ 6 คำถาม ใช้เวลา 20 นาที IELTS การพูดของ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 12 - 14 นาที โดยเราจะต้องพูดกับกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติโดยตรง การพูดจะเริ่มด้วยการแนะนำตัว ตอบคำถามจากภาพหรือหัวข้อที่ทางกรรมการกำหนดและจบลงด้วยการอภิปรายหัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงกัน ความนิยมของการสอบ IELTS และ TOEFL  ตามปรกติแล้วการสอบ IELTS จะเป็นที่นิยมมากกว่าในสหราชอาณาจักรและยุโรป ส่วน TOEFL จะเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา แต่ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เริ่มยอมรับผลการสอบทั้งสองแบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ดังนั้นเราจะเลือกสอบอะไรก็ได้ เวลาในการสอบ การสอบ TOEFL จะกินเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง โดยระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เวลามีความแน่นอน ส่วนการสอบ IELTS จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที รวมถึงเวลาที่สอบพูดกับกรรมการด้วย  เราสามารถฝึกทำข้อสอบให้เคยชินได้ที่เว็บไซต์ทางการของ IELTS และ TOEFL ก่อนไปสอบจริง จะสอบอะไรดีล่ะ? IELTS หรือ TOEFL? เราแนะนำให้น้องๆ เลือกสอบตามความถนัดของตัวเองดีกว่าค่ะ โดยอาจจะคำนึงถึงหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้  การออกเสียงแบบ British หรือ American: ถ้าเราคุ้นเคยกับสำเนียง American อาจจะรู้สึกว่าสำเนียงอังกฤษในการสอบ IELTS ฟังยากกว่านิดหน่อย ถึงจะแตกต่างกันไม่มากแต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนการฟังของเราได้  รูปแบบการสอบและการเขียนเรียงความ: สำหรับคำถามแบบ multiple choice ของ TOEFL เราอาจต้องมีการให้เหตุผลและความสามารถในการจินตนาการซักหน่อย ส่วนการสอบ IELTS จะเน้นให้ตอบคำถามแนวเรียงความ เช่นการฟังและเติมคำในช่องว่าง หรือหาคำตอบจากการอ่าน/บทสนทนา ซึ่งเน้นความจำที่ดีและการจดโน้ตในสิ่งที่สำคัญ การถามคำถาม: ในการสอบ TOEFL จะมีเพียงคำตอบที่ถูกหรือผิด ในขณะที่การสอบ IELTS มีตัวเลือกเช่น “ไม่ได้พูดถึงข้อมูลดังกล่าว” (information was not mentioned) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญหากถูกถามให้อภิปรายหัวข้อในการสอบ รายละเอียด: ในการสอบ TOEFL หลายๆ คนบอกว่าถึงแม้จะใช้แกรมม่าผิดไปบ้าง แต่ถ้าบทความได้รับการพูดถึงอย่างละเอียดและมีคำศัพท์ที่ถูกต้องก็ยังได้คะแนน แต่ถ้า IELTS จะต้องเป๊ะทุกรายละเอียดทั้งรูปแบบการเขียนและคำศัพท์ด้วย   http://www.hotcourses.in.th    
แลกเงินยังไงที่ไหนดีสุดเมื่อไปเรียนต่อ
 การแลกเงินเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่นักเรียนนอกทุกคนต้องสร้างความคุ้นเคยเอาไว้ นอกจากจะต้องคอยติดตามอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละช่วงแล้ว ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต การโอนเงินผ่านธนาคาร และค่าธรรมเนียมการใช้บัตร ATM ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยทั่วไปแล้วในครั้งแรกที่เดินทางไปต่างประเทศ คุณควรจะถือเงินสดติดตัวไว้จำนวนหนึ่งสำหรับใช้ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกที่เดินทางไปถึง เพราะช่วงนั้นอาจจะต้องยุ่งๆ กับหลายเรื่องจนยังไม่มีเวลาเปิดบัญชี ข้อสำคัญคืออย่าลืมติดตามอัตราการแลกเปลี่ยนเงินอยู่เสมอ เพราะอัตราการแลกเปลี่ยนเงินในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่างเช่น ค่าเงินยูโรในบางช่วงอาจจะอยู่ที่ 1 ยูโร เท่ากับ 40 บาท แต่บางช่วงค่าเงินยูโรอาจขึ้นไปสูงถึง 1 ยูโร เท่ากับ 45 บาท แม้บางครั้งส่วนต่างอาจจะไม่เยอะมาก แต่ถ้าต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ควรเลือกช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าก็จะได้กำไรมากกว่า   วิธีการพกเงินไปต่างประเทศ ดร๊าฟท์ธนาคาร (Bank Draft) เป็นตราสารการเงินประเภทหนึ่งที่ออกโดยธนาคารในประเทศไทย เพื่อสั่งให้ธนาคารในต่างประเทศจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุหน้าดร๊าฟท์ให้แก่ผู้รับเงิน ผู้ที่ไปเรียนต่อต่างประเทศสามารถซื้อดร๊าฟท์สั่งจ่ายชื่อตนเอง แล้วนำไปเปิดบัญชีกับธนาคารในต่างประเทศ หรือซื้อดร๊าฟท์สั่งจ่ายชื่อมหาวิทยาลัยเพื่อจ่ายค่าเทอมได้ ค่าใช้จ่ายในการซื้อดร๊าฟท์อยู่ที่ประมาณ 200 บาท ข้อควรจำคือผู้ที่จะนำดร๊าฟท์ไปขึ้นเงินได้ ต้องเป็นคนที่มีชื่อระบุอยู่บนดร๊าฟท์เท่านั้น ดังนั้น ดร๊าฟท์จึงถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ปลอดภัย เพราะถึงแม้เราทำสูญหายคนอื่นก็ไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ แต่เราจะต้องขอให้ทางธนาคารในประเทศออกดร๊าฟท์ให้ใหม่ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการดำเนินการ ขอแนะนำว่าผู้ปกครองควรเป็นผู้ซื้อดร๊าฟท์ให้แก่นักศึกษา เพราะถ้าเกิดกรณีสูญหายแล้วต้องติดต่อกับธนาคารที่เมืองไทย ผู้ปกครองจะสามารถจัดการได้สะดวกกว่า   เช็คเดินทางต่างประเทศ (Traveler’s Cheque) เป็นตราสารการเงินสำหรับใช้จ่ายค่าสินค้าต่างๆ และแลกเป็นเงินสดได้ ในกรณีสูญหายหรือถูกขโมยเจ้าของเช็คสามารถติดต่อตัวแทนสถาบันการเงินในต่างประเทศให้ออกเช็คใหม่ทดแทนได้ หากต้องการซื้อเช็คควรติดต่อไปยังธนาคาร เพื่อขอคำแนะนำว่าถ้าต้องการเดินทางไปยังประเทศนี้ควรซื้อเช็คของบริษัทอะไร เพราะบางสกุลเงินก็ไม่สามารถใช้เช็คได้ ค่าธรรมเนียมในการออกเช็คอยู่ที่ 1% ของจำนวนเงินตามมูลค่าที่ซื้อ การนำเช็คไปใช้ที่ต่างประเทศนั้น นักศึกษาจะต้องเซ็นชื่อให้เหมือนกับลายเซ็นที่เซ็นไว้บนหน้าเช็คและลายเซ็นในพาสปอร์ต   บัตรเครดิต (Credit Card) ก่อนนำบัตรเครดิตไปใช้ที่ต่างประเทศ อย่าลืมตรวจสอบกับทางบริษัทให้แน่ใจว่าบัตรนั้นสามารถนำไปใช้ที่ประเทศนั้นๆ ได้ ส่วนใหญ่บัตรเครดิตจะกำหนดเกณฑ์ไว้ว่า บัตรหลักผู้สมัครต้องอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนบัตรเสริมที่พ่วงกับบัตรเครดิตของผู้ปกครองผู้ใช้ต้องอายุ 15 ปีขึ้นไป บัตรเครดิตของแต่ละบริษัทจะมีอัตราค่าธรรมเนียมแตกต่างกัน อาจมีบางบริษัทที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียม คุณควรสอบถามจากหลายๆ บริษัทแล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันประกอบการตัดสินใจ เพื่อความประหยัดในระยะยาว   บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตจากประเทศไทย (ATM & Debit Cards) บัตรที่สามารถนำไปใช้ในต่างประเทศได้ จะต้องมีสัญลักษณ์ PLUS และ VISA อยู่บนบัตร เมื่อมีการถอนเกิดขึ้นเงินจะถูกหักจากบัญชีในประเทศไทยโดยอัตโนมัติ ค่าธรรมเนียมในการกดเงินจากต่างประเทศแต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณ 100 บาท บางประเทศอาจมีการเก็บค่า Withdrawal fees เพิ่มนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมที่ธนาคารในประเทศไทยเรียกเก็บ   เงินสด (Cash) การแลกเงินเป็นเงินสดส่วนใหญ่จะได้เรตเงินสูงกว่าวิธีการอื่น หรือพูดง่ายๆ ว่าคุ้มกว่านั่นเอง แต่การถือเงินสดก็มีข้อเสียคือเสี่ยงต่อการสูญหายและถูกขโมย การแลกเงินนั้นหากแลกตามแหล่งท่องเที่ยว สนามบิน สถานีรถไฟ มักจะได้เรตที่ต่ำกว่าที่อื่นเล็กน้อย ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรจะแลกไว้ก่อนล่วงหน้าจะดีกว่า แหล่งแลกเงินที่ได้รับความนิยมเพราะให้เรตสูงกว่าที่อื่นก็เช่น ร้านรับแลกเงินย่านประตูน้ำ บริเวณตรงข้ามห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ถ้าแลกเป็นจำนวนไม่เยอะมาก คำนวณค่าเดินทางแล้วอาจจะไม่คุ้ม แลกตามธนาคารทั่วไปก็ได้เรตที่ไม่ต่างกันมากนัก   http://www.hotcourses.in.th/    
สมัครเรียนแบบไหนดีที่สุด เอเจนซี่ไหนดี
      การสมัครเรียนต่อสามารถทำได้ 2 ทาง ในวันนี้ฮอทคอร์สจะมาบอกว่า  การสมัครเรียนผ่านเอเจนท์แล้วนั้น ต่างจากการสมัครเองโดยตรงอย่างไร  เพื่อที่คุณจะได้นำไปใช้พิจารณาต่อไปได้ว่าแบบไหนเหมาะและดีที่สุด คุณควรสมัครผ่านเอเจนท์?  หรือ สมัครเรียนเองดี? การสมัครสมัครผ่านเอเจนท์ ทำไมต้องมีเอเจนท์ ? เนื่องจากมันเป็นเรื่องยากมากที่มหาวิทยาลัยต่างๆ จะตั้งสำนักงานในทุกประเทศกระจายทั่วโลก ดังนั้นจึงเกิดการตกลงทำสัญญากับเอเจนท์หรือตัวแทนต่างๆในต่างประเทศขึ้น เพื่อให้เอเจนท์เหล่านั้นช่วยเหลือในการให้คำแนะนำและรับสมัครนักเรียนต่าง ชาติแทนพวกเขา  โดยเอเจนท์เป็นผู้ที่ช่วยในการให้คำแนะนำ, การบริการทางการศึกษา และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักเรียน  ซึ่งปกติแล้วเอเจนท์จะไม่มีการคิดค่า ใช้จ่ายจากนักเรียนผู้เข้ามาใช้บริการ เพราะพวกเขาจะคิดค่าใช้บริการโดยตรงจากมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว คุณจะได้รับคำแนะนำโดยเอเจนท์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสถาบันการศึกษา โดยพวกเขาจะแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสมจากสถาบันที่มีอยู่ในลิสต์ การมองหาเอเจนท์ที่ใช่สำหรับคุณ อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะเอเจนท์เป็นตัวแทนให้แค่บางสถาบันไม่ได้มีข้อมูลทุกสถาบัน ถ้าคุณไปหาเอเจนท์แบบไม่มีไอเดียอะไรเลย คุณอาจได้รับข้อมูลที่แค่ด้านเดียว เอเจนท์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อมูลวีซ่าล่าสุด และแนะนำวิธีการกรอกแบบฟอร์มที่ถูกต้องได้ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เอเจนท์นั้นๆคิดค่าบริการจากคุณ จงระวังและหลีกเลี่ยงเสีย เพราะนั่นคือมิจฉาชีพ เอเจนท์ที่เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ส่วนมากจะไม่มีการคิดค่าบริการในการดำเนินการกับนักเรียน เพราะได้รับการจ่ายเงินจากมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว การสมัครเองโดยตรง การ สมัครโดยตรงโดยไม่ผ่านเอเจนท์หมายความว่าคุณจะต้องตัดสินใจเลือกเอง จากข้อมูลที่คุณหามาได้  หาคำเเนะนำจาก เพื่อน คนรู้จัก อาจารย์ เวบไซท์หรือ รีวิวต่างๆในอินเตอร์เนต การค้นหาหลักสูตรเรียนเอง และตัดสินใจเองทั้งหมด อาจจะใช้เวลาน้อยกว่า แต่คุณใช้เวลามากไปกับการย่อยข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้ ข้อดีคือ การจัดการเองทำให้คุณได้ตัวเลือกแบบที่ต้องการมากกว่า เช่น คอร์สแบบที่อยากเรียน และราคาแบบที่ตั้งงบไว้ แต่คุณจะต้องพัฒนาทักษะเกี่ยวกับ การบริหารเวลา ค่าใช้จ่าย และทั้งเรื่องการพึ่งตัวเอง การขอวีซ่าอาจเป็นเรื่องใหม่และทำให้คุณสับสน ถ้าคุณทำเองโดยที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ ให้การแนะนำ คุณสามารถยื่นใบสมัครต่อมหาวิทยาลัยอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ เลือกให้ฉลาด ทำไมเราไม่ใช้ทั้ง สองทางล่ะ ฮอทคอร์สแนะนำว่าให้หาข้อมูลเองก่อน คอร์สอะไร หรือ สถาบันไหนที่เราสนใจ ลองเข้าเวบไซท์อ่านข้อมูลดู เพื่อให้ได้เนื้อหาคร่าวๆ หรือเราอาจมีคำถามที่อยากจะค้นหาข้อมูลต่อไป แล้วลองติดต่อเอเจนท์ดู คือ ให้รู้กว้างและรู้ลึกเอเจนท์อาจช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับคอร์สของสถาบันที่มีอยู่ในลิสต์ และช่วยส่งเอกสารวีซ่าให้เราได้ อย่างไรก็ตาม หากว่าเราสมัตรเรียนหลายที่ บางที่เราอาจต้องส่งเอกสารเอง เราก็ถามขั้นตอนจากเอเจนท์ก็ได้ค่ะ ไม่แน่ว่าส่งเองอาจได้ผลตอบรับที่เร็วกว่า ระวังเอเจนท์ปลอม เช็คให้ชัว์ร์เอเจนท์นั้นๆมีการจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย คุณควรทราบถึงประวัติและความเป็นมาของเอเจนท์ที่ให้บริการ นั้นๆ  ลองเช็คกลับไปที่เวบไซท์ของมหาวิทยาลัยว่าทีข้อมูลของเอเจนท์นั้นๆ อยู่รึเปล่า เสียเวลาตรวจสอบนิดหน่อยดีกว่าเสียโอกาสและเสียความรู้สึกภายหลังนะคะ http://www.hotcourses.in.th/  
เรียนต่อปริญญาตรีมหาวิทยาลัย Top 30 ในอังกฤษ
  เรียนต่อปริญญาตรีมหาวิทยาลัย Top 30 ในอังกฤษ เรียนต่อ ปริญญาตรีมหาวิทยาลัย Top 30 ในอังกฤษไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด มีหลายวิธีที่นักเรียนสามารถเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย Top 30 ในประเทศอังกฤษได้ นักเรียนที่จะเข้าเรียน ปริญญาตรีในอังกฤษ จะต้องจบวุฒิมัธยมขั้นสูงของอังกฤษเช่น ระบบ Cambridge หรือ A-levels ซึ่งเป็นระบบการเรียน 2 ปีสุดท้ายของการเรียนในอังกฤษที่นักเรียนจะต้องเลือกเรียนวิชาที่เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือจะเป็นระบบ IB (International Baccalaureate) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันแพร่หลายในโรงเรียนอินเตอร์ชั้นนำ หากนักเรียนจบมัธยมฯ 5 หรือ มัธยมฯ 6 จากประเทศไทยเทียบได้กับวุฒิการศึกษาของอังกฤษเพียงระดับ IGCSE นักเรียนจำเป็นจะต้องเข้าเรียน Foundation Program ในสาขาที่ต้องการเรียนปริญญาตรีก่อน 1 ปี เพื่อปูพื้นฐานและทักษะให้เพียงพอก่อนที่จะเข้าเรียนปี 1 ในมหาวิทยาลัยต่อไป ในปัจจุบันแทบทุกมหาวิทยาลัยในอังกฤษได้เปิดสอน Foundation Program อย่างแพร่หลาย มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจเปิดสอน Foundation Program เอง แต่บางมหาวิทยาลัยอาจจะมีการทำงานร่วมกับสถาบันเอกชนชั้นนำเพื่อผลักดันและเตรียมนักเรียนให้พร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี โดยเกณฑ์การรับเข้าเรียนจากแต่หละประเทศจะแตกต่างกัน เกณฑ์การรับเข้าในมหาวิทยาลัย Top 30 มีดังต่อไปนี้ University of Oxford (*Ranking 1) Entry Requirement A-Levels Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Cambridge (*Ranking 2) Entry Requirement A-Levels Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   LSE – London School of Economics (*Ranking 3) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Business เป็นต้น Entry Requirement A-Levels Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   Imperial College London (*Ranking 4) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Engineering, Business เป็นต้น Entry Requirement A-Levels Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   Durham University (*Ranking 5) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Environmental Sciences, Business, Law  เป็นต้น Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่เรียนจบมัธยม 5 มีผลการเรียนตั้งแต่ 3.0 ขึ้นไป หรือ เรียนจบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 มี 5 วิชา วิชาละ 16 หน่วยกิต, NCEA Level 3 Achievement of Level 3 at any level GCSE มีผลการเรียน 5 วิชา (AAABB) หรือ A/AS Level 200 Point (Local Language A/AS are accepted)   University of St Andrews (*Ranking 6) A-Levels Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University College London (*Ranking 7) A-Level Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Warwick (*Ranking 8 ) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Bath (*Ranking 9) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Business, Law เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5 and 5.0 for all bands) (Business IELTS 6.0 and 5.5 for all bands) Business Administration Computer Science Engineering Pharmacy and Pharmacology Social and Policy Sciences Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป IGCSE 4 grade A or A* passes in relevant subjects IB 28 point with scores of at least 5 in relevant subject   University of Exeter (*Ranking 10) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Engineering, Business เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5 minimum 5.0 in all band) Humanities, Law and Social Science Economics, Finance and Management Engineering, Mathematics and Physical Sciences Biomedical, Life and Environmental Sciences Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่เรียนจบมัธยม 5 มีผลการเรียนตั้งแต่ 3.0 ขึ้นไป หรือ เรียนจบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 มี 5 วิชา วิชาละ 16 หน่วยกิต, NCEA Level 3 Achievement of Level 3 at any level GCSE มีผลการเรียน 5 วิชา (AAABB) หรือ A/AS Level 200 Point (Local Language A/AS are accepted) Diploma (IELTS 6.0 minimum 5.5 in writing and no less than 5.0 in other band) Business Management, Accounting and Economics Engineering Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่เรียนจบมัธยม 6 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป New Zealand NCEA Level 3 พิจารณาเป็นรายบุคคล Singapore Completion GCE A Level 280 points (BBC/ABD/ACC) Math B A Level 280 UCAS (A=120, B=100, C=80) International Baccalaureate 28 POINT SL Math 4/HL Math 3   University of Bristol (*Ranking 11) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Engineering, Business เป็นต้น Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   Lancaster University (*Ranking 12) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Business, Law, Engineer เป็นต้น Foundation (IELTS 5.0 minimum 5.0 writing) Business and Management Engineering Law and Social Studies Life Sciences Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 หรือ นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.0 Singapore O Level ต้องมี 5 วิชา ได้ผลการเรียน A1-C6 IB 26 IGCSE มี 5 วิชา ได้เกรด A-C   University of York (*Ranking 13) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Edinburgh (*Ranking 14) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Glasgow (*Ranking 15) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economic, Business, Science เป็นต้น Foundation (IELTS 5.0 no less than 4.0 in any skill) Business Engineering Science/Engineering (Maths & Science) Social Sciences Entry Requirement Thailand จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.5 Singapore A Level 2C’s and 3D’s (O Level all ‘A’s will also be considered) New Zealand NCEA Level 2 or above minimum 50 credits and 30 credits in any level   Loughborough University (*Ranking 16) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Leicester (*Ranking 17) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economic, Business, Law เป็นต้น Foundation (IELTS 5.0 with 5.0 in writing) Economics and Management Engineering and Technology Society and Culture Science Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 หรือ นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.0 IGCSE เกรด A-C 5วิชา IB 26 point New Zealand NCEA Level 2 80 credits 5s subject above C   Southampton University (*Ranking 18) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Sussex (*Ranking 19) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Business, Economic, Communications เป็นต้น Foundation (IELTS 5.0 minimum 5.0 in writing) Business, Management & Economics Computing and Mathematics Law, International Relations & Social Studies Life Sciences & Psychology Media & Communications Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 หรือ นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.0 IGCSE grade A – C in 5 subject IB 26 point New Zealand NCEA Level 2 80 credits 5s subject above C International Year One (IELTS 5.5 minimum in all band 5.5) Business and Management Computing International Relations and International Development Media and Film Studies Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม6 และมีผลการเรียนในมหาวิทยาลัย IB 29 New Zealand NCEA Level 3  Majority of marks = Achieved   University of Nottingham (*Ranking 20) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Engineering, Business, Law  เป็นต้น Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.5 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   University of Sheffield (*Ranking 21) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Law, Business, Engineering เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5 no less than 4.5 in any skill) Business, Law and Social Sciences Science and Engineering Entry Requirement Thailand จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.5 Singapore A Level 2C and 3D (O Level all ‘A’s will be considered) New Zealand NCEA Level 2 minimum 60 credits and 20 credits in any level   King College London (*Ranking 22) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Sciences, Law  เป็นต้น A-Levels Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 4 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   Newcastle University (*Ranking 23) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Architecture, Business, Biomedical Sciences เป็นต้น Foundation (3เทอม IELTS 5.5 minimum 5.0 in all band) (4เทอม IELTS 5.0 minimum 4.5 all band) Architecture Business and Management Humanities and Social Sciences Physical Sciences and Engineering Biological and Biomedical Sciences Entry Requirement Thailand จบมัธยม 5 มีผลการเรียน GPA 2.5 Singapore O Level Sec4: C6 in 4 subjects New Zealand NCEA Level 2 5วิชา วิชาละ 16หน่วยกิต, NCEA Level 3 Achievement of Level 3 at any level GCES มีผลการเรียน 5 วิชา(AAABB) Math(A/B), Physics(B), Chemistry(B), International Baccalaureate 24 Diploma (3เทอม IELTS 6.0 minimum 5.5 in writing) (4เทอม IELTS 5.5 minimum 5.0 in writing) Business Entry Requirement Thailand จบมัธยม6 มีผลการเรียน GAP 3.0 หรือ เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 มีผลการเรียน GPA 2.5 Singapore Cambridge GCE A Level with 280(BBC/ABE/ACC/BCC/BBD/ACD) New Zealand NCEA Level 3 พิจารณาเป็นรายบุคคล A Level 280 UCAS (A=120, B=100, C=80) Local Language not accepted International Baccalaureate 28   University of Reading (*Ranking 24) Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal Academic) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ   Queen’s University Belfast (*Ranking 25) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Engineering, Business, Pharmacy เป็นต้น Foundation (3เทอม IELTS 5.0 minimum 5.0 writing all band no less than 4.5) (4เทอม IELTS 4.5 minimum 4.5 writing all band no less than 4.0) Business, Humanities and Social Sciences Engineering and Science Entry Requirement Thailand จบมัธยม5 หรือ จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 2.0 Singapore GCE O Level 5 วิชา (AAABB) New Zealand NCEA Level 1 อย่างน้อย 3 วิชา แต่หละวิชาต้องได้มากกว่า 20หน่วยกิต (Excellent) และ 2 วิชา แต่หละวิชาต้องได้มากว่า 20 หน่วยกิต (Merit), NCEA Level 2 อย่างน้อย 5 วิชา วิชาหละ 16 หน่วยกิต (Achieved) International Baccalaureate 22 points ขึ้นไป IGCSE 5 วิชา (AAABB) รวม Math และ English Diploma (3เทอม IELTS 5.5 minimum 5.5 in reading and writing) (4เทอม IELTS 5.0 minimum 5.0 in reading and writing) Management and Finance Engineering Entry Requirement Thailand จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.75 หรือ เรียนมหาวิทยาลัยปี1 มีผลการเรียน 2.5 Singapore A-Level ต้องมี 2 วิชาที่ได้มากกว่า D รวมถึง Math New Zealand NCEA Level 3 ต้องมีอย่างน้อย 3 วิชา วิชาละ 16 หน่วยกิต(Achieved) International Baccalaureate 24 point ขึ้นไป A-Level DD   University of Surrey (*Ranking 26) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Hospitality, Economics, Business เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5 minimum 5.0 in all band) Business, Economics, Law and Politics Engineering, Science and Mathematics Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 หรือ นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.0 IGCSE มี 5 วิชา ได้ผลการเรียนตั้งแต่ A-C  (with a minimum C in Math for Engineering pathway) IB มี 4 วิชา ได้ grade 5+ (with a minimum of 5 in Math for Engineering pathway)   Royal Holloway University of London (*Ranking 27) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Business, Economics เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5) Art Business Studies Economics Sciences Social Sciences Entry requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 และไม่มีวิชาไหนต่ำกว่า 2.0 หรือ นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.0 Singapore/Cambridge A-Level ต้องมี 5 วิชา Math และ Science มีผลรวม 20 หรือน้อยกว่า IB 26 AS Levels 3 วิชา มากกว่า C   University of East Anglia (*Ranking 28) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Pharmacy, Business, Actuarial Sciences, Sciences เป็นต้น Foundation (3เทอม IELTS 5.0 minimum 4.5 in all band), (4เทอม IELTS 4.5 minimum 4.0 in all band) Business and Economics Computing with Business Humanities and Law Mathematics and Actuarial Sciences General Science Pharmacy, Biomedicine and Health Entry Requirement Thailand นักเรียนที่เรียนจบมัธยม5 มีผลการเรียน 2.5 และ นักเรียนที่เรียนจบมัธยม6 มีผลการเรียนตั้งแต่ 2.0 Singapore Secondary4 ต้องมีมากกว่า 4 วิชาและได้คะแนนมากกว่า C New Zealand NCEA Level 1 3วิชาและต้องมีอย่างน้อยวิชาหละ 20 หน่วยกิต (Excellent) และ 2 วิชาต้องมีอย่างน้อยวิชาหละ 20 หน่วยกิต(Merit), NCEA Level 2 5วิชาและต้องมีอย่างน้อยวิชาหละ 16 หน่วยกิต(Achieved), NCEA Level 3 พิจารณาเป็นรายบุคคล GCSE มีผลการเรียน 5 วิชา AAABB International Baccalaureate 22 Diploma (3เทอม IELTS 5.5 minimum 5.5 in writing and reading), (4เทอม IELTS 5.0 minimum 5.0 in reading and writing) Business Management and Economics Entry Requirement Thailand นักเรียนที่จบมัธยม6 มีผลการเรียน 3.0 New Zealand NCEA Level 1  3 วิชา วิชาละ 20 หน่วยกิต(Excellent)และ 2 วิชา วิชาละ 20 หน่วยกิต(Merit), NCEA Level 2 5วิชา วิชาละ 16 หน่วยกิต(Achieved), NCEA Level 3 พิจารณาเป็นรายบุคคล Singapore A-Level CDD International Baccalaureate 26+ (Standard Mathematics 4, High Level Mathematics 3) A-Level minimum 160 UCAS (A=120, B=100, C=80, D=60, E=40) minimum C in Math(GCSE)   University of Liverpool (*Ranking 29) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Law, Business เป็นต้น Foundation (IELTS 5.5 no less than 4.5 in any skill) Business, Law and Social Sciences Science and Engineering Entry Requirement Thailand จบมัธยม6 มีผลการเรียน 2.5 Singapore A Level 2C and 3D (O Level all ‘A’s will also be considered) New Zealand NCEA Level 2 minimum 50 credits and 30 credits in any level   University of Leeds (*Ranking 30) สาขาวิชาที่มีชื่อเสียง Economics, Engineering, Business เป็นต้น Foundation Entry Requirement Thailand สำหรับนักเรียนที่จบมัธยม 6 มีผลการเรียน 3.0 ขึ้นไป Singapore Secondary 4(Special/Express) หรือ Secondary 5(Normal) มีผลการเรียน GPA มากกว่า 2.0 New Zealand NCEA Level 2 ได้ทั้งหมด 80 หน่วยกิจ *หมายเหตุ Ranking มาจาก The Times University Ranking 2012   http://www.learningcurve-th.com/featured-programs/undergraduate-pathway-uk
สถานทูตสหรัฐอเมริกา เปิดตัวระบบใหม่สำหรับยื่นวีซ่า
 ตอนนี้ทางสถานทูตอเมริกา ได้เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบใหม่ ให้เป็นการนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบออนไลน์   ตอนนี้ทางสถานทูตอเมริกา ได้เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบใหม่ ให้เป็นการนัดสัมภาษณ์วีซ่าแบบออนไลน์ ที่จะช่วยลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และจากเดิมที่ต้องไปซื้อ Pin และจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ ตอนนี้สามารถไปจ่ายได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในส่วนของผู้ที่มีวีซ่าตลอดชีพเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ทางสถานทูตอเมริกาได้ยกเลิกวีซ่าตลอดชีพ ผู้ที่มีวีซ่าประเภทนี้จะต้องยื่นคำร้องขอวีซ่าใหม่ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกา      โดยที่ระบบใหม่นี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้นไป สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่http://thai.bangkok.usembassy.gov/niv_howtoapply.html   หรือ Facebook ของทางสถานทูต  https://www.facebook.com/photo.php?fbid=684757564878722&set=a.119472568073894.14299.116453438375807&type=1&theater ขอขอบคุณ : http://www.skeducation.com
1 2 3 4 5 6 7 8 9 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา