หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
ข้อมูลมหาวิทยาลัย University of Southampton Scholarships
  Scholarships : ทุนการศึกษา  • The Management school MSc Scholarship: ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย £2,000 ที่ไม่ติดเงื่อนไขในการเข้าเรียนทั้งด้าน GPA และ ภาษาอังกฤษ • The Law School LLM Scholarship: ให้ทุนการศึกษาส่วนลดค่าเรียน 30% สำหรับนักเรียนทีได้ GPA 3.2 ขึ้นไป และไม่ติดเงื่อนไขในด้านภาษาอังกฤษ   ข้อมูลมหาวิทยาลัย University of Southampton มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 15 ของประเทศอังกฤษโดย The Complete University Guide ปี 2013 ติดอันดับความเป็นเลิศ ในด้านกฏหมาย เคมีศาสตร์ และ วิศวกรรม มหาวิทยาลัย Southampton ตั้งอยู่ที่เมือง Southampton หรือบริเวณ South Coast of England ซึ่งห่างจากลอนดอน เพียง 1 ชั่งโมง 10 นาทีไปทางตอนใต้ การเดินทางจากลอนดอนทำได้โดยทางรถไฟจากสถานีวอเตอร์ลู (Waterloo) เมือง Southampton มีประชากร 234,600 คน โดยเป็นนักศึกษากว่า 50,000 คน เป็นเมืองท่าระดับโลกและยังได้รับ การขนานนามให้เป็นเมืองหลวงแห่งการล่องเรือสำราญในยุโรป (Cruise Capital of Europe) คณะที่เปิดสอนได้แก่ บริหารธุรกิจ, กฏหมาย, วิศวกรรมศาสตร์, สิ่งแวดล้อม, วิทยาศาสตร์ชีวภาพ, มนุษศาสตร์, การแพทย์, วิทยาสาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งอยู่ใน 6 วิทยาเขตซึ่งได้แก่ Highfield (Main Campus), The Avenue, Boldrewood, National Oceanography Centre, Southampton (NOCS), Winchester School of Art, Southampton General Hospital Fast Facts แรกก่อตั้งปี 1862 โดยใช้ชื่อ Hartley Institute มีนักศึกษารวม 23,000 คน และเป็นนักศึกษาต่างชาติ 4,500 ติดอันดับ Top 100 ใน World University League Tables (90 in 2010) อันดับที่ 14 จากการจัดอันดับโดย The Independent 2010 อันดับที่ 16 จากการจัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์ 3 สถาบันของประเทศอังกฤษ ติดอันดับความเป็นเลิศ ในด้านกฎหมาย เคมีศาสตร์ และ วิศวกรรม Member of Russell Group อันดับที่ 6 จากการจัดอันดับด้านความพึ่งพอใจของนักเรียนในประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง The World University Network (WUN) อันดับที่ 1 ในด้าน Engineering จาก The Guardian UK University League table 2012  Master Entry Requirement เกรดเฉลี่ย 2.8 ขึ้นไป (สำหรับผู้ที่จบจากมหาวิทายาลัยชั้นนำ*) เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ   For all postgraduate courses IELTS 6.5 TOEFL paper-based test 580 TOEFL internet-based test 92   Law and Management require higher scores. A number of programmes specifically require the following grade/score levels IELTS 7.0 TOEFL paper-based test 617 TOEFL internet-based test 105  Pre-sessional for Master degrees   Summer Pre-sessional Programme Course A Dates: 27 June 2013 to 13 September 2013 (11 weeks) Normal Entry Requirements: IELTS 5.5, IBTOEFL 71; PTE 47 Tuition Fee: GBP 4622.47 11 weeks in Southampton   Course B Dates: 1 August 2013 to 13 September 2013 (6 weeks) Normal Entry Requirements: IELTS 6.0; IBTOEFL 81; PTE 55 Tuition Fee: GBP 2537.72 6 weeks in Southampton ** Please note that the fees for pre-sessional EAP courses in Southampton include accommodation and books in Southampton Pre-sessional course with specific subjects Programmes for MBA and MSc Management Applicants (Faculty of Business and Law students only) Dates 1 August 2013 to 13 September 2013 (6, 11 or 16 weeks) Entry Requirement 6 weeks course IELTS 6.5; IBTOEFL 92; PTE 63* 11 weeks course IELTS 6.0; IBTOEFL 81; PTE 55* 16 weeks (online for first 5 weeks) IELTS 5.5; IBTOEFL 71; PTE 47*   Tuition Fee for MBA and MSc Management Applicants 2013 Course Fee Locations Course B: GBP 2537.72 6 weeks in Southampton Course A (11 weeks): GBP 4622.47 11 weeks in Southampton Online and Course A (16 weeks) GBP 5297.27 5 5 weeks online and 11 weeks in Southampton ** Please note that the fees for pre-sessional EAP courses in Southampton include accommodation and books in Southampton Programmes for Art and Design Applicants Programmes for MBA and MSc Management Applicants (Faculty of Business and Law students only) Undergraduate Programmes and Postgraduate Art and Design (Including MA Fine Art/ MA Communication Design/ MA Fashion Design/ MA Textile and Fibre Art/ MA Textile Design) Date 1 August 2013 to 13 September 2013 (6 or 11 weeks) Normal Entry Requirements* 6 weeks course IELTS 5.5; IBTOEFL 71; PTE 47* 11 weeks course IELTS 5.0; IBTOEFL 61; PTE 40*   Postgraduate Art and Design (Management pathways only) (Including Fashion Management/ Fashion and Textile Marketing/ Design Management/ Advertising Design Management/ Design Futures/ Luxury Brand Management) Date 1 August 2013 to 13 September 2013 (6 or 11 weeks) Normal Entry Requirements* 6 weeks course IELTS 6.0; IBTOEFL 81; PTE 55* 11 weeks course IELTS 5.5; IBTOEFL 71; PTE 47*   Content If you are going to follow a postgraduate Art and Design Management pathway then the last 6 weeks of your pre-sessional EAP course will be a specialist course for Art and Design students taught at the Southampton Campus Tuition Fees for Art and Design Applicants Course Fee Locations Course B: GBP 2537.72 6 weeks in Southampton Course A (11 weeks): GBP 4622.47 11 weeks in Southampton Programmes for LLM Applicants Date 1 August 2013 to 13 September 2013 (6 weeks) Normal Entry Requirements*: 6 weeks course: IELTS 6.5 with a minimum of 5.5 in Listening, Reading, Writing and Speaking; IBTOEFL 92 with a minimum of 17 in Listening, 18 in Reading, 17 in Writing and 20 in Speaking; PTE 63 with a minimum of 51 in Listening, Reading, Writing and Speaking. Course Fee:     GBP 2737.72    Postgraduate Intake January and September 2013   Undergraduate Postgraduate taught Postgraduate research Classroom £12,420 £13,500 £13,500 Laboratory £15,250 £16,590 £18,270 Clinical £29,450     เอกสารที่ใช้ในการสมัคร Transcript ใบรับรองจบ หรือ ใบปริญญา IELTS ถ้ามี ใบรับรองงาน ในกรณีที่มีประสบการณ์ทำงาน Recommendation letters อย่างน้อย 2 ฉบับ Statement of Purpose     คณะที่น่าสนใจ • MA Design, Management • MA Design, Studio pathways  • MA Fine Art • MSc Public Health Nutrition • MSc Chemistry • MSc Civil Engineering • MSc Engineering in the Coastal Environment • MSc Environmental Management Programme • MSc Energy and Sustainability • MSc Transportation Planning and Engineering • MSc Education • MSc Education Management and Leadership • MSc Maritime Engineering Science • MSc Race Car Aerodynamics • MSc Space Systems Engineering • MSc Sustainable Energy Technologies • MSc Advanced Tribology • MSc Unmanned Vehicle Systems Design • MSc Advanced Clinical Practice • MSc Health Science • MSc Leadership and Management in Health and Social Care • MSc Mental Health Studies • MSc Nursing (Pre-Registration) • MSc Nursing Studies • MSc Physiotherapy (Pre-Registration) • MSc Public Health Practice • LLM Taught programmes • MSc Crime Analysis • MSc Accounting and Finance • MSc Accounting and Management • MSc Business Analytics and Management Sciences (BAMS) • MSc Corporate Risk and Security Management • MSc Human Resource Management • MSc International Banking and Financial Studies • MSc International Financial Markets • MSc Knowledge and Information Systems Management (KISM) • MSc Management • MSc Management Sciences and Finance • MSc Marketing Analytics • MSc Digital Marketing • MSc Marketing Management • MSc Risk Management • MSc Strategic Entrepreneurship • MSc Economics • MSc Economics and Econometrics • MSc Finance and Economics      
Disted College
  ทางเลือกที่ฉลาดกว่าเพื่อการศึกษาระดับสูงที่ดีที่สุด      วิทยาลัย Disted ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดซึ่งมีความสำคัญกับชุมชนและอุตสาหกรรมขอมอบประสบการณ์การศึกษาอันยอดเยี่ยม และสมบูรณ์แบบสำหรับนักเรียนที่ต้องการจะได้รับทักษะและความรู้ที่ดีเยี่ยม เพื่อคุณค่าความสำเร็จในอาชีพการงานและชีวิตในอนาคต      วิทยาลัย Disted เป็นวิทยาลัยที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองปีนัง โดยมีมูลนิธิเพื่อการศึกษา Wawasan เป็นเจ้าของ วิทยาลัยของเราได้รับความเชื่อมั่นจากชุมชนและมีจุดแข็งในเรื่องของหลักสูตรการศึกษา เจ้าหน้าที่ และการดูแลนักเรียน ผ่านการสร้างแรงบันดาลใจ (INSiRE) การเชื่อมโยงกับชุมชน (Community CONNECT) การใส่ใจรักษาสิ่งแวดล้อม (Let’s Go Green) และการริเริ่มการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ (eLearn) ซึ่งวิทยาลัย Disted ได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการศึกษาที่สำคัญ สร้างสรรค์วัฒนธรรมการดูแลชุมชน พร่ำสอนเรื่องความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้งสร้างทัศนคติเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับนักเรียน ทีมงานและชุมชน มาโดยตลอด ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย      1.) Cambride ระดับ A      2.)การสมัครเข้าเป็นนักศึกษาออสเตรเลียตอนใต้ ประกาศนียบัตร / อนุปริญญา Accountancy,Business and Management    - Diploma in Accounting    - Diploma in Business Studies    - BA (Hons) Accounting & Finance    - BA (Hons) Business Management    - BA (Hons) International Business Management    - BA (Hons) Marketing Management Hospitality Management    - Certificate in Hotel Operations    - Diploma in Hospitality Business Management    - BA (Hons) Tourism Management    - BA (Hons) Events Management Psychology    - Bachelor of Psychology (Hons) Computer Science,IT and Multimedia     - Diploma in Computer Science    - Diploma in Business Information Technology    - Diploma in Creative Multimedia Production    - BSc(Hons) Business Information Systems Management   Engineering    - Diploma in Electrical & Electronic Engineering หลักสูตรภาษาอังกฤษ      1.)ประกาศนียบัตรหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด      2.)หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (3-9 เดือน)---- 1 เดือน 3 เดือน      3.)การเตรียมตัวสอบ IELTS เส้นทางการศึกษาหลักสูตรปริญญาตรีด้านการบริหารจัดการธุกิจบริการ การศึกษาด้านบริการที่ดีที่สุดในปีนัง      วิทยาลัย DISTED เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดในการเริ่มต้นอาชีพการบริการ การจัดการธุรกิจท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ด้วยมาตรฐานและคุณภาพที่สูงของหลักสูตรการบริการของวิทยาลัย DISTED พิสูจน์ได้จากการที่หลักสูตรของเราได้รับเรทติ้ง ระดับ 5 จาก Malaysian Quality Evaluations System for Private Colleges (My Quest) เมื่อปี 2553-2554 ซึ่งกำกับโดยกระทรวงการอุดมศึกษาของมาเลเซีย และได้รับการรับรองวิทยฐานะหลักสูตรจาก Malaysian Qualitifications Agency (MQA) นักเรียยนที่ศึกษาในหลักสูตรการบริการของเราจะได้ความเพลิดเพลินจากมาตรฐานระดับโลกและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่วิทยาลัยของเรามีให้ เพื่อให้นักเรียนได้พบกับความรู้ การฝึกฝนอาชีพสำหรับการเตรียมเข้าสู่โลกของการทำงานจริง หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น(3-9 เดือน)      เพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษที่ดีกว่าสำหรับการศึกษา การทำงาน และการใช้ชีวิต หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นได้พัฒนามาจากความต้องการของนักเรียนที่อยากจะมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีสำหรับใช้ในการศึกษา ทำงาน และการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งนักเรียนจะได้รับการพัฒนาความสามารถในการแสดงออกอย่างชัดเจนและมั่นใจในเรื่องที่แตกต่างกัน โดยความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีนั้น มีส่วนช่วยในการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง และการพัฒนาตนเองของนักเรียน   หลักสูตรภาษาอังกฤษภาคฤดูร้อน      ทัศนศึกษาภาษาอังกฤษที่เมืองปีนัง สำหรับ นักเรียน และอาจารย์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรระยะ 3 หรือ 5 วัน การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของหลักสูตรนี้จะเกิดจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง และการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องจากการปฏิบัติจริง การฝึกปฏิบัติการในห้องคอมพิวเตอร์ และการทำงานกลุ่มร่วมกัน      
English Course Singapore 2013
 English Course Singapore 2013     เรียนภาษาอังกฤษแบบอิสระไปด้วยตนเอง   เหมาะกับใคร ??   · มีอายุ 15 ปีขึ้นไป   · ต้องการความอิสระคือสามารถกำหนดวันเริ่มเรียนด้วยตนเองและเดินทางไปด้วยตนเองหรือมีผู้ปกครองตามไปส่ง   · ต้องการใช้ชีวิตเหมือนกับนักเรียนไทยที่มาเรียนต่อต่างประเทศ เช่น พักอยู่กับ Homestay หรือหอพักนักเรียน , เดินทางไปเรียนด้วยการนั่งรถเมล์ รถไฟฟ้า   · ต้องการฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง โดยการเลือกเรียนภาษาอังกฤษเต็มวัน วันละ 6 ชั่วโมง วันจันทร์-ศุกร์   พักแบบ อยู่ หอพัก     ระยะเวลา 1 เืดือน ระยะเวลา 3 เืดือน ระยะเวลา 6 เืดือน อายุผู้สมัคร 16 ปีขึ้นไป 16 ปีขึ้นไป 16 ปีขึ้นไป ราคาค่าเรียน + ค่าธรรมเนียม 40,000 บาท 110,000 บาท 189,0000 บาท จำนวนชั่วโมงเรียนต่อวัน 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 4 weeks 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 12 weeks 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 24 weeks รูปแบบการเรียน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน จำนวนชั่วโมงเรียนทั้งหมด 120 ชม. 360 ชม. 720 ชม. จำนวนนักเรียนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง วันเริ่มเรียน วันจันทร์แรกของเดือน วันจันทร์แรกของเดือน วันจันทร์แรกของเดือน ราคาที่พัก ห้อง 4 เตียง ราคา 27,500 บาท ห้อง 4 เตียง ราคา 47,500 บาท ห้อง 2 เตียง ราคา 60,000 บาท ห้อง 4 เตียง ราคา 80,000 บาท ห้อง 2 เตียง ราคา 108,000 บาท ตั๋วเครื่องบิน สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ ราคารวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง* 76,000 บาท 157,500 บาท 170,000 บาท 277,500 บาท 305,500 บาท หมายเหตุ*  ราคาที่แน่นอนขึ้นอยู่กับประเภทที่พัก, ห้องพักที่เลือก และสายการบินที่เลือก การสมัครเรียน ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์ ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์ ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์     พักแบบ อยู่ Host Stay   ระยะเวลา 1 เืดือน ระยะเวลา 3 เืดือน ระยะเวลา 6 เืดือน อายุผู้สมัคร 14 ปีขึ้นไป 14 ปีขึ้นไป 14 ปีขึ้นไป ราคาค่าเรียน + ค่าธรรมเนียม 40,000 บาท 110,000 บาท 189,0000 บาท จำนวนชั่วโมงเรียนต่อวัน 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 4 weeks 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 12 weeks 6 ชม./วัน วัน จันทร์-ศุกร์ ระยะเวลา 24 weeks รูปแบบการเรียน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน สอนสดในชั้นเรียน 6 ชั่วโมง/วัน จำนวนชั่วโมงเรียนทั้งหมด 120 ชม. 360 ชม. 720 ชม. จำนวนนักเรียนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง ไม่เกิน 15 คนต่อห้อง วันเริ่มเรียน วันจันทร์แรกของเดือน วันจันทร์แรกของเดือน วันจันทร์แรกของเดือน ราคาที่พัก ราคา 42,500 บาท ราคา 127,500 บาท ราคา 255,000 บาท ตั๋วเครื่องบิน สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ สามารถเลือกได้ว่าจะเดินทางโดยสายการบิน low costหรือสายการบินปรกติ ราคารวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง* 91,000 บาท 237,500 บาท 452,500 บาท หมายเหตุ*  ราคาที่แน่นอนขึ้นอยู่กับประเภทที่พัก, ห้องพักที่เลือก และสายการบินที่เลือก การสมัครเรียน ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์ ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์ ควรสมัครเรียนก่อนวันเริ่มเรียน 4 สัปดาห์                                              School Pictures                                                                                           Homestay & Student Pictures                                                                             
ทำความรู้จัก Shelton
 ทำความรู้จัก Shelton      ในปี 2012 วิทยาลัยนานาชาติ Shelton ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Edutrust (การรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์) ซึ่งมีระยะเวลาการรับรองมาตรฐานติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี มาแล้ว มอบโดย คณะกรรมการการศึกษาเอกชน ประเทศสิงคโปร์ (Council of Private Education, Singapore) การรับรองนี้แสดงถึงการเป็นสถาบันการศึกษาเอกชนที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการที่สำคัญครบทุกด้าน และสามารถให้บริการการศึกษาคุณภาพสูงได้ นอกจากนี้ วิทยาลัยนานาชาติ Shelton ยังเป็นสถาบันการศึกษาเอกชนแห่งแรกในประเทศสิงคโปร์ ที่ให้ความสำคัญด้านคุณภาพการศึกษาตลอดจนการผสมผสานหลักสูตรการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงระดับอุดมศึกษา      ผู้ที่ทำการศึกษาในสถาบัน จะได้รับโอกาสในการสำเร็จการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรนานาชาติในระดับมัธยมศึกษา ตลอดจนหลักสูตรระดับปริญญาเช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ อาทิ สาขาการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ (Travel, Tourism & Hospitality) สาขาบริหารธุรกิจ (Business management) สาขาการบริหารการตลาด (Marketing Management) สาขาการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management) และ สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business) รวมถึงหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (Master of Business Administration)      เพื่อให้ผู้ที่ทำการศึกษาในสถาบันของเราได้รับประสบการณ์และคุณประโยชน์สูงสุดจากการศึกษาในระดับนานาชาติ เราจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในแถบเอเชีย-แปซิฟิก และในประเทศอังกฤษ จัดทำหลักสูตรการศึกษาอาทิ หลักสูตรปริญญาตรี ซึ่งได้รับการรับรองจาก Staffordshire University และหลักสูตรบัณฑิตศึกษาจาก Edge Hill University ซึ่งมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งล้วนเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ ดังนั้น ผู้ที่ทำการศึกษาในสถาบันของเราจึงเปรียบเสมือนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับการเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษนั่นเอง      วิทยาลัยนานาชาติ Shelton ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1993 ในฐานะสถาบันทางการศึกษาที่ประสบความสำเร็จได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Edutrust ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเราเป็นสถาบันที่มีความแน่วแน่และให้ความสำคัญเรื่องคุณค่าของการศึกษา หลักสูตรของเราถูกต้องตามกฎหมาย รับรองโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ร่วมมือเป็นพันธมิตร ดังนั้น คุณภาพของการส่งมอบบริการการศึกษาและการวัดผลการศึกษานั้น จึงได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และนักเรียนของเราทุกคนสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ได้เท่าเทียมกับเพื่อนนักเรียนที่โรงเรียนสาขาในประเทศอังกฤษ สถานที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก      โรงเรียนของเรา แบ่งออกเป็น 2 แผนก ได้แก่แผนกมัธยมศึกษาตอนปลาย ตั้งอยู่ที่ Telok Blangah Rise มีลานกีฬากลางแจ้งสำหรับเล่นกีฬา อาทิ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตันและปิงปองส่วนแผนกวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ Mountbatten Square เป็นอาคารสำนักงานอเนกประสงค์ที่มีความทันสมัย อยู่ใกล้กับเขตเมืองและมีการคมนาคมเส้นทางขนส่งเข้าถึงสะดวกประกอบไปด้วยห้องเรียนที่มีอุปกรณ์โสตทัศนศึกษาครบครัน และการบริการอินเตอร์เน็ตไร้สาย (wireless) รวมถึงการให้บริการบ้านพัก และศูนย์อำนวยการนักศึกษาอีกด้วย ที่พักและการดูแลนักเรียน      สำหรับนักเรียนนานาชาติสามารถเลือกอยู่หอพักที่จัดไว้ให้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ Telok Blangah Rise ภายในหอพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ อินเตอร์เน็ตไร้สาย (wireless), พื้นที่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง, อาหาร 3 มื้อ และการบริการซัก อบ รีด สำหรับที่พักนอกสถานศึกษามีให้บริการผ่านตัวแทนสถานศึกษาที่ร่วมดำเนินการ Certificate in English as a Global Language หลักสำคัญของการเรียนการสอนของสถาบัน      - สอนด้วยความรัก, ความห่วงใยและความรับผิดชอบ - โรงเรียนของเรานำเสนอประสบการณ์การศึกษาที่เต็มเปี่ยมตลอดภาคการศึกษาที่นอกเหนือจากทฤษฎีการเรียนการสอนทางวิชาการ และการพัฒนาการรับรู้ เรามุ่งเน้นแสวงหาการเรียนรู้เกี่ยวกับผู้ร่วมสังคมเดียวกัน และการพัฒนาบุคลิกภาพของนักเรียน โดยการให้พวกเขาทำกิจกรรมที่หลากหลายและมีคุณค่าประเทืองปัญญา และได้บริการชุมชนผ่านการฝึกภาคปฏิบัติ      นักเรียนจะได้รับการศึกษาตามหลักสูตรและแนวทางการเรียนการสอนที่กำหนด ด้วยความเข้มข้นของการเรียนแบบการสื่อสาร 2 ทิศทาง มีการทำงานร่วมกัน การคิดริเริ่มและการคิดวิเคราะห์ ซึ่งกระบวนวิชาที่นำเสนอ อาทิ วิชาภาษาอังกฤษ, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, หลักการบัญชี และพลศึกษา เมื่อผ่านการวัดผลการเรียนรู้ Singapore-Cambridge GCE OLevelนักเรียนจะสามารถดำเนินการทดสอบ Singapore-Cambridge GCE A Levelได้ ซึ่งมีแนวทางหลากหลาย ผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเรียน และการเรียนรู้ประสบการณ์ ผ่านการเรียนการสอนที่ดีและหลักสูตรการศึกษาอย่างเข้มข้น2 ปี เช่นเดียวกันกับการเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์หรือวิชาธุรกิจการค้า เพื่อเตรียมพร้อมให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการสอบวัดผลระดับSingapore-Cambridge GCE A Level นักเรียนจะได้รับการสอนให้มีทักษะการทำงานเป็นทีม, การคิดเชิงสร้างสรรค์, เชิงมูลค่าและทักษะการสื่อสารในสังคมตลอดจนการเรียนรู้ด้วยวิธีที่ทันสมัยและสร้างสรรค์ อาทิ การสรรค์สร้างพลังความคิดที่หลากหลาย และวิธีการเรียนการสอนอื่นๆ ที่เป็นที่ยอมรับในสากล จุดมุ่งหมายสูงสุดของการศึกษา      โรงเรียนของเรามีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตบัณฑิตผู้มีความรู้แบบองค์รวม ผู้ซึ่งค้ำจุนศาสนาและคุณค่าทางศีลธรรม โดยการรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สถาบัน สังคม ประเทศชาติและโลก วัตถุประสงค์      โรงเรียนของเรามีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างนักเรียนที่มีการศึกษาสูง มีมารยาทดีและหมั่นฝึกฝนตนเอง ผ่านการได้รับความรู้ทางวิชาการและมีกิจกรรมหลักสูตรที่เป็นระบบ โดยผู้เรียนจะเรียนรู้และซึมซับเกี่ยวกับคุณค่าของโรงเรียน ที่ทำให้พวกเขาได้เผชิญกับการแข่งขันใหม่ๆ เป้าหมาย  เรามีความพยายามที่จะ:      1. สร้างแรงบันดาลใจ, การศึกษาและปัจเจกบุคลแบบองค์รวมอย่างสูง      2. แผ่ขยายความสามารถของนักเรียนโดยการกระตุ้นให้เกิดความคิดเชิงสร้างสรรค์, การคิดวิเคราะห์ที่เป็นระบบ, การนวัตกรรมและการก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพ      3. เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทาย โดยจัดให้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมและการนำส่งการบริการที่เป็นเลิศ       4. สนับสนุนหลักจริยธรรมในการจัดการ และการบริหารและการศึกษา หลักสูตรการศึกษา      Singapore-Cambridge GCE O Level      Singapore-Cambridge GCE A Level      International General Certificate of Secondary Education (Edexcel IGCSE)      FCE (Foundation Certificate in English Language)   ดาวน์โหลด GLOBAL EXCHANGE PROGRAMME ของ ทาง สถาบัน Shelton College คลิกที่นี่   ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.studypenang.com/  
Fee for Australian Visa Applications
  The Australia Immigration Service wishes to advise that application fees     have been reviewed with effective from 1 January 2014.   The new visa processing fees in Thai Baht are as follows;   - VISITOR VISA 4,050 BAHT + A VFS service charge of THB 600 is applicable per passport - STUDENT VISA 16,650 BAHT + A VFS service charge of THB 600 is applicable per passport   For more information please visit http://www.vfs-au.net/ 
ลงทะเบียนสอบ IELTS ผ่าน Education for Life
 ลงทะเบียนสอบ IELTS ผ่าน Education for Life บริษัทเอ็ดดูเคชั่น ฟอร์ ไลฟเป็นตัวแทนรับสมัครสอบ IELTS ที่ได้รับการรับรองจาก British Council’s IELTS Thailand ท่านสามารถสมัครสอบได้กับเรา การสมัครสอบ IELTS เช็คกับเจ้าหน้าที่ของเรา ว่าวันสอบที่ท่านต้องการยังมีที่นั่งเหลือพอหรือไม่ โดยทั่วไปท่านควรลงทะเบียนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันสอบ   ส่งแบบฟอร์มพร้อมเอกสาร และค่าสอบมาที่ EFL ภายใน 1 สัปดาห์ ท่านจะได้รับ email จาก British Council ยืนยันที่นั่งสอบ สถานที่สอบ และเอกสารที่ต้องนำไปในวันสอบ หากท่านไม่ได้รับ email ยืนยันภายใน 1 สัปดาห์กรุณาโทรกลับหาเราเพื่อทำการตรวจสอบ เข้าสถานที่สอบ ตาม วันเวลาที่สมัคร ขั้นตอนการสมัครสอบ กรอกใบสมัครสอบ IELTS (  Click ที่นี้เพื่อดาวน์โหลดใบสมัครสอบ IELTS )  ( Click เพื่อดูตัวอย่างการกรอกใบสมัครสอบ IELTS ) ( Click เพื่อดู IELTS condition acknowledgement ) เซ็นชื่อใน Registration Guide 2012 หน้าสุดท้าย พร้อมตัดแนบมากับในสมัคร IELTS ค่าธรรมเนียมในการสมัครสอบ IELTS 6,300 บาท (ยื่นหลักฐานการโอนเงิน รายละเอียดบัญชีด้านล่าง) เอกสารที่ใช้ในการสมัคร ดังนี้ สำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทาง พร้อมกับเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง เงินค่าสอบ 6,300 บาท ท่านสามารถยื่นใบสมัครตรงได้ที่ออฟฟิศ หรือส่งเอกสารในข้อ 1-4 ที่ระบุข้างต้น มาที่  บริษัทเอ็ดดูเคชั่น ฟอร์ ไลฟ จำกัด (แผนกสมัคร IELTS) 54 ถนนหัวหมาก แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. 10240 หมายเหตุ ท่านต้องเลือกว่าจะใช้ บัตรประชาชน หรือ Passport ในการสมัครสอบ หากท่านส่งเอกสารใดไปกับใบสมัครแล้ว ต้องนำเอกสารนั้นไปในวันสอบ โดยจะสลับกันไม่ได้ เช่น หากท่านนำส่งสำเนาบัตรประชาชนไปกับใบสมัคร แต่เมื่อถึงวันสอบท่านลืมบัตรประชาชนแต่มี Passport ท่านจะไม่สามารถใช้ Passport แทนบัตรประชาชนเพื่อเข้าสอบได้ ***การจ่ายค่าสมัครสอบ IELTS 6,300 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชี ตามรายละเอียดบัญชีด้านล่างค่ะ ชื่อบัญชี BC Operation (Thailand) Limited ชื่อธนาคาร ธนาคารทหารไทย สาขา สยามสแควร์ เลขที่บัญชี 174 – 1 – 02568 – 6 ประเภทบัญชี กระแสรายวัน IELTS Dates for 2014 Coming soon.... ผลสอบ ผลสอบจะออกหลังจากวันสอบ 15 วัน โดยท่านสามารถเช็คผลสอบได้จากระบบ Online และรับผลตัวจริงได้ด้วยตัวเอง หรือระบุให้ทาง British Council ส่งให้ท่านที่บ้าน ในกรณีเร่งด่วน เราแนะนำให้ท่านรับผลด้วยตัวเอง รายละเอียดการสอบ การสอบจะใช้เวลาทั้งสิ้น 1 วันเต็ม โดยในช่วงเช้า จะเป็นการสอบ การฟัง การอ่าน และการเขียน ส่วนช่วงบ่าย เป็นการสอบ การพูดซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว กับผู้ประเมินที่เป็นเจ้าของภาษา IELTS คืออะไร IELTS (International English Language Testing System) คือ การวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการไป ศึกษาต่อ หรือรับการฝึกอบรมใน ต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และผู้ที่มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐาน ไปยังประเทศออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ IELTS ทดสอบอะไร IELTS เป็นการทดสอบการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน ผู้สอบจะได้รับใบรายงานผลการสอบโดยแยกเป็น แต่ละส่วนทั้ง 4 ทักษะ ลักษณะของคะแนนในการสอบจะถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับ โดยเริ่มต้นที่ตั้งแต่ระดับที่หนึ่งไปจนถึงระดับที่เก้า ซึ่งสามารถวัดระดับความรู้ความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สอบได้อย่างถูกต้อง เช่น ระดับที่ 1 ผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้คะแนนในระดับนี้จะหมายถึงผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เลย ระดับที่ 9ผู้เข้ารับการทดสอบที่ได้คะแนนในระดับนี้จะหมายถึงผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ IELTS เป็นการทดสอบการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน ผู้สอบจะได้รับใบรายงานผลการสอบโดยแยกเป็น แต่ละส่วนทั้ง 4 ทักษะ ลักษณะของคะแนนในการสอบจะถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับ โดยเริ่มต้นที่ตั้งแต่ระดับที่หนึ่งไปจนถึงระดับที่เก้า ซึ่งสามารถวัดระดับความรู้ความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สอบได้อย่างถูกต้อง เช่น รูปแบบของการทดสอบแยกตามวัตถุประสงค์ของผู้เข้ารับการทดสอบ เพื่อการศึกษาต่อ (ACADEMIC modules) เพื่อเป็นการทดสอบความพร้อมในการศึกษาต่อในต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งในระดับ ปริญญาตรี และปริญญาโท   เพื่อการฝึกอบรม (GENERAL TRAINING modules) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวัดความพร้อมเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยม การฝึกอบรมหรือ ทำงานในต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อสอบจะใช้วัดความรู้ภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐาน และจะไม่ซับซ้อนเหมือนกับผู้ที่ต้องการวัดระดับความรู้เพื่อศึกษาต่อ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศนิวซีแลนด์ หรือ ออสเตรเลีย http://www.eduforlife.net
10 อันดับเมืองค่าครองชีพถูกที่สุดในโลก ใครอยากเรียนต่อ-ไปเที่ยว
 วันก่อนเว็บไซต์เรานำเสนอข้อมูลเรื่อง เมืองที่ค่าครองชีพถูกสุดในยุโรป รวมถึง เมืองที่ค่าครองชีพถูกสุดในอังกฤษ กันไปแล้ว คราวนี้เรามาชมอีกเรื่องที่น่าสนใจอย่าง เมืองที่ค่าครองชีพถูกสุดในโลกกันบ้าง การจัดอันดับคราวนี้จะเอาค่าเฉลี่ยต่างๆทั้งเรื่อง ค่าโรงแรม ค่าแท็กซี่ไปร้านอาหาร รวมถึงค่าดินเนอร์สองคนพร้อมเครื่องดื่ม ลองมาชมกันได้เลย….   10 Riyadh ซาอุดิอาระเบีย เฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,216 บาท   9 Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ เฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,193 บาท   8 Tunis ประเทศตูนิเซีย เฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,178 บาท   7 Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย เฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,136 บาท   6 Bangkok ประเทศไทย เฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,592 บาท     5 Budapest ประเทศฮังการี เฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,349 บาท   4 Sharm el Sheikh ประเทศอียิปต์ เฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,272 บาท   3 Warsaw ประเทศโปแลนด์ เฉลี่ยต่อวันประมาณ 6,145 บาท   2 Hanoi ประเทศเวียดนาม เฉลี่ยต่อวันประมาณ 5,771 บาท   1 Sofia ประเทศบัลแกเรีย เฉลี่ยต่อวันประมาณ 5,195 บาท     ดูจากการจัดอันดับครั้งนี้ น่าจะคิดจากการเข้าพักโรงแรมมีระดับ อาหารมื้อค่อนข้างหรูพอสมควรเนื่องจากกรุงเทพของเราก็ติดมา แต่จำนวนเงินต่อวันสูงถึงหกพันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าเงินค่าครองชีพจริงๆ ก็ลองดูอันดับต่างๆไว้เป็นแนวทางคร่าวๆนะครับ…. ที่มา: telegraph http://www.wegointer.com
วีซ่านักเรียนสิงคโปร์
 วีซ่านักเรียนสิงคโปร์ : วิธีการสมัคร       มันเป็นกฎที่นักเรียนต่างชาติต้องขอทำวีซ่าที่เรียกว่า a Student Pass เพื่อเรียนต่อในประเทศสิงคโปร์  ซึ่งได้รับการรับรองจาก a Dependent Pass (DP) หรือ an Immigration Exemption Order (IEO)       โดยการสมัครขอ A Student's Pass นั้น จะต้องไปขอทำที่ the Immigration & Checkpoints Authority (ICA) ซึ่งมีข้อกำหนดและคุณสมบัติในการสมัครแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษาของคุณ       โดยการขอวีซ่าแบบใหม่นี้ มีข้อกำหนดว่าจะต้องขอก่อนที่เข้าเรียนอย่างน้อย 1 เดือน และไม่นานกว่า 2 เดือน  โดยสามารถยื่นใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ของ SOLAR หรือ the Student’s Pass On-Line Application & Registration (SOLAR) system  การยื่นใบสมัครผ่าน SOLAR 1. ยื่นผ่าน Institute of Higher Learning (IHL)       โดยก่อนที่คุณจะยื่นใบสมัครไปยัง SOLAR นั้น คุณจะต้องลงทะเบียนที่ IHL เสียก่อน โดยจะต้องกรอกข้อมูลดังต่อไปนี้ ชื่อ, วันเดือนปีเกิด, เพศ และสัญชาติ รายละเอียดของหลักสูตรที่จะเรียน, วันเปิดเรียนและวันจบหลักสูตร หมายเลขใบสมัครของ SOLAR 2. ยื่น eForm 16       เมื่อคุณทำการยื่น IHL เสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณจะต้องล็อคอินเข้าเว็บไซต์ SOLAR เพื่อกรอกแบบฟอร์ม eForm 16  โดยจะต้องกรอกข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลที่กรอกผ่าน IHL 2. เอกสารการเดินทาง, รายละเอียดของพาสปอร์ต (รวมถึงหมายเลขเอกสารการเดินทาง, เลขพาสปอร์ต, วันหมดอายุพาสปอร์ต และอื่นๆ) 3. NRIC/FIN ของผู้ปกครอง ถ้านักเรียนมีผู้ปกครองเป็นชาวสิงคโปร์ หรือ นักเรียนต่างชาติที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในสิงคโปร์อยู่แล้ว 4. ที่อยู่ในสิงคโปร์และหมายเลขที่สามารถติดต่อได้ (แต่ถ้ายังไม่มี ให้กรอกรายละเอียดที่อยู่ของมหาวิทยาลัย) 5. อีเมล์ของคุณ 6. รูปถ่ายขนาดที่ใช้กับพาสปอร์ต ให้แปะไว้ที่มุมขวาบนของแบบฟอร์ม  โดยรูปถ่ายต้องมีลักษณะ ดังนี้ ถ่ายมาไม่นานกว่า 3 เดือน ต้องเป็นรูปสี และต้องมีพื้นหลังสีขาว รูปถ่ายต้องแสดงให้เห็นใบหน้าชัดเจน และไม่มีการปกปิดใบหน้า (ยกเว้นเป็นข้อกำหนดของศาสนา) ค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมการดำเนินงาน S$30       ค่าธรรมเนียมการดำเนินงาน จะถูกเก็บเมื่อใบสมัครถูกยื่น  ดังนั้นในการยื่นใบสมัครผ่าน SOLAR คุณควรมั่นใจก่อนว่าคุณกรอกเลขบัตรเครดิตหรือเดบิตแล้ว ค่าธรรมเนียมการออกวีซ่า S$60       สำหรับนักเรียนที่ใบสมัครของวีซ่าผ่านการพิจารณาแล้ว คุณก็จะถูกเก็บค่าธรรมเนียมการออกวีซ่าจำนวน S$60   hotcourses.in.th  
ทำไมถึงเลือกเรียนต่อที่สิงคโปร์
 ทำไมถึงเลือกเรียนต่อที่สิงคโปร์?       สิงคโปร์ เป็นคำอธิบายของสิ่งที่เรียกว่า “ตะวันออกพบกับตะวันตก”  นอกจากจะเป็นประเทศที่ถือว่าสะอาดที่สุดในโลกแล้ว ที่นี่ยังมีตึกระฟ้าอันทันสมัยตั้งพาดผ่านสวนสาธารณะอันเขียวชอุ่มอีกด้วย จึงถือว่าเหมาะกับนักเรียนที่ชอบความแปลกใหม่ของวัฒนธรรมที่น่าสนใจ       ที่นี่เต็มไปด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่น่าตื่นตาตื่นใจ  ที่เห็นได้ทั่วไปจากประเพณีและภาษาที่พวกเขาใช้  มากกว่า 40% ของประชากรชาวสิงคโปร์เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งรวมไปถึงนักเรียนต่างชาตินับพันด้วย  ดังนั้นแล้ว คุณจึงไม่ต้องกลัวว่าคุณจะโดดเดี่ยวเมื่อคุณมาเรียนที่ประเทศนี้       สิงคโปร์ หรือ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เป็นประเทศที่เป็นเกาะ มีประชากรทั้งสิ้นเกือบ 5 ล้านคน  โดยชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็กลับสะอาด ไม่วุ่นวายและตรงต่อเวลาเสมอ  เห็นได้ชัดเจนจากผู้คนที่นี่จะรอสัญญาณไฟจราจรก่อนข้ามถนน และ ไม่สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้าที่ติดเครื่องปรับอากาศ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาโลกร้อน เป็นต้น       นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่รักการทานอาหารอีกด้วย  ที่นี่มีอาหารหลากหลาย ทั้งมาเลย์ จีน อินเดีย ตะวันตก และยุโรปให้คุณได้เลือกอย่างละลานตา  ลองไปยัง Chinatown และ Little India แล้วคุณจะพบกับอาหารเอเชียที่อร่อยที่สุดเท่าที่คุณเคยพบมา!   ที่ท่องเที่ยวหลากหลาย       สิงคโปร์มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้คุณได้ค้นหา อย่างเช่น St John's Islands  และ Kusu Islands ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Sentosa  คุณสามารถว่ายน้ำและผ่อนคลายบนหาดทรายสีขาว เหมาะกับการมาปิกนิกหรือหลีกหนีจากเมืองหลวง, แต่ถ้าคุณท่องเที่ยวลึกเข้าไปในตัวเกาะ  คุณก็จะได้พบกับอ่างเก็บน้ำ ทางเดินป่าและลิงมากมายที่ส่งเสียงร้องระงมอยู่ตามต้นไม้  นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังมีกิจกรรมให้คุณทำมากมายทั้งขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไต่เขารวมไปถึงกีฬาทางน้ำต่างๆด้วย       และล่าสุดรัฐบาลของสิงคโปร์เริ่มจริงจังในการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปะขึ้น เช่น  Esplanade - Theatres on the Bay โรงละครระดับโลกสำหรับการแสดงศิลปะและการแสดง Singapore Symphony Orchestra  เป็นต้น   อะไรทำให้สิงคโปร์แตกต่าง?       เมืองหลวงของที่นี่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งธุรกิจ การเงินและการศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยล่าสุดได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่เติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก   จึงทำให้นักเรียนต่างชาติที่มาเรียนที่นี่ได้รับโอกาสในการเรียนที่เป็นมาตรฐานระดับโลก และได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่มีค่าและน่าสนใจไปพร้อมๆกัน  ทั้งเรื่องเชื้อชาติที่มีความหลากหลายทั้งจีน มาเลย์ อินเดียและยุโรป ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่และเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นชนชาติที่เรียกว่า “คนสิงคโปร์”  รวมทั้งประเพณีต่างๆที่ยังคงไว้เหมือนในอดีต       การเป็นอาณานิคมของสิงคโปร์ยังคงมีอิทธิพลมาถึงทุกวันนี้  เห็นได้จากตึกและโบสถ์ต่างๆจะตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำ  รวมทั้งโรงแรม Raffles ที่น่าตื่นตาตื่นใจ  ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงสมัยการปกครองของสหราชอาณาจักร  นอกจากนี้ถึงจะมีการใช้ภาษาเอเชียท้องถิ่น แต่ก็มีการใช้ภาษาอังกฤษกันแพร่หลาย ทำให้สังคมบังเกิดความเป็นสากล    และส่งผลให้ระบบการศึกษาเป็นแบบ bilingual   มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น ทั้งภาษามาเลย์ จีนแมนดาริน และทมิฬ   hotcourses.in.th  
เรียนต่ออังกฤษด้วยเงินวันละ 50 บาท 356 £ ใน 356 วัน ทำได้
 เรียนต่ออังกฤษด้วยเงินวันละ 50 บาท : 356 £ ใน 356 วัน ทำได้ ผู้เขียน : Le Hai ------------------------------------------------------------------------ ทุนการศึกษาสราชอาณาจักร ราคาค่าเรียน ที่พักโดยเฉลี่ย และการหางานParttimeในอังกฤษ       ในแต่ละวันอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยเฉพาะเงินสกุลปอนด์สเตอริง หรือ GBP ที่เป็นสกุลเงินของอังกฤษ จึงไม่น่าแปลกใจมากนักที่ปัจจุบันชาวอังกฤษต้องหามาตรการในการประหยัดและรัดเข็มขัดในการใช้จ่ายให้มากขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับเศรษฐกิจที่อาจจะถดถอยได้  ซึ่งจากการเข้าร่วมอภิปรายล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่ฉันพบก็คือ มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง คือ Kath Kelly ได้เขียนหนังสือที่ชื่อ How I Lived a Year on Just a Pound a Day (สามารถซื้อได้ที่ Amazon นะคะ หรือ ดู10วิธีเก็บเงินตอนเรียนต่อ)โดยหนังสือเล่มนี้จะเป็นการอธิบายว่าเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ทั้งปีด้วยเงินเพียง 365 ปอนด์ หรือใช้เงินเพียงวันละ 1 ปอนด์ได้อย่างไร       แท้จริงแล้วการใช้ชีวิตในอังกฤษด้วยการประหยัดนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนักเรียนชาวเอเชียที่ไปเรียนที่นั่น ใครๆก็ประหยัดกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่แตกต่างที่หนังสือของอาจารย์ Kath Kelly ได้แสดงออกมาก็คือ แนวทางพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นระบบและการเล่าเรื่องที่น่าสนใจที่ทำให้ผู้อ่านติดตาม  ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟทั้งๆที่ยังตกงาน, การซื้ออาหารราคาถูกจะต้องไปซื้อในช่วงเวลาที่ซุปเปอร์มาร์เกตลดราคาก่อนปิดร้านหรือก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์, ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จะมีการเอาอาหารต่างๆมาลดเหลือแค่เพียง 10 เซนต์เพราะว่ามันกำลังจะหมดอายุ รวมถึงการขี่จักรยานและการขึ้นรถประจำทางยังเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยในการประหยัดเงินไปได้มาก โดยเฉพาะการใช้บัตร Oyster Card ที่มีราคาเพียง £ 1.3 เป็นต้น       Kath Kelly เขียนถึงการหาแอปเปิ้ล, ลูกแพร์หรือแบลคเบอร์รี่ลูกงามๆ จากป่าเล็กๆใกล้ๆบ้าน  รวมถึงการปลูกต้นไม้เล็กๆมากมายที่สามารถเอาไว้เก็บผลทานเมื่อถึงฤดูได้อีกด้วย  รวมถึงการก้มมองพื้นถนนรอบๆตัวเพื่อหาเศษเหรียญ  เพราะเชื่อหรือไม่ว่าถนนแทบทุกสายที่เราเดินผ่าน จะมีเหรียญตกอยู่บนพื้นเสมอ  โดย Daily Mail เคยทำการสำรวจในเรื่องนี้แล้วพบว่าถนนทั่วทั้งอังกฤษมีเงินมากถึง 26 ล้านปอนด์ตกอยู่ และอีก 650,000 ปอนด์ตกอยู่ในคูน้ำ            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การใช้เงินวันละ 1 ปอนด์อย่างในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้รวมถึงค่าใช้จ่ายอย่างพวกค่าเช่าบ้าน, ค่าไฟ, ค่าน้ำ, ภาษี รวมถึงการใช้จ่ายพิเศษเพิ่มเติมที่มีราคาสูง นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน            นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังแสดงให้เห็นถึงวิถีของชาวอังกฤษบางส่วนที่มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและไร้ประโยชน์ไปกับข้าวของที่ไม่จำเป็นอีกด้วย เช่น ในแต่ละปีวงเงินบัตรเครดิตที่สะพัดอยู่ในตลาดการเงินตกเฉลี่ยอยู่ที่ £ 3,830 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, คนนิยมใช้จ่ายไปกับการเช่า DVD £ 12 ต่อสัปดาห์, โทรศัพท์ £ 19 ต่อสัปดาห์, การพบปะสังสรรค์ £ 64 ต่อสัปดาห์, ค่าเครื่องสำอาง £ 46 และอื่นๆอีกมาก  โดยเฉพาะหญิงสาวชาวอังกฤษอายุระหว่าง 21-25 ปี จะมีการใช้เงินสูงสุด คือ £ 289 ต่อสัปดาห์ ซึ่งเท่ากับ £ 15,028 ต่อปี ซึ่งโดยมากจะเป็นการใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่ไม่ได้จำเป็นจริงๆทั้งสิ้น หญิงสาวเหล่านี้จะจ่ายเงินเฉลี่ย £ 82 ต่อสัปดาห์ เพื่อซื้อรองเท้ามากถึง 25 คู่มาใส่ตู้เสื้อผ้า       แม้การใช้ชีวิตด้วยวงเงินใช้จ่ายที่จำกัดนี้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีและไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกทั้งในปัจจุบันกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็กำลังเป็นที่นิยมด้วย เช่น การใช้สบู่น้อยจะช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม, ซื้ออาหารจากท้องถิ่นจะช่วยลดการขนส่งและการใช้พลังงาน เป็นต้น   http://www.hotcourses.in.th/blog/living-abroad/1-year-in-the-uk-with-365-pounds/  
ทำอะไรตอนเรียน ถึงจะได้งานเร็วตอนเรียนจบ
 ทำอะไรตอนเรียน ถึงจะได้งานเร็วตอนเรียนจบ ยิ่งคิดเรื่องอาชีพเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะแค่ทำกิจกรรมหรือเข้าสังคมอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการหางาน แต่การมีประสบการณ์ทำงานและการฝึกงานจะช่วยให้เราหางานได้ง่ายขึ้น บทความพวก Student guide ทั่วไป อาจจะแนะนำว่าเราต้องหาหอพักอย่างไร ใช้เงินอย่างไร ทำอาหารอะไรเวลาไปอยู่มหาวิทยาลัย หางานพาร์ทไทม์อย่างไร แต่ไม่มีใครบอกให้เรานึกถึงสิ่งที่เราจะทำหลังจากเรียนจบ คำแนะนำนี้เราอาจจะได้ยินมาแล้วเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่เราได้คิดถึงมันอย่างจริงจังหรือเปล่า นักศึกษาส่วนใหญ่มักจะมองข้ามสิ่งนี้ไปเพราะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเช่น การเรียน การสอบ กิจกรรม งานเลี้ยง ปาร์ตี้ จนเวลาล่วงเลยไปถึงปี 3 ถึงเริ่มปวดหัวว่าจะฝึกงานที่ไหนดี พอถึงตอนนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้โชคชะตาพาไป แล้วมันดีกับตัวเราจริงๆ หรือเปล่า การทำกิจกรรมชมรมเยอะๆ จะดีกับ Resume ของเราจริงหรือไม่ ฝากไว้ให้คิดนะคะ   หลายๆ คนคิดเข้าข้างตัวเองว่าชีวิตจะต้องโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ สิ่งที่เราจะต้องทำก็แค่เขียน Resume ให้ดูดีที่สุด อัดกิจกรรมที่เคยทำทั้งหมดใส่ลงไป แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด นายจ้างต่างๆ ไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณได้รับรางวัลออกแบบโลโก้ หรือเข้าร่วมประชุมชมรมกี่พันครั้ง สิ่งที่พวกเขาสนใจคือ “ประสบการณ์ทำงาน” ต่างหาก ซึ่งหากเราไม่มีประสบการณ์ทำงานที่เหนือกว่าคนอื่นตั้งแต่ตอนเรียน ก็อาจจะทำให้เราเสียโอกาสใหม่ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย แถมยังต้องเสียเวลามากกว่าเดิมเพื่อหาประสบการณ์ทำงานเพิ่ม แทนที่จะเริ่มทำงานได้เลยทันทีหลังเรียนจบ   ดังนั้นรีบหาประสบการณ์ทำงานไว้ตั้งแต่ตอนเรียน วางแผนตั้งแต่เริ่มเข้าปี 1 เลยว่าอยากทำอะไร แล้วใช้เวลาช่วงปิดเทอมไปฝึกงานในที่ต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้รู้ว่างานแบบไหนที่เราชอบ เพื่อนของพี่หลายๆ คนพบว่าการไปฝึกงานแค่ตอนปี 3 นั้นไม่เพียงพอ เพราะไปเจองานที่ไม่ชอบแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องเสี่ยงดวงใหม่หลังจากเรียนจบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจองานที่ชอบอยู่ดี แล้วเราจะปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามดวงชะตา หรือจะเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเราเองดีล่ะ   การฝึกงานต่างๆ นี้ นอกจากช่วยให้เราได้สัมผัสการทำงานจริง รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร ได้ Connection คนในวงการ ยังช่วยให้เรามีประสบการณ์มากรอกใน Resume ทำให้เราเหนือกว่าเด็กจบใหม่คนอื่นๆ ด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พี่อยากจะแนะนำให้น้องๆ ที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยทุกๆ คน จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังแบบพี่ว่าทำไมเราถึงไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนเรียน อีกคำถามหนึ่งก็คือ ฝึกงานตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศได้ไหม และฝึกงานอะไร ถึงจะได้ประสบการณ์การทำงาน ลองอ่าน เรื่อง งานอะไรบ้าง (ที่ไม่ใช่งานเสริ์ฟ)ที่ทำได้ตอนที่อยู่เมืองนอก แล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งต้อยติ่งว่ารู้งี้ทำอย่างงี้แต่แรกดีกว่า   http://www.hotcourses.in.th/study-abroad-info/
ข้อมูลศึกษาต่ออังกฤษ
  ข้อมูลศึกษาต่ออังกฤษ สหราชอาณาจักร หรือที่คนไทยเราเรียกติดปากว่าประเทศอังกฤษนั้น เป็นประเทสที่ประกอบไปด้วยดินแดน 4 ส่วน โดยมีสามส่วนตั้งอยู่บนเกาะเกรทบริเทน (Great Britain) ได้แก่ อังกฤษ (England), สกอตแลนด์ (Scotland) และ เวลส์ (Wales) อีกส่วนหนึ่งนั้น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ ไอร์แลนด์เรียกว่า ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland)   สภาพทางภูมิศาสตร์ของสหราชอาณาจักร อังกฤษ (England) เป็นส่วนที่มีพื้นที่กว้างไหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ศูนย์กลางด้านการศึกษา การค้า การเงิน การธนาคาร และ อุตสาหกรรมของโลก มีประชากรหนาแน่นมากกว่า 51 ล้านคน ลำพังในมหานครลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร ก็มีประชากรมากกว่า 7 ล้านคน  นอกจากนี้ยังมีเมืองใหญ่ๆ อีกหลายแห่งกระจัดกระจายอยู่ในภูทิภาคอื่นๆ อาที เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ และ นิวคาสเซิล ที่มีประชากรอยู่หนาแน่นคึกคัก สก็อตแลนด์ (Scotland) เป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจากอังกฤษ มีสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบสูงที่สิ่งแวดล้อมสวยงาม อีกทั้งยังมืเมืองใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญต่อภูมิภาคยุโรป อาทิ เมือง Edinburgh เมืองหลวงของสก็อตแลนด์ที่เป็นศูนย์กลางด้านการเงินแห่งหนึ่งของยุโรป อีกทั้งยังมีเมืองใหญ่อื่นๆ ที่เราคุ้นหูกันดีอย่าง Glasgow และ Aberdeen สก็อตแลนด์ มีประชากรทั้งสิ้น 5.2 ล้านคน เวลส์ (Wales) เป็นดินแดนที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา ทะเลสาป และชายฝั่งทะเล อีกทั้งยังเงียบสงบเนื่องจากประชากรน้อยไม่แออัด คือประมาณ 3 ล้านคน แต่กระนั้นแล้ว รายได้หลักสำคัญของเวลส์ก็ยังมาจากภาคอุตสาหกรรม โดยมีเมืองคาร์ดิฟเป็นเมืองหลวง ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) เป็นพื้นที่เดียวของสหราชอาณาจักรที่อยู่นอกเกาะอังกฤษโดยตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะไอร์แลนด์ จำนวนประชากรก็ไม่มาก คือประมาณ 1.7 ล้านคน แต่ทั้งนี้ไม่ได้ทำให้ควาสำคัญของภูมิภมคนี้ต่อสหราชอาณาจักรด้อยไปกว่าภูมิภาคอื่นๆ เลย เนื่องจากเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและการเกษตรที่สำคัญ รวมถึงเป็นที่ตั้งของเมือง Belfast เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ ในอดีตไอร์แลนด์เหนืออาจเคยมีชื่อเสียงไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรง แต่ทุกวันนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกด้วยค่าครองชีพที่ต่ำ และทิวทัศน์ที่งดงาม จนมีโรงแรมเกิดใหม่มากมาย สภาพทางภูมิอากาศ อากาศของประเทศอังกฤษแตกต่างไปตามภูมิประเทศ มี 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ – เดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม ฤดูร้อน – เดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วง – เดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน ฤดูหนาว – เดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ผลิ (Spring)  เป็นฤดูแห่งความสดใสเนื่องจากอากาศอุ่นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15 – 20 องศาเซลเซียส ต้นไม้ออกดอกออกใบสวยงาม ฤดูร้อน (Summer) เป็นช่วงเวลาแห่งการออกตากอากาศ อากาศอบอุ่นถึงอบอ้าวในบางครั้ง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส ผู้คนนิยมเดินทางไปตากอากาศในช่วงนี้ ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ใบไม้ที่ผ่านอากาศร้อนมาตลอดสามเดือนจะเริ่มเปลี่ยนสีในฤดูนี้เปลี่ยนภูมิทัศน์ให้สวยแปลกตา จนใบไม้ค่อยๆ ร่วงโรยไป อุณหภูมิในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 15 – 25 องศาเซลเซียส ฤดูหนาว (Winter) อากาศหนาวเย็นสมชื่อ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังมีลมแรงและหิมะตกในบางพื้นที่อีกด้วย ดีที่มีวันหยุดในช่วงนี้เยอะ ครอบครัวจึงได้พบปะเจอกัน เกิดเป็นความอบอุ่นทางใจต้านอากาศภายนอก หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมประเทศอังกฤษไม่มีฤดูฝนเหมือนบ้านเราทั้งๆ ที่ก็เคยได้ยินว่าฝนตกบ่อย นั่นเป็นเพราะเกาะอังกฤษตั้งอยู่ในตำแหน่งแนวกระแสน้ำเย็นและน้ำอุ่นมาชนกันเกิดเป็นเมฆฝนจำนวนมากที่พัดเข้ามาที่เกาะอังกฤษจนทำให้ฝนตกบ่อยแทบทุกฤดู   ระบบการศึกษาในประเทศอังกฤษ ระบบการศึกษาของประเทศอังกฤษแตกต่างจากประเทศไทยหลายอย่าง เริ่มต้นจากการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่รวมแล้วมีเพียง 11 ระดับชั้นปี หลังจากเรียนจบแล้วนักเรียนจะต้องทำการสอบข้อสอบที่เรียกว่า GCSE (General Certificate of Secondary Education)โดยเลือกสอบ 8-12 วิชาเพื่อนำผลคะแนนไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นต่อไป เส้นทางหลังจากการสอบ GCSE นักเรียนสามารถเลือกที่จะศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษา หรือ เรียนต่ออีกสองปีเพื่อสอบ A Levels และนำผลคะแนนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาต่อไป   การศึกษาระดับอาชีวศึกษา เป็นการศึกษาเพื่อนำไปประกอบอาชีพโดยตรง เรียนจบแล้วจะได้รับประกาศนียบัตรที่มีระดับแตกต่างกัน 3 ระดับได้แก่ FC/FD (First Certificate/Diploma) เป็นหลักสูตรเพื่อใช้ทำงานเท่านั้นใช้เวลาเรียน 1 ปี NC/ND (National Certificate/Diploma) เป็นหลักสูตรระดับสูงที่ใช้เวลาเรียน 2 ปี แต่ระดับชั้นที่น่าสนใจสำกรับการศึกษาในระดับอาชีวะของประเทศอังกฤษคือ Higher National Certificate/Diploma ซึ่งนับเป็นระดับอุดมศึกษา เทียบเท่าอนุปริญญาของประเทศไทย ใช้เวลาเรียน 2 ปี และสามารถนำผลคะแนนไปใช้สมัครเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นปีที่ 2 ปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยได้ทันที การศึกษาระดับปริญญาตรี หลังจากที่นักเรียนผ่านการสอบ A Level ก็สามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยได้ โดยการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่อังกฤษใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปีเท่านั้น แต่สำหรับนักเรียนไทยหรือชาติอื่นๆที่เรียนในระบบการศึกษาแบบที่เรียนประถมบวกมัธยมเป็นเวลา 12 ปี จะไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่อังกฤษได้ทันที จำเป็นต้องเรียน A Level เพิ่ม สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยบางแห่งจึงจัดให้มีหลักสูตรพิเศษที่เรียกว่า Foundation Program ที่ใช้เวลาเรียนเพียง 1 ปีขึ้นสำหรับนักศึกษาต่างชาติ รวมแล้วก็ใช้เวลา 4 ปีในการเรียนปริญญาตรีเหมือนในประเทศไทย   การศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาที่ประเทศอังกฤษเริ่มต้นจากหลักสูตร Graduate Diploma หรืออนุปริญญาโท เป็นหลักสูตรสำหรับนักศึกษาที่ต้องการเปลี่ยนสายการเรียน เช่นเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วในระดับปริญญาตรี แต่อยากเรียนต่อกฎหมายในระดับปริญญาโท หรือ สำหรับนักเรียนที่ผลการเรียนในระดับปริญญาตรีไม่ดีมากก็จำเป็นต้องเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ โดยใช้รเวลาเรียน 9-12 เดือน สำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับปริญญาตรีอยู่ในเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยตั้งไว้ สามารถสมัครเพื่อเข้าเรียนในระดับปริญญาโทได้เลย การเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษเป็นระบบ Taught Course หรือระบบเข้าเรียนในห้องเรียน ใช้เวลาเรียนเพียง 1 ปีเท่านั้น ทำให้การศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในประเทศอังกฤษได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าในประเทศอื่นๆ เว้นแต่บางวิชาในบางมหาวิทยาลัยที่อาจใช้เวลาปีครึ่งถึงสองปี การศึกษาในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษเป็นระบบ Research หรือการวิจัย นักศึกษาต้องใช้เวลาในการศึกษาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ตามแบบแผนทางวิชาการใช้เวลาเรียน 3-4 ปี   การเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ จะมีวิธีการเรียนภาษาอังกฤษอะไรที่ได้ผลดีไปกว่าการเรียนที่ประเทศเจ้าของภาษา การเรียนภาษาอังกฤษแยกเป็นสองประเภทคือ ภาษาอังกฤษทั่วไป (General English/GE) เป็นการเรียนภาษาเพื่อใช้สื่อสาร ผู้เรียนสามารถเลือกระยะเวลาเรียนและจำนวนชั่วโมงในการเรียนต่อสัปดาห์ได้ตามต้องการ การเรียนภาษาอีกประเภทคือการเรียนภาษาเพื่อเข้าเรียนต่อ หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อการเรียนปรับภาษา การเรียนแบบนี้เป็นการเรียนสำหรับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาแต่ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษยังไม่ถึงเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยตั้งไว้ จึงต้องเรียนปรับภาษาเพื่อเข้าเรียนต่อหลังจบหลักสูตร หลักสูตรการเรียนปรับภาษานี้นอกจากจะสอนภาษาอังกฤษในแง่การสื่อสารแล้ว ยังเน้นภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ เตรียมนักศึกษาให้พร้อมกับการเข้าเรียนต่อ สำหรับระยะเวลาการเรียนขึ้นอยู่กับผลการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของนักศึกษาแต่ละคน   แฮมมิลตัน อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ชำนาญการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยเฉพราะในประเทศอังกฤษ อเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย พร้อมแนะแนวการศึกษาด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์ศึกษาต่อในต่างประเทศที่ให้คำปรึกษาอย่างเป็นกันเอง ทั้งนี้ แฮมมิลตันฯ ดำเนินการสมัครโดยไม่มีค่าดำเนินการ http://www.hamiltoninter.com
เรียนสิงคโปร์ ค่าครองชีพเป็นอย่างไร
 เรียนสิงคโปร์ : ค่าครองชีพเป็นอย่างไร?         ถึงแม้ว่าค่าครองชีพในสิงคโปร์นั้น แทบจะสูงที่สุดในเอเชีย แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศในโลกตะวันตก ปรากฏว่าค่าครองชีพของสิงคโปร์นั้นค่อนข้างต่ำ, ส่วนอาหารและเสื้อผ้าก็ขายอยู่ในราคาที่สมเหตุสมผล       ค่าใช้จ่ายที่หนักหนาที่สุดก็คือค่าเล่าเรียน ตามมาด้วยค่าที่พักและค่าอาหาร  โดยนักเรียนต่างชาติที่มาเรียนต่อในสิงคโปร์นั้น มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 750 เหรียญถึง 2,000 เหรียญต่อเดือน  ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับไลฟสไตล์และหลักสูตรที่เลือกเรียน       ค่าอาหารต่อมื้อหนึ่งในโรงอาหารนั้นมีราคาอยู่ที่ประมาณ 225 เหรียญถึง400 เหรียญ ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้น ตกอยู่ที่ 100 – 150 เหรียญ (เฉพาะการเดินทางสาธารณะเท่านั้น) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ • อาหารกลางวัน ประมาณ 90-150 เหรียญต่อเดือน (ตกอยู่ที่ประมาณ 3-5 เหรียญต่อวันต่อมื้อ) • ค่าโทรศัพท์ ประมาณ 30 เหรียญ (ขึ้นอยู่กับการใช้และโปรโมชั่นที่เลือก) • ค่าหนังสือและอุปกรณ์ ประมาณ 30-70 เหรียญ (ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่เรียน) • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ประมาณ 50-100 เหรียญ (แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง, ค่าตัดผม และอื่นๆ) ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง       การชอปปิ้งนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของประเทศนี้ จึงทำให้ที่นี่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และร้านขายเสื้อผ้าตั้งอยู่ตลอดสองข้างทางของ Orchard Road  แต่สถานที่เหล่านี้ก็ขายสินค้าที่ราคาสูงเกินกว่างบประมาณที่เด็กนักเรียนจะแบกรับไหว       ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาจับจ่ายซื้อของจากตลาดนัดต่างๆแทน เช่น The Lime Flea market ที่มีทุกๆวันเสาร์  โดยตลาดนัดนี้จะขายเสื้อผ้าแนววินเทจและเครื่องประดับทำเองมากมาย เป็นต้น ซึ่งนอกจากราคาจะไม่แพงมากแล้ว ยังสามารถที่จะต่อรองราคากับคนขายได้อีกด้วย       นอกจากนี้ การไปดูหนังก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมของคนที่นี่ จึงทำให้ราคาของตั๋วหนังมีราคาไม่แพงจนเกินไป คือ อยู่ที่ประมาณ 10 เหรียญ  โดยภาพยนตร์ที่ฉายในประเทศนี้มักจะเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่ก็มีภาพยนตร์ประเภทอื่นๆเช่นกัน เช่น จีน, ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เช่นกัน โดยมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ
มาเลเซียและสิงคโปร์ติด Top ใน Times Higher Education Asia
 มาเลเซียและสิงคโปร์ติด Top ใน Times Higher Education Asia นิตยสาร Times Higher Education ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชีย The National University of Singapore (NUS) ติดอันดับในการจัดอันดับครั้งนี้ ด้วยคะแนนสูงถึง 77.5 คะแนน  ได้อันดับที่2 ซึ่งต่างจาก University of Tokyo ที่ได้อันดับ1 ด้วยคะแนน 78.3 เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมี Nanyang Technological University ของสิงคโปร์ที่ติดอันดับด้วยคะแนน 59.4 The Universiti Kebangsaan Malaysia ก็ติดอยู่ในรายการในอันดับที่ 87 ทั้งนี้เกณฑ์ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ได้ใช้เกณฑ์เดียวกันกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก หลังจากนิตยสารได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชียในครั้งนี้ Phil Baty บรรณาธิการนิตยสาร Times Higher Education ได้แสดงความเห็นว่าเอเชียเป็นทวีปที่น่าจับตามองมากที่สุด ในด้านการศึกษาขั้นสูง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดอันดับ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูล ความแตกต่าง และบริบทอื่นๆประกอบการตัดสินใจ จากการจัดอันดับในครั้งนี้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีของระบบการศึกษาในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 15 ประเทศที่ติดอันดับ The National University of Singapore (NUS) และมหาวิทยาลัยอื่นๆที่ถูกจัดอันดับ จะได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมมากขึ้นจากนักศึกษาในปี 2014 อย่างแน่นอน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การศึกษาต่อที่ประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศมาเลเซีย ได้ที่นี่
ค่าใช้จ่ายเมื่ออยู่เนเธอร์แลนด์
 ค่าใช้จ่ายเมื่ออยู่เนเธอร์แลนด์       ด้วยความที่ตั้งอยู่ใจกลางยุโรปทำให้เนเธอร์แลนด์เต็มไปด้วยความหลากหลายของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาหารและความบันเทิง  จึงไม่แปลกที่ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมของนักเรียนต่างชาติ  อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ในเนเธอร์แลนด์นั้นค่อนข้างแพง โดยเฉลี่ยแล้วนักเรียนที่เรียนและอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 ปีจะใช้เงินประมาณ 800 ยูโรถึง 1,100 ยูโรต่อเดือน  ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องบ้าน, อาหาร และอื่นๆอีกมาก ที่พัก       เนเธอร์แลนด์ไม่ได้ประเพณีว่าจะต้องมีที่พักตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัย จึงทำให้มหาวิทยาลัยส่วนมากตั้งอยู่ใจกลางเมือง และนักเรียนก็อาศัยอยู่ในบ้านพักใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยแทน       ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเมืองที่คุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเช่า, ค่าน้ำค่าไฟ , ค่าอินเตอร์เนต รวมถึงค่าการจัดการต่างๆที่สถาบันการศึกษาคิดจากเรา ยกตัวอย่างเช่น บ้านพักในกรุงอัมสเตอร์ดัม ก็จะแพงกว่าเมืองเล็กๆเมืองอื่น       ค่าเช่าห้องในเนเธอร์แลนด์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300 ยูโรถึง 600 ยูโร ต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับนักเรียน  ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลือกเช่าห้องสักห้อง ควรจะมีการตรวจสอบค่าใช้จ่ายอื่นด้วยว่ามีการรวมอยู่ในค่าเช่าห้องแล้วหรือยัง  เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งแก๊ส, ไฟฟ้า, ทีวีและอินเตอร์เนต เพราะอาจจะมีการจ่ายแยกก็เป็นได้       นอกจากนี้อย่าลืมที่จะถามด้วยว่าห้องนั้นมีเฟอร์นิเจอร์ให้แล้วหรือไม่  เพราะราคาของห้องมักจะขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วย  ดังนั้นถ้าคุณมีงบประมาณที่จำกัดก็ควรที่จะเลือกห้องที่มีเตียงและโต๊ะทำงานก็พอแล้ว อาหารการกิน       อาหารที่เนเธอร์แลนด์อาจจะกลายเป็นของแพงได้ โดยสามารถแพงกว่ารายได้ถึงสามเท่า (200 ยูโรต่อเดือน!) จึงทำให้สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ขายอาหารในราคาที่สมเหตุสมผล  และหลายเมืองก็มีการเปิดร้านอาหารเล็กๆที่คุณสามารถทานอาหารดีในราคาย่อมเยาได้   นอกจากนี้การกินอาหารพร้อมเพื่อนที่บ้านก็ยังเป็นวิธีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย       สถานที่หลายแห่ง เช่น บาร์, ร้านอาหาร, พิพิธภัณฑ์, โรงภาพยนตร์และร้านเล็กๆก็มีการช่วยเหลือนักเรียนด้วยการให้ส่วนลดอีกด้วย  โดยพวกเขาจะขอเรียกดูบัตรนักเรียนเพื่อใช้ในการลดราคาอาหาร  นอกจากนี้การสมัคร International Student Identity Card (ISIC) ก็ยังเป็นความคิดที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย เพราะบัตรนี้จะมีส่วนลดอื่นๆที่น่าสนใจให้กับนักเรียนอีกมาก ค่าใช้จ่ายอื่นๆ       นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักเรียน เช่น หนังสือเรียน, การท่องเที่ยว, การพักผ่อนในวันหยุด และอื่นๆอีกมาก       คุณควรจะสมัครทำประกันสุขภาพในระหว่างที่อยู่ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งราคาในแต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันออกไป คุณจึงควรจะสอบถามไปยังสถาบันการศึกษาต้นสังกัดของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อขอคำปรึกษา      ราคาค่าโดยสารรถประจำทางและรถไฟในประเทศนี้ก็ค่อนข้างมีราคาแพงด้วยเช่นกัน  ดังนั้นคุณควรจะมีการซื้อบัตรส่วนลดค่าโดยสารทุกเดือน เพราะมันสามารถช่วยคุณลดราคาค่าโดยสารลงได้ถึง 40%       นอกจากนี้ ถ้าคุณอยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ก็ลองซื้อจักรยานมาขี่ดู เพราะมันมีราคาเพียงแค่ 50 ยูโรเท่านั้น อีกทั้งประเทศนี้ก็ยังเป็นประเทศที่มีการส่งเสริมการขี่จักรยาน  จึงทำให้การขี่จักรยานของคุณปลอดภัย ไร้อันตราย http://www.hotcourses.in.th
สอบIELTS กับบริติชเคานซิล ดีอย่างไร
  สอบIELTS กับบริติชเคานซิล ดีอย่างไร   IELTS เปรียบเสมือนเครื่องการันตีความสามารถทางภาษาอังกฤษที่มีมาตรฐานสูงและได้รับการยอมรับจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งเป็นดั่งใบเบิกทางสู่ความสำเร็จในอนาคต ถ้าพูดถึงการเรียนต่อหรือการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานแล้ว ปัจจุบันมีมากกว่า 8,000 องค์กรทั่วโลกที่ใช้ IELTS ในการเลือกรับบุคลากรเข้าศึกษา หรือทำงาน ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษาขั้นสูงในนานาประเทศอาทิ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ รวมทั้งประเทศไทย เพราะว่า สามารถวัดผลทักษะทางภาษาอังกฤษของผู้เข้าทดสอบได้ครอบคลุมทุกทักษะที่จำเป็นสำหรับการสื่อสาร จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดปีที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจเข้าสอบ IELTS มากถึง 2 ล้านคน ทำไมจึงต้องสอบ IELTS กับ บริติช เคานซิล บริติช เคานซิล มีประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษ รวมทั้งการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษมามากกว่า 75 ปี ในประเทศไทย และมีศูนย์สอบ 4 แห่งทั่วประเทศ แต่ละปีบริติช เคานซิล คือผู้ช่วยให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ทำงานมากกว่า 12,000 คนได้รับผลทดสอบคุณสมบัติทางภาษาอังกฤษ เพื่อให้พวกเขาได้นำไปสร้างโอกาสให้แก่อนาคตของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ ด้วยประสบการณ์การจัดสอบมานานหลายทศวรรษ คุณจึงมั่นใจได้ว่า คุณจะได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อสอบ IELTS กับ บริติช เคานซิล นี่คือเหตุผลดีๆจาก บริติช เคานซิล เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าทำไมต้องสอบ IELTS ที่นี่ จองวันสอบได้ง่าย: คุณสามารถจองสอบ IELTS ได้หลากหลายช่องทางทั้งทางออนไลน์ ที่สาขา หรือจองกับพาร์ทเนอร์ของบริติช เคานซิล ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังรับชำระค่าสอบได้หลายแบบ การลงทะเบียนสอบ IELTS จึงทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตามความสะดวกของคุณ   ประหยัดกว่าเมื่อสมัคสอบออนไลน์: จ่ายเพียง 6,000 บาทจาก ราคาเต็ม  6,300 บาทเมื่อลงทะเบียนสอบออนไลน์ สะดวกสบายกับวันสอบที่มีให้เลือกมากมาย และศูนย์สอบใกล้บ้าน: บริติช เคานซิล จัดสอบหลายครั้งต่อเดือนในศูนย์สอบทั้ง 4 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และขอนแก่น คุณจึงมีตัวเลือกหลายหลายทั้งสถานที่ และวันที่ที่สะดวกสอบ สถานที่สอบใจกลางเมือง: บริติช เคานซิล จัดสอบ IELTS ในโรงแรมห้าดาวใจกลางเมือง เพื่อให้คุณเดินทางไปสอบได้สะดวกทั้งโดยรถยนต์ และโดยขนส่งมวลชน  หูฟังคุณภาพเยี่ยม เพื่อการสอบฟัง: ที่เดียวที่บริติช เคานซิล เท่านั้น ที่ผู้สอบจะได้ใช้หูฟังคุณภาพดีเพื่อใช้ในการสอบฟัง เพราะเราอยากให้คุณได้ผลคะแนนที่ดีที่สุด สอบเสร็จในวันเดียว และสถานที่เดียว: เราจัดให้ทุกขั้นตอนการสอบอยู่ในสถานที่เดียว และภายในวันเดียวกัน คุณจึงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปมาหลายที่ เพื่อทำการสอบให้เสร็จสิ้นในทุกส่วน เจ้าหน้าที่สอบมืออาชีพ: เราเชื่อว่าบุคลากรของเราเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดำเนินการสอบให้คุณไร้กังวล เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบและอาจารย์ผู้สอบได้รับการอบรมมาอย่างดีให้การสอบเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อให้ผู้สอบได้ใช้โอกาสทำการสอบอย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ของเราทุกคนยึดแบบปฏิบัติตามคุณค่าที่บริติช เคานซิลยึดถือ นั่นคือ ความรับผิดชอบ ความเป็นมืออาชีพ และให้เกียรติแก่ทุกคน ผลสอบรวดเร็ว: เราการันตีว่าผลสอบจะถึงมือคุณภายใน 13 วันนับจากวันที่คุณเข้าสอบ ฟรี แบบฝึกหัดออนไลน์ : Road to IELTS เป็นแบบฝึกหัดจากบริติช เคานซิลที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับเตรียมตัวสอบ IELTS ผู้เข้าสอบที่สมัครสอบเรียบร้อยแล้ว จะสามารถเข้าใช้แบบฝึกหัดดังกล่าวได้ฟรี 30 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุมการเตรียมตัวสอบทุกด้าน รวมถึงแบบฝึกที่บรรจุทุกแง่มุมการสอบ IELTS ในทั้ง 4 ทักษะ http://www.hotcourses.in.th
จัดกระเป๋าไปเรียนต่อออสเตรเลีย
  จัดกระเป๋าไปเรียนต่อออสเตรเลีย   ใครกำลังจะไปเรียนต่อคงจะตื่นเต้นไม่น้อย การจัดกระเป๋าเป็นอีกด่านหนึ่งที่อาจน่าเบื่อหน่ายแต่ก็ท้าทาย  ขอบอกว่ามันไม่เหมือนการจัดกระเป๋าทั่วๆไป เพราะต้องคำนึงถึงเรื่องเช่น วันแรกที่ไปถึง อาทิตย์แรกที่ไปถึง ลักษณะของการเดินทาง อาจจะยากและเหมือนไม่มีวันจบสิ้นหากไม่รู้เคล็ดลับ เราเลยนำวิธีเลือกของใส่กระเป๋ามาให้อ่านกัน สิ่งที่ควรคิดถึงก่อนเก็บกระเป๋า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างวันแรก : วันแรกจะต้องทำอะไรบ้าง ไปที่ไหนบ้าง จะเกิดอะไรขึ้นบ้างอาทิตย์แรก : เรื่องที่ต้องทำในอาทิตย์แรก เช่นไปพักโรงแรมก่อนเข้าหอพักจริง เราอาจจะแพคของเซทเล็กลงกระเป๋าเล็ก และเมื่อย้ายเข้าหอจริงแล้วจึงแกะกระเป๋าใหญ่ อยากรู้เพิ่มเรื่องที่พักนักเรียน การเดินทางของเราเป็นยังไง : เครื่องบิน ต่อ รถบัส หรือ แท็กซี่ มีระบบขนส่งอะไรบ้างที่เราจะไปซื้อตั๋วเอาเมื่อไปถึง ให้ลองเชคให้ดีๆ บางที่เป็นวันหยุด รถเมล์ไม่เดิน เราใช้ทางอื่นแทนได้ไหม เงิน : เงินท้องถิ่นควรมีติดตัวไป   หนังสือเดินทางและเอกสารสำคัญ : ทำซีรอกไว้และเก็บสำเนาแยกไว้ในกระเป๋าแต่ละใบ (เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม) สิ่งที่ควรเก็บใส่กระเป๋า เงิน ท้องถิ่นของออสเตรเลีย เมื่อไปถึงและต้องการเปิดบัญชีกับธนาคารออสเตรเลีย อาจต้องใช้เวลาในการทำเรื่อง ดังนั้นให้เตรียมแลกเงินจากไทยไปใช้ในช่วงอาทิตย์แรก โดยแจ้งธนาคารของเราว่าเราต้องการจะเดินทางเมื่อไหร่ เพราะบางทีการแลกเงินจำนวนมากธนาคารมีไม่พอและอาจใช้เวลาต้องเตรียมเงินท้องถิ่นให้เรา 3-4 วัน อย่ารอถึงวันสุดท้ายค่อยแลก เสื้อ ผ้าที่เหมาะสม หลักสูตรส่วนใหญ่ในออสเตรเลียเริ่มต้นในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งจะถูกเรียกว่าเปิดเทอมฤดูร้อน ในช่วงนี้อากาศจะค่อนข้างร้อน ดังนั้นอาจจะนำเสื้อผ้าที่ไม่หนามากไปในช่วงแรก ออสเตรเลียเป็นประเทศหมู่เกาะ มีทะเลและชายหาดล้อมรอบ จะเตรียมชุดว่ายน้ำไปด้วยก็ไม่เสียหาย จะได้เข้าถึงวิถีชีวิตแบบออสซี่มากยิ่งขึ้น อย่าลืมวางแผนเที่ยวซัก 5 ที่เด็ดๆ ก่อนเปิดเทอมก็ดี ถ้าอยู่ที่ซิดนีย์ก็ลองวางแผนที่ยวในเมืองดู อุปกรณ์ เทคโนโลยี หนังสือ กระดาษ เครื่องเขียน สามารถหาซื้อได้ไม่ยากในออสเตรเลีย แต่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่มีข้อมูลมากมายอยู่ในนั้นเป็นสิ่งที่ซื้อใหม่ไม่ได้ และคิดถึงความวุ่นวายในอาทิตย์แรกที่อาจเกิดขึ้น แนะนำให้พกโน้ตบุคส่วนตัวของเราขึ้นเครื่องไปด้วยจะได้ไม่สูญหายหรือเสียหายระหว่างเดินทาง เอกสาร ตรวจคนเข้าเมือง ระบบตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลียก็เหมือนกับหลายๆ ประเทศ คือมีประสิทธิภาพมากๆ และจะไม่ยอมให้คนที่ไม่มีเอกสารเข้าประเทศแน่ๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรามีพาสปอร์ต วีซ่า จดหมายรับรองการเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัย และรายละเอียดเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่าย ขณะที่เรากำลังผ่านการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน เตรียมเอกสารเหล่านี้ติดตัวไว้ตลอดเวลาจะได้ไม่ลืม ส่วนเคล็ดลับที่ให้ซีรอกและเก็บสำเนาไว้ในกระเป๋าแต่ละใบก็เพราะ เผื่อเกิดเหตูการณ์ไม่ค่าฝันเช่น กระเป๋าหาย มีคนหยิบกระเป๋าผิด กดล๊อคผิดเปิดกระเป๋าไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีสำเนายืนยันได้ว่าเราเป็นนักเรียน และมาเรียนอย่างถูกต้อง ยิ่งถ้าเดินทางคนเดียวยิ่งแนะนำ เพราะถึงเวลานั้น ใครก็ช่วยเราไม่ได้ สิ่งที่ไม่ต้องเอาไปด้วย อุปกรณ์ ทำอาหารและของใช้ส่วนตัว ถ้าเราอาศัยอยู่กับคนอื่น หรือแม้แต่อยู่คนเดียวก็เถอะ อุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องครัวต่างๆ เราสามารถหาซื้อไดในราคาไม่แพงเลย และหากอยู่กับคนอื่น ก็เป็นไปได้ว่าทุกคนจะมีเครื่องครัวของตัวเองอยู่แล้ว พื้นที่ก็มีจำกัด ดังนั้นลองดูในที่พักของเราก่อนก็ได้ว่าอะไรที่ใช้ร่วมกันได้ และอะไรที่เราต้องซื้อเพิ่ม ทำ แบบนี้นอกจากจะประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าเดินทางแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในระยะยาวด้วย ลองหาซื้อเครื่องใช้ในครัวราคาไม่แพงสำหรับตัวเองดูเพราะของที่แชร์กับคน อื่นอาจมีรอยขีดข่วนหรือพังได้ เสื้อ ผ้าทั้งหลายแหล่ มาถึงออสเตรเลียแล้ว อาจไม่ได้ใส่อะไรที่เตรียมมา เพราะมันอาจจะไม่เข้ากับวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตของคนที่นี่ ลองอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับวัฒนธรรมออสเตรเลียดู จะได้รู้ว่าต้องเตรียมอะไรไป ผ้าพันคอกับถุงมือทิ้งไว้ที่บ้านได้เลย! กรอบ รูปและอัลบั้มรูป พกไปแค่รูปแล้วไปหาซื้อกรอบหรืออัลบั้มในออสเตรเลียก็ได้ เพราะนอกจากของพวกนี้จะหนักแล้วยังเปลืองพื้นที่ในกระเป๋าอีกด้วย หาแฟ้มหรือซองจดหมายใส่รูปไปจะง่ายกว่า และรูปยังช่วยทำให้เราคิดถึงบ้านน้อยลงอีกด้วย ดรายเป่าผม ไม่ต้องเอาไป สุดยอดเคล็ดลับ ตรวจ สอบให้ดีว่าสายการบินที่เราขึ้นอนุญาตให้เรานำสัมภาระติดตัวขึ้นเครื่องกี่ กิโล ?  แต่ละบริษัทจะมีข้อกำหนดแตกต่างกันและเราคงไม่อยากจะทิ้งอะไรก่อนขึ้น เครื่องที่สนามบิน เมื่อตอบรับข้อเสนอของทางมหาวิทยาลัยแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอาจจะส่งรายชื่อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเรียนมาให้ อาจจะรวมถึงหนังสือเรียนและของใช้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ซื้อในออสเตรเลียอาจจะถูกกว่า ปลั๊กไฟที่ออสเตรเลียเป็น แบบ 3 ขา(ไม่เหมือน 3 ขาไทยนะคะ) ถ้าจะนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปไทยไป ให้เอา Adapter ไปด้วย ซื้อได้ทั้งในไทยและออสเตรเลีย   มีแผนที่ติดมือไว้ไม่เสียหายจะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไปถึง แนะนำดาวโหลดแผนที่และหนังสือท่องเที่ยวเก็บไว้ในโทรศัพท์ก็ได หรือ ปริ๊นออกมาด้วยก็ดี เพราะว่าบางทีเดินทางไกลถึงปิดมือถือไว้แบทก็ถูกกินไปเยอะเหมือนกัน http://www.hotcourses.in.th
ศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หรือ ปริญญาโท - เอกที่อังกฤษ
 การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา หรือ ปริญญาโท - เอกที่อังกฤษ       ในสหราชอาณาจักร การเรียนระดับบัณฑิตศึกษา หมายถึง การเรียนระดับปริญญาโทและปริญญาเอก (PhD)  หรือหมายถึงการเรียนต่อในระดับสูงหลังจากที่เรียนจบระดับแรกมาแล้ว  โดยการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาในสหราชอาณาจักรนั้น  จะมีสาขาหลักๆอยู่ 4 สาขาด้วยกัน คือ 1.Pre-master's       Pre-master's คือหลักสูตรสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนปริญญาโทแต่ต้องการที่จะปรับปรุงทักษะทางด้านการเรียนไปด้วย อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ หรือต้องการการใช้ชีวิตในแบบนักเรียนอีกครั้ง   โดยหลักสูตรนี้จะใช้เวลาในการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี  โดยจะเรียนเกี่ยวกับทั้งทฤษฎี การปฏิบัติ การทำวิจัย ทักษะทางคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล  การสัมภาษณ์ การอ้างอิงข้อมูลและการเขียนเรียงความ (Essay) 2.Postgraduate certificates and diplomas       มีสาขาวิชามากมายที่อยู่ในการเรียนหลักสูตรนี้  ซึ่งจะใช้วิธีรับสมัครผู้เรียนที่มีคุณสมบัติหรือความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ   โดยการเรียนหลักสูตรนี้จะคล้ายกับการเรียน master's degrees  แต่ไม่จำเป็นต้องเขียนวิทยานิพนธ์  นอกจากนี้บางสาขาก็สามารถโอนย้ายไปยังหลักสูตร master's degrees  ได้ด้วย 3.Master's courses โดยมีวิธีการเรียนหลักสูตร Master's courses (ปริญญาโท) อยู่ 2 แบบ คือ Taught master's (MA, MSc, MBA)       หลักสูตรนี้จะสอนเกี่ยวกับวิธีเกี่ยวกับการสอน  รวมทั้งการทำวิจัยและการเขียนวิทยานิพนธ์ ที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาให้   โดยจะใช้เวลาเรียน 1 ปีแบบเต็มเวลา Research master's (MRes, MPhil)       โดยถ้าคุณเลือกในการเรียนหลักสูตรนี้  แทนที่คุณจะต้องเข้าเรียนในห้องเรียนและเข้าร่วมการสัมมนาต่างๆ คุณกลับจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำวิจัยมากกว่า   ถึงแม้บางวิชาจะให้คุณเรียนเกี่ยวกับวิธีการสอน  แต่ท้ายที่สุดคะแนนในช่วงสิ้นเทอมของคุณก็ขึ้นอยู่กับวิทยานิพนธ์ของคุณมากกว่า 4.Doctorate (PhD)        PhD คือการเรียนระดับปริญญาเอก ซึ่งต้องการสอนให้ผู้เรียนสามารถสร้างผลงานวิจัยของตัวเองออกมาและเขียนวิทยานิพนธ์ได้ภายใต้การให้คำแนะนำของผู้สอนหนึ่งถึงสองคน   ในขณะที่ PhD คือวิธีโดยทั่วไปให้การได้รับวิทยฐานะเป็นปริญญาเอก  แต่ professional doctorates และ New Route PhDs ก็กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น   โดยการเรียนในระดับนี้จะใช้เวลาระหว่าง 5-8 ปี   คุณสมบัติในการสมัคร ผ่านการเรียนในระดับปริญญาตรี       ในการเรียนระดับปริญญาโทนั้น  คุณจำเป็นต้องผ่านการเรียนในระดับปริญญาตรีมาก่อน (bachelor's degree) อย่างน้อย 3 ปี  ส่วนในการเรียนระดับปริญญาเอก คุณจะต้องผ่านการเรียนในระดับปริญญาโทมาก่อน อย่างเช่น master's degree หรือเทียบเท่า ผ่านการทดสอบต่างๆ       โดยทั่วไปการเรียนในระดับปริญญาตรีที่ผ่านมาของคุณ ใบสมัครรวมทั้งการสัมภาษณ์  จะเป็นตัวชี้อยู่แล้วว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณได้รับคัดเลือก   แต่มีเพียงข้อยกเว้นเดียวเท่านั้น คือ ในการเรียนหลักสูตร MBA  คุณจะต้องเข้ารับการสอบ GMAT ก่อนและต้องได้ผลคะแนนตามที่กำหนดไว้       นอกจากนี้ คุณจะต้องมีผลทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษด้วย คือ ผลคะแนน IELTS หรือการสอบอื่นๆที่ได้รับการรับรอง   ขั้นตอนการยื่นใบสมัคร       สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร จะมีวิธีและวันเวลาในการรับสมัครเป็นของตัวเอง  ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นในการเตรียมพร้อมใบสมัครของคุณก่อนวันเปิดเทอมล่วงหน้าประมาณ 12-18 เดือน เพื่อคุณจะได้มีเวลาในการหาข้อมูลของแต่ละสถาบันและเข้ารับการทดสอบต่างๆตามที่กำหนด  รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนการศึกษาและเงินทุนช่วยเหลือต่างๆด้วย         แต่ละสถาบันจะมีวันในการปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน  แต่ปกติแล้วจะอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด  ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าถ้าคุณจะยื่นใบสมัครให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การยื่นใบสมัคร จะประกอบด้วย ใบสมัคร สำเนาประกาศนียบัตร และ Transcripts Personal statement ที่คุณจะเขียนเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของคุณ ถ้าคุณเลือกเรียนในหลักสูตรการทำวิจัย  คุณจำเป็นต้องมีหัวข้อและร่างคร่าวๆของผลงานวิจัยของคุณ จดหมายรับรอง : เกี่ยวกับความสามารถและงานของคุณ  ส่วนใหญ่แล้วจะเขียนโดยอาจารย์หรือนายจ้างของคุณ บางมหาวิทยาลัยอาจจะขอดู financial statement เพื่อเป็นเป็นการรับประกันว่าคุณมีความสามารถทางการเงินเพียงพอที่จะเรียนในระดับนี้ บางมหาวิทยาลัย จะมีการสอบสัมภาษณ์นักเรียนทั่วโลก  โดยเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยจะโทรไปสัมภาษณ์คุณด้วยตัวเอง แต่ถ้าคุณสมัครผ่าน the Graduate Teacher Training Registry (GTTR)  หรือผ่าน UCAS คุณก็จะได้รับการยกเว้นกฎเกณฑ์ในข้างต้น   หลักสูตรออนไลน์       มีหลายหลักสูตรที่เป็นหลักสูตรออนไลน์ซึ่งคุณสามารถนั่งเรียนได้ที่ประเทศของคุณเอง  ซึ่งการเรียนให้จบหลักสูตรนั้น  คุณอาจจะต้องเดินทางไปออสเตรเลีย สิงคโปร์ อเมริกา หรือแม้แต่สหราชอาณาจักร หรือไม่ต้องไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการศึกษา  ดังนั้นควรตรวจสอบไปยังสถาบันการศึกษาที่คุณสนใจเพื่อมั่นใจว่าหลักสูตรนั้นๆเป็นการเรียนออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่       หลักสูตรนี้มีทั้งแบบเต็มเวลาและ Part-time  โดยทั้งสองหลักสูตรจะมีสื่อการเรียนการสอนผ่านอินเตอร์เนต คุณสามารถสื่อสารกับผู้สอนและนักกเรียนคนอื่นได้ผ่านทางจดหมาย, อีเมล์, การ Chat หรือแม้แต่การ video conferencing ร่วมกัน       คุณสามารถเข้าเรียนในหลักสูตรออนไลน์นี้ได้ในทุกหลักระดับการศึกษา ทั้ง undergraduate certificates, diplomas and degrees, postgraduate masters  และ MBA's and professional qualifications คุณสมบัติ       การสมัครในหลักสูตรออนไลน์นั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการศึกษา และแต่ละสาขาที่คุณเลือกที่จะเรียน  โดยคุณสมบัติต่างๆนั้น จะเป็นการวัดและสร้างความมั่นใจว่าเมื่อคุณเข้าเรียนในหลักสูตรแล้วคุณจะสามารถจัดการการเรียนของคุณให้สำเร็จได้    สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ต้องการนักเรียนที่มีภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดี  เพราะงานของคุณที่ถูกส่งมายังมหาวิทยาลัยจะเป็นตัวประเมินผลการเรียนของคุณ   อันดับของมหาวิทยาลัย        มีการจัดอันดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมากมาย ซึ่งแต่ละอันก็เป็นการวัดหรือประเมินผลที่แตกต่างกันออกไป ทั้งจากปัจจัยด้านงานวิจัย  ผลงานของนักเรียน  ผลสำรวจของผู้สอน  และความคิดเห็นของนักเรียนในปัจจุบัน เป็นต้น        อันดับของสถาบันการศึกษาต่างๆนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเลือกของนักเรียน  แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องระวังในการใช้ข้อมูลด้วย เพราะบางครั้งการจัดอันดับนั้นๆอาจเกิดจากการทำขึ้นมาเองหรือได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย   http://www.hotcourses.in.th/
1 2 3 4 5 6 7 8 9 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา