หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
อันดับมหาวิทยาลัย WORLD REPUTATION RANKINGS 2013 โดย TIMES
    อันดับมหาวิทยาลัย WORLD REPUTATION RANKINGS 2013  โดย  TIMES HIGHER EDUCATION       ล่าสุด นิตยสาร Times Higher Education  นิตยสารที่มีการจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการทำแบบสอบถามความเห็นด้านการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นดัชนีชี้วัดชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่สำคัญ   ได้ประกาศอันดับความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยประจำปี 2013 ออกมาแล้ว         โดยอันดับน่าเชื่อถือ จะตั้งอยู่บนคะแนนจากปัจจัยเรื่องความสำเร็จของมหาวิทยาลัย, ความเชี่ยวชาญของบุคลากรของมหาวิทยาลัย, การลงทุน, การวิจัย และความสามารถในการแข่งขันในตลาดการศึกษาโลก       อันดับในปีนี้ก็ยังคงเป็นการยืนยันถึงความยอดเยี่ยมของกลุ่มมหาวิทยาลัยจากอเมริกาและอังกฤษอีกครั้งว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความยอดเยี่ยมในระดับโลก หรือ เป็น “super-brands” เหนือกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆในโลก  โดยกลุ่มผู้นำยังคงประกอบไปด้วย Harvard University, the Massachusetts Institute of Technology, the University of Cambridge, the University of Oxford, the University of California, Berkeley และ Stanford University       ถึงแม้ว่าจะมีการสลับตำแหน่งบ้างในปีนี้ คือ  Oxford จะได้อันดับ 4 และ Stanford ได้อันดับ 6  แต่ในบรรดา 6 อันดับแรกก็ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยเดิมกับผลการสำรวจในปี 2011       โดยเมื่อพิจารณามหาวิทยาลัยจากอเมริกา จะพบว่าในปีนี้มีศักยภาพที่สูงกว่ามหาวิทยาลัยของประเทศอื่น โดยมีมหาวิทยาลัยถึง 43 แห่งที่ติดอันดับ Top100  แต่อย่างไรก็ดี ก็มีสัญญาณแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ช้าลง เพราะจำนวนมหาวิทยาลัยอเมริกาที่ติดอันดับ Top100 นั้นลดลงตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา       มาพิจารณามหาวิทยาลัยจากอังกฤษกันบ้าง  ก็พบว่ามีมหาวิทยาลัยติดอันดับ Top100 จำนวน 9 แห่ง  แต่ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในระดับสูง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีสัญญาณการชะลอตัวเช่นเดียวกับอเมริกา ที่จำนวนมหาวิทยาลัยมีการลดลงตั้งแต่ปี 2011       นอกจากนี้มหาวิทยาลัยของอังกฤษยังติดอันดับ Top50 มากถึง 7 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมของการศึกษาอังกฤษ โดย Cambridge อยู่ในอันดับ 3, Oxford ขยับขึ้นมา 2 อันดับอยู่ที่อันดับ 4, University College London ขยับขึ้นมา 1 อันดับอยู่ที่อันดับที่ 20, the LSE ขยับลง 4 อันดับไปอยู่ที่อันดับ 25  และ the University of Manchester ติด Top50 เป็นครั้งแรก โดยอยู่ที่อันดับ 47       สิ่งที่น่าสนใจในผลครั้งนี้ก็คือ มีมหาวิทยาลัยชื่อดังที่หลุดโผ Top100 ออกไปซึ่งก็คือ the University of Leeds  ซึ่งตาม University of Sheffield และ the London School of Hygiene and Tropical Medicine ที่หลุดโผออกไปตั้งแต่ปี 2012 ไปติดๆ       Phil Baty ผู้เขียนนิตยสาร Times Higher Education magazine ได้กล่าวถึงผลการจัดอันดับในครั้งนี้ว่า “นี่ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับอังกฤษ แต่ก็ส่งผลดีแต่เฉพาะกับมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา มีมหาวิทยาลัยของอังกฤษหลุด Top100 ไปถึง 3 แห่ง ซึ่งเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษนั้นจำเป็นต้องมีการปรับปรุง”       ส่วนมหาวิทยาลัยจากประเทศอื่นๆ ก็มีเรื่องที่ต้องจับตาเช่นกัน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยจากเอเชีย  เช่น The National University of Singapore ที่ไต่อันดับขึ้นมาจากอันดับที่ 27 มาอยู่ที่ 22 , Republic of Korea’s Seoul National University ที่ติดอันดับ Top50 เป็นครั้งแรก และ The University of Hong Kong ที่ขึ้นจากอันดับ 39 มาอยู่ที่ 36   สิ่งที่น่าสนใจ มีสถาบันที่ติดอันดับ Top100 จากประเทศทั้งหมด 20 ประเทศ มีสถาบันจาก 5 ประเทศเท่านั้นที่ติดอันดับ Top20 คือ อเมริกา, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, แคนาดาและสวิซเซอร์แลนด์ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มาจากอังกฤษและอเมริกาที่ได้อันดับสูงสุด คือ Japan’s University of Tokyo ได้อันดับ 9 สถาบันจากสวิสเซอร์แลนด์หลุดจาก Top100 ไปทั้งหมด 3 สถาบัน แต่ยังคงมีสถาบันที่ได้อันดับสูงอยู่ คือ ETH Zürich – Swiss Federal Institute of Technology ที่อยู่ในอันดับที่ 20 นอกจากนี้ ยังมีการผลการสรุปด้วยว่า ว่าประเทศใดมีมหาวิทยาลัยติดอันดับ Top100 มากที่สุด และมหาลัยแห่งใดที่ได้อันดับสูงสุดของประเทศ Country Number of top 100 institutions Top institution Top institution rank US 43 Harvard University 1 UK 9 University of Cambridge 3 Australia 6 University of Melbourne 39 Germany 5 Ludwig-Maximilians-Universität München 44 Japan 5 University of Tokyo 9 Netherlands 5 Delft University of Technology 51-60 France 4 Université Paris-Sorbonne 71-80 Canada 3 University of Toronto 16 Hong Kong 3 University of Hong Kong 36 Sweden 3 Karolinska Institute 61-70 Switzerland 2 ETH Zürich – Swiss Federal Institute of Technology, Zürich =20 Republic of Korea 2 Seoul National University 41 Singapore 2 National University of Singapore 22 China 2 Tsinghua University 35 Israel 1 Hebrew University of Jerusalem 71-80 Russian Federation 1 Lomonosov Moscow State University =50 Turkey 1 Middle East Technical University 51-60 Taiwan 1 National Taiwan University 51-60 Belgium 1 Katholieke Universiteit Leuven 71-80 Brazil 1 University of São Paulo 61-70 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อไปได้ที่ Matt de Leon หรือ Fran Langdon ที่เบอร์ +44(0) 20 7079 9222 / หรือส่งอีเมล์ไปที่ timeshighereducation@vancomms.com ---------------------------------------------------------------- ที่มา timeshighereducation.co.uk         http://www.hotcourses.in.th    
อังกฤษเริ่มลดความเข้มงวดในการทำวีซ่า post study work
  อังกฤษเริ่มลดความเข้มงวดในการทำวีซ่า post study work!       ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ค่อยๆเริ่มการผ่อนปรนกระบวนการคัดเลือกวีซ่าแบบ post study work สำหรับนักเรียนต่างชาติที่ศึกษาอยู่ในอังกฤษลง       โดยแต่เดิมที นักเรียนต่างชาติจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการทำงานในอังกฤษต่อหลังเรียนจบเป็นเวลา 2 ปี  แต่กฎนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว  และได้มีการประกาศกฎใหม่ขึ้นมาแทนที่  โดยกฎใหม่นี้ได้กำหนดให้งานต่างๆที่นักเรียนต่างชาติสามารถทำได้หลังเรียนจบนั้น จะต้องเป็นงานที่เกี่ยวข้องหรือตรงกับสาขาที่นักเรียนได้จบมา  และจะต้องทำงานในบริษัทที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลพร้อมกับมีฐานเงินเดือนตั้งต้นสูงกว่าเดิม       ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศกฎใหม่นี้ออกมาก ก็ส่งผลให้เกิดการต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยมากมายจากสถาบันการศึกษา และแพร่หลายออกไปในวงกว้าง  เพราะพวกเขาคิดว่าการออกกฎที่เข้มงวดเช่นนี้เป็นการทำให้นักเรียนต่างชาติไม่อยากมาเรียนที่อังกฤษ   คำประกาศเจตจำนง       หลังจากผ่านไปเกือบปีของการใช้กฎวีซ่าแบบใหม่ ในที่สุดรัฐบาลก็ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณในทางบวกผ่านการออก‘Statement of Intent' หรือ คำประกาศเจตจำนง โดยรายละเอียดในคำประกาศนี้ได้พูดถึงการลดความเข้มงวดของการขอรับวีซ่า  ซึ่งส่งผลให้นักเรียนต่างชาติที่มีความสามารถสูงสามารถทำงานในอังกฤษได้จนกว่าพวกเขาจะเรียนจบ แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่า 2 ปี       การเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุด ก็คือ การลดระดับของเงินเดือนตั้งต้น โดยเดิมทีได้มีการกำหนดไว้ที่ “25%” ของเงินเดือนนักเรียนทั้งหมด หมายความว่านักเรียนที่ขอวีซ่าในปีนั้นๆ จะต้องได้รับเงินเดือนตั้งต้นมากกว่า 25% ของลูกจ้างที่เป็นนักเรียนทั้งหมดที่ขอวีซ่าในปีนั้นๆ    ซึ่งรัฐบาลคิดว่าควรจะมีการลดลงจนเหลือเพียงแค่มากกว่า “10%” ก็เพียงพอ       โดยประกาศนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพราะมันจะเป็นการลดเงินเดือนตั้งต้นจาก 28,000 ปอนด์ (หรือมากกว่า) ให้ใกล้เคียงกับอัตราเงินเดือนมาตรฐานของอังกฤษ   การก้าวไปข้างหน้าและได้รับการยอมรับ       The National Union of Students (NUS) เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต่อต้านกฎวีซ่าแบบ post-study work อันนี้มาก โดย Daniel Stevens หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของกลุ่ม ได้ออกมากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ด้วยความพึงพอใจว่า        “แต่เดิมนักเรียนต่างชาติที่มีทักษะสูงจะถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเพราะฐานเงินเดือนของเขาที่สูงจนน่าขัน  แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ย่อมส่งผลดีต่อนักเรียนเหล่านี้”        ถึงแม้ว่าการประกาศในครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น  แต่เชื่อได้ว่ามันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในแง่ดี และอนาคตการศึกษาของอังกฤษก็จะกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้ง  ซึ่งฮอทคอร์สจะติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และนำข้อมูลมานำเสนอให้กับผู้อ่านได้รับทราบต่อไป ที่มา : foreignstudents.com
ประกาศเปลี่ยนกฎวีซ่านักเรียนอังกฤษแบบ Post study work
    ประกาศเปลี่ยนกฎวีซ่านักเรียนอังกฤษแบบ Post study work       เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Theresa May, the British Home Secretary ได้ประกาศกฎข้อบังคับวีซ่านักเรียนใหม่ออกมา  ซึ่งอาจจะทำให้นักเรียนที่เรียนอยู่ในอังกฤษและต้องการที่จะทำงานต่อหลังจากเรียนจบอาจเกิดความวิตกกังวลกับข่าวนี้ได้   วีซ่านักเรียนอังกฤษ Post study work       เพื่อทำให้ทุกคนมองเห็นภาพของวีซ่านักเรียนแบบ Post study work ได้ชัดเจนขึ้น นักเรียนจะต้องเข้าใจถึงลักษณะทั่วไปของวีซ่าประเภทนี้ก่อน คือ วีซ่านักเรียนแบบ Post study work จะอนุญาตให้นักเรียนทำงานในอังกฤษได้ 2 ปีหลังจากเรียนจบ การอยู่ต่อและทำงานที่อังกฤษได้ จะต้องมีงานทำหรือมีการจ้างงานจากนายจ้างก่อน  ซึ่งหมายความว่าบริษัทที่เป็นนายจ้างจะต้องมีการลงทะเบียนนักเรียนคนนั้นในฐานะลูกจ้างต่อรัฐบาลก่อน เพื่อนำเข้าระบบวีซ่าแบบ Tier-2 งานที่ทำจะต้องเหมาะสมกับทักษะที่มี และจะต้องได้รับเงินเดือนเริ่มต้นอย่างน้อย 20,000 ปอนด์ต่อปี ระบบนี้เริ่มตั้งแต่เมษายน 2012 ดังนั้นนักเรียนที่จบการศึกษาในปีนี้ จึงยังไม่ได้รับผลกระทบ   ทำงานในระหว่างเรียน       ยังคงมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอยู่เกี่ยวกับการทำงานในระหว่างเป็นนักเรียน โดย นักเรียนต่างชาติที่เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จะสามารถทำงานได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในระหว่างช่วงเปิดภาคการศึกษา  ในขณะที่ในช่วงนอกภาคการศึกษาปกติ นักเรียนสามารถทำงานได้จำนวนชั่วโมงเท่ากับชั่วโมงเรียนเป็นอย่างน้อย  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าทำงาน 25 ชั่วโมง ก็ต้องมีชั่วโมงเรียน 25 ชั่วโมงเช่นกัน นักเรียนต่างชาติที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชน จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในระหว่างช่วงเปิดภาคการศึกษา การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีผลกระทบกับนักเรียนที่มาจากประเทศสหภาพยุโรป       อย่างไรก็ตาม  การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีผลอันใดเลย เพราะมันเพิ่งเป็นการประกาศให้รู้กันในอังกฤษเท่านั้น และอาจจะถูกยกเลิกก่อนที่จะได้มีการใช้จริงด้วยซ้ำ  นอกจากนี้ยังมีการคัดค้านอย่างรุนแรงจากผู้ที่มีอำนาจทางการศึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิด้วย  ดังนั้นแล้วเชื่อได้ว่าเราจะยังคงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์วีซ่า Post study work ต่อไปอีกเรื่อยๆในอนาคต ที่มา www.foreignstudents.com
10 ข้อดี ทำไมถึงต้องเรียนต่อแพทย์โปแลนด์
    AccreditedbyThai Medical Council of Thailand.                               (Since 10 January 2013 - 10 January 2018)                           The Path to Become a Doctor / Dentist                             (Register OSCE right after graduation with Polish Medical License)     UNIVERSITY     Location   TYPE Programs In  English   Title of Degree after graduation     Poznan University of Medical Sciences http://www.pums.ump.edu.pl/   Poznan, Poland   Public 4 M.D. 6 M.D. Medical Doctor 5 D.D.S Doctor of Dental Surgery   Medical University of Lublin http://www.umlub.pl/   Lublin, Poland   Public 4 M.D. 6 M.D. Medical Doctor 5 D.D.S Doctor of Dental Surgery   MedicalUniversityofSilesia http://smk.sum.edu.pl/   Katowice, Poland   Public 4 M.D. 6 M.D. Medical Doctor 5 D.D.S Doctor of Dental Surgery UNIVERSIDAD EUROPEA DE MADRID http://www.uem.es/ Madrid, Spain Private 5 D.D.S Doctor of Dental Surgery     10 Reason!!! Whychoose Medical University in Poland? 10 ข้อดี ทำไมถึงต้องเรียนต่อแพทย์โปแลนด์ 1.ได้รับรองโดยแพทยสภาไทย 2.ได้รับรองโดยแพทยสภาของยุโรป 3.สามารถฝึกงานทั่วทั้งในยุโรป,อเมริกา และ elective 2 เดือน ในเมืองไทยที่โรงพยาบาลในเครือของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4.ได้ใบประกอบวิชาชีพแพทย์ภายใต้การรับรองของยุโรป, เซาแอฟริกา และ จีน (6ปี) 5.สามารถกลับมาสอบใบประกอบวิชาชีพไทย step สุดท้าย เพียงถือใบประกอบวิชาชีพจากยุโรปกลับมา 6.ค่าเทอม และ ค่าครองชีพ ถูกกว่า ประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรป 7.ใช้หลักสูตรการสอนเช่นเดียวกับประเทศ สหรัฐอเมริกา มากกว่า 16 ปี 8.ระบบการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ 9.เครื่องมือแพทย์ ชั้นคลินิก ครบครัน ทันสมัย ได้รับการสนับสนุนโดย EU union  10.ได้รับโอกาส เรียนรู้ วัฒนธรรมยุโรป และ เดินทางท่องเที่ยว 27 ประเทศในโซนยุโรป   INTERVIEW DATE IN BANGKOK, THAILAND    24 March 2013 Medical university of Lublin, Poland (3rd round) 18-19 April 2013 Poznan university of Medical Sciences   FAQs about Graduate How much does a course cost? Euro 15,000/Year (Depend on each university. Please see medical university website) How long is each course? 5 Months/course (10 months/year) How do I register for my class? All registrations for current students are processed for program -Pre-med 2013/2014  -Oct 2013 Program -Feb 2014 Program   Requirement documents -Completed Lin's application form (please see the attachment)  -Completed Medical university application form/Depend which university student prefer -High school of diploma/University of diploma -Completed transcript of record -Photocopy of valid passport -Two letter of recommendation on school letterhead -Completed English language results IELTS 5.5  -Health certificate -Six recent passport photographs(3.5x4.5cm)   Lin’s International Consulting Co.,Ltd. 1  Fortune town Buidling 26floors Zone B3 Ratchadapisek Rd. Dindaeng, Bangkok 10400, Thailand http://www.liemg.com.tw/   ** Please Contact us for more details ** TEL : 02-641-1446, 085-071-8030, 084-693-9491,084-692-9787 Fax :  02-641-1995,  Email : paofmichael@yahoo.com, chichaya.y@gmail.com, diego755@gmail.com,pearl1782@liemg.com.tw
ออสเตรเลีย ปรับค่าธรรมเนียมวีซ่าหลายประเภท
ตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ราคาวีซ่าออสเตรเลียนั้นปรับขึ้นสูงมากกกกก!!    โดยการปรับขึ้นราคา มีวีซ่าทั้ง 4 ประเภทที่โดนปรับราคาไป ดังนี้ครับ วีซ่าทำงานชั่วคราว The ‘457’ temporary skilled worker Visa จากเดิมมีค่าธรรมเนียม 350 ดอลลาร์หรือประมาณ 10,500 บาท ปรับขึ้นเป็น 455 ดอลลาร์หรือ 13,650 บาท   วีซ่าท่องเที่ยวและทำงานในประเทศออสเตรเลีย 1 ปี โครงการ Work and Holiday ราคาเดิม 280 ดอลลาร์ประมาณ 8,400 บาท ปรับขึ้นเป็น 365 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,900 บาท     วีซ่าคู่ครอง Partner Visa ถ้ายื่นจากในประเทสออสเตรเลีย ราคาปรับขึ้นเป็น 3,975 ดอลลาร์หรือประมาณ 119,000 บาท แต่ถ้ายื่นจากนอกประเทศออสเตรเลีย เช่นยื่นในไทย จะเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 2,700 ดอลลาร์หรือ 81,000 บาท วีซ่าทำงานสำหรับผู้จบหลักสูตร 2 ปี เช่น หลักสูตรปริญญาโท วีซ่าชนิดนี้ปรับขึ้นโหดมาก โดยอัตราเดิมอยู่ที่ 315 ดอลลาร์หรือประมาณ 9,400 บาท ขยับขึ้นเกือบ 4 เท่าเป็น 1,250 ดอลลาร์หรือ 37,500 บาท     หลายคนที่อยากจะโกอินเตอร์ไปที่ประเทศออสเตรเลียก็คงคิดหนักขึ้นเลยนะครับงานนี้ ซึ่งก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายทุกคน   ที่มา: immi.gov.au
6 สิ่งต้องทำ ถ้าหากได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ
  www.wegointer.com 1.ฝึกภาษาอังกฤษไว้เยอะๆ 2.ต้องมีคะแนนภาษาอังกฤษ  คะแนนที่ว่านั้นก็คือ TOEFL หรือ IELTS 3.สอบวัดระดับภาษาอื่นๆ ที่จำเป็น 4.เตรียมเอกสารให้พร้อม  เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน - ใบแสดงผลการศึกษา หรือเรียกง่ายๆ ว่าทรานสคริปต์ คือใบที่จะบอกว่าเกรดแต่ละวิชาในแต่ละระดับชั้นที่ผ่านมา เราได้เท่าไหร่บ้าง หรือใบปพ.1 นั่นเอง - ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา คือใบที่ทางโรงเรียน จะรับรองว่า เรานี่แหละมีสภาพเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้จริงๆ หรือหากเพิ่งเรียนจบมา มันก็จะกลายเป็นใบที่รับรองว่าเราจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้จริงๆ นะ       เอกสารทั้ง 2 ใบนี้สำคัญมาก สามารถขอได้จากฝ่ายทะเบียนของโรงเรียน และควรขอเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ(ถ้าโรงเรียนสามารถทำให้ได้)     คำแนะนำคือ ให้ขอไว้ทีเดียวอย่างละ 5-6 ใบเลย เพราะบางทีเกิดอาการหลายใจ ทุนนั้นก็น่าสมัคร ทุนนี้ก็น่าสนใจ เราจะได้ไม่ต้องกลับไปขอใหม่บ่อยๆ เสียเวลาเปล่าๆ ให้ขอมาทีเดียวเยอะๆๆ เลยค่ะ ขอเป็นสิบใบเลยก็ได้ นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าบางทุนเปิดให้สมัครแค่ 2 สัปดาห์ แล้วดันตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี แย่เลย เพราะบางโรงเรียนก็ดำเนินการช้ามาก ใช้เวลาทีเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ ดังนั้นควรไปขอมาตุนไว้ล่วงหน้าเลย เอกสารที่เป็นของเราเอง - สูติบัตร หรือใบรับรองการเกิด หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพวกทุนการศึกษาถึงต้องขอใบนี้ด้วย?? คำตอบก็คือ เขาขอเพื่อไปดู "ความสัมพันธ์ระหว่างเราและบิดามารดา" ว่าพ่อแม่เราชื่อนี้จริงๆ มั้ย พ่อแม่เราสัญชาติไทยจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นสูติบัตรเป็นอีกใบที่ต้องใช้ หากของใครอยู่ในสภาพที่เน่ามาก สามารถไปขอคัดสำเนาสูติบัตรได้ที่สำนักงานเขต - ทะเบียนบ้าน ส่วนมากจะใช้หน้าที่มีชื่อเรานั่นเอง - หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต บางทุนกำหนดว่าผู้สมัครต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตไป ให้ดูด้วย เพื่อดูว่าเรามีสัญชาติไทยจริงๆ มั้ย แต่หากใครไม่มีพาสปอร์ตจริงๆ อาจจะใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแทนได้เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นภาษาอังกฤษกันหมดแล้วเนาะ 5.คิดให้ดีๆว่าอยากเรียนที่ไหน 6.ค้นหาทุนที่อยากได้   เรียบเรียงโดย editor bee ข้อมูลอ้างอิง dek-d.com
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน      ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักความร่วมมือเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ “ประชาคมอาเซียน”) เป็นเป้าหมายการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพื่อทำให้ประชาชนของประเทศสมาชิกมีการค้าขายระหว่างกันมากขึ้น มีการไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก และมีศักยภาพในการแข่งขันกับโลกภายนอกได้      การแข่งขันที่สูงในเวทีการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการรวมกลุ่มทางการค้าของประเทศต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป และเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันที่จัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2545 ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือระหว่างประเทศสมาชิกโดยเสรี ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน ลดช่องว่างของระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิกอาเซียน และส่งเสริมให้อาเซียนสามารถรวมตัวเข้ากับประชาคมโลกได้อย่างไม่อยู่ในภาวะที่เสียเปรียบ      กระบวนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักในการที่จะทำให้อาเซียนบรรลุสู่การเป็น ‘ประชาคมอาเซียน’ ภายในปีเป้าหมาย 2558 มีรากฐานมาจากนำความร่วมมือและความตกลงทางเศรษฐกิจที่อาเซียนได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว มาต่อยอดให้มีผลเป็นรูปธรรมและมีความแบบแผนมากยิ่งขึ้น อาทิ ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน ความตกลงด้านการส่งเสริมการลงทุนอาเซียน ความตกลงด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาเซียน      ประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขยายปริมาณการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศที่สาม สร้างอำนาจการต่อรองและศักยภาพในการแข่งขันของอาเซียนในเวทีเศรษฐกิจโลก เพิ่มสวัสดิการและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ อันเนื่องมาจากหลักการของการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจ ได้แก่ การประหยัดต่อขนาด การแบ่งงานกันทำ และการพัฒนาความชำนาญในการผลิตของประเทศสมาชิกอาเซียน      ในการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา (2550) ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันลงนามในแผนงานว่าด้วยการดำเนินงานไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งกำหนดกรอบและกิจกรรมที่จะทำให้อาเซียนบรรลุเป้าหมายการเป็นประชาคมทางเศรษฐกิจภายในปี 2558 โดยในปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังอยู่ในระหว่างการนำแผนงานดังกล่าวไปปฏิบัติ      หากอาเซียนสามารถสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้สำเร็จ ไทยจะได้ประโยชน์จากการขยายการส่งออกและโอกาสทางการค้า และเปิดโอกาสการค้าบริการ ในสาขาที่ไทยมีความเข้มแข็ง เช่น ท่องเที่ยว โรงแรมและภัตตาคาร สุขภาพ ฯลฯ ซึ่งอาเซียนยังมีความต้องการด้านการบริการเหล่านี้อีกมาก นอกจากนี้ ยังจะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมายังอาเซียน ซึ่งจะเพิ่มอำนาจการต่อรองของอาเซียนในเวทีการค้าโลก และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในอาเซียนโดยรวม ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  กระทรวงการต่างประเทศ http://www.mfa.go.th/
Les Roches เข้มข้น เรียนจริง ปฏิบัติจริง
Les Roches เข้มข้น เรียนจริง ปฏิบัติจริง ทำงานกับตำแหน่ง MITได้จริงที่ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ สวัสดีค่ะ มิ้นท์ - ณัฐชยา เตียนโพธิทอง ปัจจุบันฝึกงานอยู่ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ตำแหน่ง Management In Training ( MIT ) จุดเริ่มต้นที่ทำให้มิ้นท์เริ่มสนใจงานบริการ คือตอนที่มิ้นท์มีโอกาสได้ไปฝึกงานภาคฤดูร้อนที่ Walt Disney World Resort ประเทศสหรัฐอเมริกา มิ้นท์ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายของที่ระลึก โดยหน้าที่หลักของพนักงานขายของที่นี่ คือจะต้องสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ที่มาใช้บริการ เมื่อแขกเดินออกจากที่นี่ ทุกคนจะต้องมีความสุขและมีความทรงจำที่ประทับใจที่สุด การที่ได้เห็นความสุขของผู้มารับบริการ จึงเป็นแรงผลักดันให้มิ้นท์หันมาเลือกเส้นทางสายงานบริการ  หลังเรียนจบปริญญาตรีทางด้าน International Business Management จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ  ด้วยความมุ่งมั่นในสายงานบริการ มิ้นท์เลือกงานโรงแรมเป็นจุดเริ่มต้น มิ้นท์ได้มีโอกาสเข้าทำงานกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล โดยได้รับคำแนะนำจากพี่อ้วน เอกธนา ทั้งๆที่ยังไม่มีประสบการณ์ทางด้านโรงแรมเลย  หลังจากทำงานที่นี่มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มิ้นท์ได้มั่นใจแล้วว่า การโรงแรมคือสิ่งที่มิ้นท์รักและมีความสุขที่ได้ทำจริงๆ มิ้นท์จึงเกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายอาชีพนี้ เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพมากขึ้น มิ้นท์จึงตัดสินใจที่จะศึกษาต่อในด้านการบริการอย่างจริงจัง มิ้นท์เริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วโลก ในสาขาการโรงแรม มิ้นท์บังเอิญพบองค์กรแนะแนวด้านการศึกษาชื่อ เอกธนา เอ็ดยูเคชั่น เซอร์วิสเซส  มิ้นท์ได้รับคำแนะนำมากมายจากพี่อ้วน เอกธนา ทั้งรายละเอียดของหลักสูตรว่ามิ้นท์เหมาะสมที่จะเรียนหลักสูตรไหน การเตรียมตัวก่อนไปเรียน และที่สำคัญคือเหตุผลที่ทำไมมิ้นท์ต้องเลือกไปเรียนที่เลส์โรชส์ (Les Roches) ซึ่งหลังจากได้รับคำแนะนำและคำปรึกษาจากที่นี่มิ้นท์ได้เตรียมก้าวสู่ เลส์โรชส์ (Les Roches) บันไดขั้นสำคัญต่อไปสำหรับชีวิตมิ้นท์เลส์โรชส์ (Les Roches)  เป็นมหาวิทยาลัยด้านการโรงแรมที่ดีที่สุด 3 อันดับแรกของโลก และมีหลักสูตรที่เข้มข้น นอกจากนี้ที่นี่ยังตั้งอยู่เหนือหุบเขาอันสวยงามของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และที่สำคัญการได้มาเรียนที่นี้นั้นทำให้มิ้นท์ได้พบกับเพื่อนที่มาจากทั่วทุกมุมของโลก แต่ละคนมีพื้นฐาน เอกลักษณ์ วัฒนธรรม ที่ต่างกัน ทำให้มิ้นท์ได้เห็นถึงความเป็นจริงของสังคมโลกาภิวัฒน์ในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังได้เปิดกว้างมุมมองและความคิดของมิ้นท์เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว และที่สำคัญที่สุด คือการได้รับความรู้จากที่นี่ หลักสูตรของ Les Roches นับได้ว่ามีเนื้อหาที่เข้มข้น ทั้งในทางทฤษฏีและ ปฏิบัติ สอดคล้องกับความเป็นจริง มิ้นท์ชอบที่นี่เพราะว่าบันทึกทุกแผ่นที่จดมา สามารถนำไปใช้กับความเป็นจริงได้ทุกอย่าง อีกทั้งนักศึกษาทุกคนจะถูกเคี่ยวเข็ญให้แสดงศักยภาพที่มีอยู่อย่างสุดความสามารถ ดังนั้นทุกวันที่มิ้นท์มาเรียนที่นี้มันคุ้มค่ามากจริงๆ  หลักสูตรที่มิ้นท์เลือกเรียนคือระบบ Postgraduate Program(PGD) ซึ่งเป็นการเรียนพื้นฐานของการโรงแรมทุกวิชาภายใน 1ปี จากปกติ4ปี สำหรับบัณฑิตสาขาการโรงแรมทั่วไป ถึงแม้จะเหนื่อยกว่านักศึกษาภาคปกติของที่นี้อยู่พอสมควร แต่ก็นับว่าคุ้มค่ามาก เพราะมิ้นท์ได้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการศึกษา เมื่อจบไปแล้ว มิ้นท์ต้องเก็บประสบการณ์ของการฝึกงานเป็นเวลาอย่างต่ำ 5-6 เดือน สุดท้ายแล้วมิ้นท์คิดว่ามิ้นท์ได้รับทั้งการสอนและการฝึกอย่างเต็มรูปแบบจากสถาบันที่เยี่ยมยอดแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่หนึ่งปีสั้นๆก็ตาม  หากใครสนใจทางด้านนี้ หรือกำลังเสาะหาสถาบันสำหรับก้าวต่อไปของชีวิตในด้านการโรงแรม มิ้นท์ขอแนะนำสถาบันเลส์โรชส์ (Les Roches)  เพราะตัวมิ้นท์เองได้รับประสบการณ์จริงมาจากตรงนี้ และยืนยันได้เลยว่า คุ้มค่าจริงๆ นอกจากการเรียนการสอนที่นำไปประยุกต์ใช้ได้จริงแล้ว มิ้นท์ยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนในสายงานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งสนุกสนานและยังได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน รวมถึงสามารถช่วยเหลือกันในอนาคตอีกด้วย หรือถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเรียนทางด้านนี้หรือไม่ มิ้นท์แนะนำให้ลองปรึกษาพี่อ้วน เอกธนาได้เพราะมิ้นท์ไม่เสียใจเลยจริงๆที่ตัดสินใจใช้ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่นั่น ทั้งการเรียนรู้ การปฎิบัติ การได้พบปะเพื่อนดีๆจาก 97 ประเทศ การได้มุมมองที่ใหม่และกว้างขวางกว่าเดิม รวมไปถึงความทรงจำดีๆและอบอุ่นจากบ้านหลังที่สองแห่งนี้ ดังที่ผู้ก่อตั้งสถาบันแห่งนี้เคยกล่าวไว้ “Les Roches – it’s not just a school, it’s a way of life!”             บริษัท เอกธนา เอ็ดยูเคชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด 57 พาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กช์ ชั้น 15 ห้อง 1509  ถนนวิทยุ ลุมพินี  เขตปทุมวัน กทม 10330. Tel : 66(0)89 816 6908, 66(0)2 106 2541-2 Fax : 66(0)2 106 2540Mobile : 66(0) 84 361 2151 Website:  www.ekthana.com e-mail: info@ekthana.com  
ขั้นตอนสมัครเรียน ยื่นวีซ่าเรียนต่อออสเตรเลีย
 ขั้นตอนการสมัครเรียน  หากเรากำลังตัดสินใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ขั้นตอนการเตรียมตัว การสมัครเรียน และการขอวีซ่า คงสร้างความสับสนให้เราไม่น้อยเหมือนกัน มาดูขั้นตอนกันนะคะ ว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง        1.การสอบถามข้อมูลและให้คำปรึกษาเรื่องคอร์สเรียน เบื้องต้นทางเราจะถามข้อมูลเบื้องต้นเช่น เป้าหมายในการเดินทางของนักเรียนเพราะบางคนต้องการไปเพื่อพัฒนาภาษาและหาประสบการณ์ บางคนต้องการไปเรียนภาษาเพื่อเรียนโท เป็นต้น จากนั้นดูถึงงบประมาณ ระยะเวลา ประวัติการเดินทางๆไปประเทศอื่นๆ วุฒิการศึกษาที่ผ่านมา ระดับภาษา การงาน หลักฐานการเงินของสปอนเซอร์ เพื่อให้ได้คอร์สเรียนที่เหมาะสม การเลือกคอร์สเรียนให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาวีซ่าด้วย   2. Pre-screen เอกสาร ก่อนทำการสมัครเรียนหรือชำระเงิน ทางเราจะช่วย Pre-screenเอกสารก่อน โดยเฉพาะหลักฐานการเงินของ และที่มาของรายได้สปอนเซอร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณาวีซ่า ว่ามีความเหมาะสมในการยื่นขอวีซ่านักเรียนประเภทนั้นๆหรือไม่ ซึ่ง 2 สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่การพิจารณาวีซ่านั้นไม่ได้ดูแค่เรื่องเงินและที่มาเท่านั้น เรื่องอื่นๆมาพิจารณาประกอบด้วย เพื่อดูว่านักเรียนเป็น Genuine Student หรือไม่ ซึ่งทางเรามีประสบการณ์ในการยื่นวีซ่านักเรียนอย่างดี จะคอยให้คำแนะนำให้การเลือกคอร์ส จัดเตรียมเอกสารเพื่อให้มีโอกาสได้รับวีซ่าสูงสุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลักฐานของนักเรียนเองด้วย ปี 2011-2012 เปอร์เซ็นต์การได้รับวีซ่านักเรียนของ Beyond Study มีสูงถึง 97 % เพราะว่าเรามีการ Prescreenก่อนการสมัครเรียนและให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการยื่นวีซ่า   3. การสมัครเรียน    หลังจาก เลือกเมือง สถาบัน และคอร์สเรียนที่ต้องการแล้วทางทีมงาน Beyond Study Center จะให้นักเรียนกรอกใบสมัครและรวบรวมเอกสารที่ใช้ในการสมัครเรียน เพื่อขอใบตอบรับในการเข้าเรียนจากทางสถาบัน เอกสารในการสมัครเรียนในแต่ละระดับ (เรียนภาษา, เรียน Diploma, เรียนต่อปริญญาตรี,โท) จะต่างกันเล็กน้อย             เอกสาร     คอร์ส         ใบสมัคร       Passport   เอกสารรับรองการทำงาน   ผลภาษาอังกฤษ   เอกสารทางการ  ศึกษา เรียนภาษา             x             x                -               -               - เรียน Diploma             x             x    ขึ้นอยู่กับสถาบัน              x               x เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย            x             x   ขึ้นอยู่กับสถาบัน              x               x     4.ได้รับใบตอบรับชั่วคราวจากทางสถาบัน Letter of Offer ใบตอบรับนี้มีระบุ คอร์สเรียน วันเริ่มเรียน ตามที่เราระบุลงไปให้ใบสมัคร และราคา Letter of Offer นั้นออกโดยทางโรงเรียน ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 3-7 วันทำการ คิดอยู่กับทางสถาบัน 5 ชำระค่าเล่าเรียนและค่าวีซ่า น.ร.จะได้รับรายละเอียดการชำระเงิน ก่อนชำระเงินกรุณาเช็คเรทเงินกับทางบริษัทก่อน หลังชำระเงินกรุณาแจ้งด้วยว่าโอนเข้าบัญชีธนาคารอะไร จำนวนเงินเท่าไหร่ จากนั้นนักเรียนจะได้รับใบเสร็จรับเงิน ค่าเรียนทางบริษัทจะชำระให้สถาบันที่นักเรียนลงเรียนเพื่อขอใบใบยืนยันการตอบรับจากทางสถาบัน Confirmation of Enrollment(CoE) ค่าเรียนจะถูกกำหนดเป็นค่าเงิน Australian Dollar (1:31 โดยประมาณ) ค่าวีซ่าจะถูกกำหนดโดยสถานทูตออสเตรเลีย อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยผันไปตามค่าเงิน ค่าวีซ่า 17,850บาท และค่าVFS 600 บาท (updated on 15 Aug 2012) *VFS คือหน่วยงานที่รับ ยื่น และตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น ก่อนที่จะถูกส่งให้ให้สถานทูตพิจารณา 4.ได้รับใบยืนยันการตอบรับจากทางสถาบัน CoE (Confirmationof Enrollment)              ใบCoE นี้เปรียบเสมือนใบเสร็จรับเงินที่ออกโดยทางสถาบัน ซึ่งมีตัวเลขที่ลิ้งค์กับทางระบบของสถานทูต              เอกสาร CoE ตัวนี้เป็นเอกสารตัวหนึ่งที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าค่ะ        5. การเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นวีซ่า นักเรียนจะได้รับเอกสารที่แจ้งให้ทราบว่าเอกสารจะต้องใช้อะไรบ้างจากทีมงาน จริงๆแล้วขั้นตอนนี้เราสามารถเตรียมไว้ได้ตั้งแต่ต้น เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เพราะเอกสารบางตัวต้องใช้เวลาในการขอ เช่น หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หลังจากทางบริษัทเช็คว่าเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำเอกสารไปยื่นขอวีซ่าที่VFS (หน่วยงานเพื่อการขอวีซ่าประเทศออสเตรเลีย)   6. ตรวจสุขภาพ              หลังจากยื่นวีซ่านักเรียนประมาณ 7-10วัน ทางสถานทูตจะส่งเอกสารสำหรับตรวจสุขภาพมาให้ทางบริษัท ทางเราจะแจ้งให้นักเรียนรับแบบฟอร์มตรวจสุขภาพ พร้อมแนะนำเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพ และโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ไปตรวจจะต้องเป็นโรงพยาบาลที่สถานทูตออสเตรเลียกำหนดไว้เท่านั้น รายละเอียดการตรวจสุขภาพ คลิ๊ก   7.รอผลวีซ่า หลังจากยื่นไปแล้ว โดยทั่วไปใช้เวลารอวีซ่าประมาณ 11วันทำการ หรือ 15วันหากนับเสาร์ อาทิตย์ การรอผลวีซ่าอาจล่าช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เอกสารที่ยื่นไป ผลสุขภาพ และปัจจัยอื่นๆ   8.  หลังจากผลออกแล้ว ทางเราก็จะไปรับเอกสารมา และเปิดซองลุ้นผลวีซ่ากันค่ะ 9. ให้คำแนะนำการเตรียมตัวไปเรียนต่อ การใช้ชีวิตต่างประเทศ การทำงาน สมัครTax File Number  10. ดูแลตลอดการศึกษา   นี่คือรายละเอียดในการเตรียมตัวคร่าวๆ ซึ่งยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากกว่านี้ แต่ไม่ได้เขียนลงในนี้ เพราะจะทำให้ยาวเกินไป นักเรียนจะได้รับการดูแล และให้ข้อมูล ตั้งแต่การเลือกสถาบัน คอร์สเรียน การเตรียมตัว การขอวีซ่า ตลอดจนจบการศึกษาจากทางทีมงาน  Beyond Study Center   เขียนโดย ดาว (Beyond Study Center) zstellarz@beyondstudycenter.com
เตรียมลูกไปเมืองนอกอย่างไรไม่หลงทาง
 เอาบทสัมภาษณ์ของคุณเกมส์ของเราที่ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ Manager Online มาฝากค่ะ ขอบคุณข้อมูลเว็บ http://www.manager.co.th  http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000096616&TabID=2& เมื่อเอ่ยถึงการ เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่ใช่การไปเที่ยว เช่น อาจจะไปเรียน หรือไปทำงาน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ครอบครัวไทยส่วนมากอาจยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องมีการวางแผน ตลอดจนเตรียมเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้ชีวิตในต่างแดนมากกว่าปกติ ยิ่งเดินทางไปในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ผู้เดินทางต้องเตรียมก็ดูจะมากเป็นทวีคูณ                นอกเหนือจากการเตรียมการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศในลักษณะนี้ยังมีอีกหลายสิ่งให้ผู้เดินทางเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่า การหาที่พัก การหาโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือคอร์สที่ต้องการจะลงเรียน การสอบวัดระดับภาษาต่างประเทศสำหรับนำไปใช้อ้างอิงในการเรียนหรือการทำงาน ฯลฯ ซึ่งผู้ที่ดำเนินการเรื่องต่างๆ นี้ด้วยตัวเองคงจะทราบดีถึงความยากลำบาก และก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับ ผู้ที่ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบางคนที่เมื่อผ่านขั้นตอนแห่งความยาก ลำบากนี้ได้แล้ว กลับไม่สามารถคว้าผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งใจเอาไว้กลับมาเป็นรางวัลให้ตัวเองได้ บางคนตั้งใจไปเรียนก็ไม่สามารถเรียนจนสำเร็จ บางคนตั้งใจไปฝึกภาษา ก็กลับคบแต่กลุ่มคนไทยจนสุดท้ายก็ไม่ได้ฝึกการใช้ภาษา บางคนตั้งใจไปทำงานก็ไม่ได้มุ่งมั่น ขยัน อดทน ฯลฯ จนไม่ต่างอะไรกับการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์              วันนี้ ทีมงาน Life & Family จึงมองหาคำแนะนำดีๆ มาฝากผู้ที่มีแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือคุณพ่อคุณแม่ที่ตั้งใจจะส่งลูกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยผู้ที่จะมาบอกเล่าให้ฟังในวันนี้ คือ “คุณวิทวัส บุษราคัมวงศ์” โดยเขาคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่าง รัฐบาลไทยและออสเตรเลีย Work and holiday Visa และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thaiwahclub.comและศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อ Beyond Study Center โดยเว็บไซต์ที่เขาทำขึ้นนั้นมีผู้สนใจเข้ามาค้นหาข้อมูลท่องเที่ยว ทำงานและเรียนต่อออสเตรเลียมากกว่า 1,000 คน/วัน และมีสมาชิกในหน้าเฟซบุ๊ก มากกว่า 5,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งเทคนิคที่เขาฝากมาถึงผู้ที่สนใจจะเดินทางไปเปิดโลกทัศน์ยังต่างแดนนั้น มี 5 ข้อดังนี้                1.ตั้งเป้าหมาย และมุ่งมั่นกับเป้าหมายนั้นๆ                 การเดินทางไปต่างประเทศต้องมีการตั้งเป้าหมายก่อนว่าไปเพื่อสิ่งใด และก็ให้โฟกัสกับเป้าหมายนั้นๆ อย่าวอกแวก เพราะบางทีเมื่อไปถึงแล้ว มีเพื่อนเยอะขึ้น หรือไปทำงานได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ก็อาจทำให้คนเราเปลี่ยนจากเป้าหมายที่เคยตั้งเอาไว้ได้                “บางทีการไปอยู่ต่างแดน แล้วเจอเพื่อนเยอะๆ หรือไปทำงานได้เงินเยอะๆ จากเป้าหมายตอนแรกที่ว่า หนูจะไปเรียนภาษา แล้วก็เที่ยวด้วย และถ้าทำงานได้จะเก็บเงินเพื่อเรียนต่อปริญญาโท ปรากฏว่าพอไปถึงก็ทำงานก่อน แล้วก็เก็บเงินได้เยอะ ก็เลยทำงานดีกว่า ไม่เรียนแล้ว ภาษาที่เคยคิดว่าจะเรียน หรือคิดว่าจะได้ฝึกฝน ก็ไม่ได้ ก็จะกลายเป็นว่าไม่ได้ทำตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ทีนี้พอวีซ่าหมดอายุ ต้องกลับมาประเทศไทย คนเหล่านี้ก็จะเกิดความรู้สึกสับสนในชีวิตได้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี” คุณวิทวัส ยกตัวอย่าง                “ก็มีเช่นกันกับคนที่ตั้งเป้าว่า ฉันอยากไปพัฒนาภาษานะ แต่ฉันไม่มีเงินเรียน เพราะฉะนั้น ฉันจะทำงานไปด้วย ฝึกภาษาไปด้วย คนเหล่านี้ก็อาจจะไปทำงานร้านต่างๆ หรือหานายจ้างที่เป็นชาวต่างชาติ”                ดังนั้น หากผู้ที่ต้องการเดินทางมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ก็จะเปรียบได้กับการมีเข็มทิศที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในต่างแดนประสบความ สำเร็จดังที่ตั้งใจนั่นเอง                2.คนไทยคบได้?                ในข้อนี้ คุณวิทวัส เผยว่า มีความเชื่อในหมู่ผู้ที่ต้องการไปพัฒนาภาษาอังกฤษให้แข็งแรงว่าไม่ควรคบคน ไทย หรือคบแต่น้อย ซึ่งเขามองว่าเป็นความเชื่อที่ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไร                “การมีเพื่อนเยอะๆ ไม่ว่าชาติใดย่อมดีกว่า เพราะการมีเพื่อนย่อมสามารถช่วยเหลือกันได้ในยามลำบาก อีกทั้งการไปต่างประเทศแบบไม่รู้จักใครเลย จะทำให้ชีวิตค่อนข้างยากลำบาก ควรมีคอนเนกชันบ้าง ถ้าไม่มี บางทีก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะช่วยเรา นอกจากนั้น ควรร่วมกิจกรรมต่างๆ ให้มากๆ เพราะจะทำให้เรารู้จักคนอื่นๆ มากขึ้น”                “อย่างไรก็ดี ถ้าเป้าหมายของผู้เดินทาง คือ อยากได้ภาษาก็ต้องระลึกไว้ว่า เพื่อนคนไทยอาจช่วยเราได้ในแง่ของการดำเนินชีวิต เรื่องงาน หรือเรื่องเรียน แต่ถ้าเราอยากได้ภาษา เราก็ต้องแยกตัวออกมาเพื่อฝึกภาษาบ้าง ไม่ใช่อยู่กับคนไทยตลอดเวลาครับ” คุณวิทวัส กล่าว                3.หาข้อมูลให้มาก                เพื่อให้ผู้เดินทางมุ่งสู่เป้าหมายได้จริง การหาข้อมูล สะสมรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คุณวิทวัส แนะนำว่า “ผู้ที่ต้องการเดินทางควรนำเป้าหมายของตนเองมาวิเคราะห์อย่างละเอียด กำหนดความชัดเจนของเป้าหมายลงไปให้มากขึ้น เช่น อยากได้ภาษา ก็ต้องบอกได้ว่าอยากได้ภาษาในระดับใด อยากทำงานเก็บเงิน ก็กำหนดเป้าหมายว่าจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่าไร ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเมือง-ประเทศที่เราจะไปใช้ชีวิตให้มากจึงจะทำให้ผู้ เดินทางสามารถวางแผนอนาคตต่อไปได้ว่า ตนเองจะทำอย่างไรกับชีวิตเมื่อไปอยู่จริง หรือบางคนอาจได้ไอเดีย ไปเรียนต่อในสาขาวิชาที่ประเทศนั้นๆ กำลังขาดแคลน และหางานทำอยู่ที่เมืองนอก ส่งเงินกลับมาประเทศไทย เหล่านี้ เป็นต้น”                4.ร่วมกิจกรรมต่างๆ ให้บ่อย                การเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางเมืองจัดขึ้น หรือเป็นกิจกรรมที่มีกลุ่ม ชมรม สมาคมต่างๆ จัดขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผู้ต้องการเดินทางไปต่างแดนไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะทำให้คุณได้สัมผัสความหลากหลายทางวัฒนธรรมแล้ว ยังอาจได้แลกเปลี่ยนข่าวสารดีๆ ระหว่างผู้เข้าร่วมงานได้อีกด้วย                5.ระวังภัยในต่างแดน                นอกเหนือจาก 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งที่อาจนำภัยมาถึงตัวทุกคนได้ เพราะการปฏิบัติบางประการ หากอยู่ในประเทศไทย เราๆ ท่านๆ สามารถทำได้โดยไม่มีใครถือสา แต่ในต่างแดนอาจเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย                “ยกตัวอย่างเช่น ในสังคมไทย เราไม่เคยเจอเรื่องการเหยียดผิว แต่ในเมืองนอกมี ดังนั้น เราก็ต้องเลือกใช้ชีวิต อย่าพยายามไปอยู่ในที่ที่มีการเหยียดผิว หรืออย่าไปล้อใครด้วยเรื่องชาติพันธุ์ เรื่องสีผิว เรื่องอ้วน-ผอม” คุณวิทวัส กล่าว                นอกจากนั้น เขายังได้แนะนำการซื้อประกันสุขภาพ อีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่หลายคนไม่ค่อยคำนึงถึงด้วย เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศนั้น “สูงมาก” หากไม่มีประกันสุขภาพ อาจต้องสูญเงินที่เตรียมมาไปกับการรักษาพยาบาลก็เป็นได้                ทั้งนี้ การเดินทางไปต่างประเทศนอกเหนือจากการหาประสบการณ์แปลกใหม่ การเติบโตทางด้านจิตใจ สามารถรับผิดชอบตนเองได้ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกๆ ได้สัมผัสจากการเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศด้วยเช่นกัน                “มุมมองของผม เชื่อว่า ไปต่างประเทศอย่างไรก็ได้ประสบการณ์ ไม่ว่าจะเด็กจบใหม่ หรือทำงานมา 3-5 ปีแล้ว โดยประสบการณ์ที่ได้รับจะต่างกันไปตามการรับรู้ของแต่ละวัย ประสบการณ์ที่ว่านี้อาจจำเป็น และช่วยให้เรารับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะตามมาในอนาคต เช่น การเปิดเสรีอาเซียน ตลอดจนภาษาที่เราจะได้มากขึ้นด้วย” คุณวิทวัส กล่าวปิดท้าย  
เรียนต่อ MBA ต่างประเทศต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
  หลักสูตร MBA (Master of Business Administration) หรือปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตย์ ถือได้ว่าเป็นหลักสูตรปริญญาโท ที่มีนักศึกษาเลือกเรียนกันมากที่สุดในโลกหลักสูตรหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากหลักสูตร MBA เป็นหลักสูตรที่เน้นการสร้างและพัฒนาบุคคลากรในระดับบริหาร ซึ่งไม่จำกัดว่าอยู่ในอุตสาหกรรมหรือภาคธุรกิจประเภทใด ทำให้หลายๆคนเลือกที่จะเรียนต่อปริญญาโทในหลักสูตร MBA แม้ว่าจะไม่ได้จบปริญญาตรีในด้านที่เกี่ยวข้องกับการบริหารมาก่อนเลยก็ตาม และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรียนต่อด้าน MBA ในต่างประเทศ สิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการสมัครเรียนกับ Business School (B School) ในต่างประเทศนั้นมีดังนี้     1. GPA เกรด เฉลี่ยระดับปริญญาตรี : ใครที่เรียนๆเล่นๆ คิดว่าขอแค่จบก็พอ คงจะต้องลำบากใจหน่อย ซึ่งโดยส่วนมาก B School ชื่อดังจะ require ที่เกรดเฉลี่ย 3.00 ขึ่นไป แต่ถ้า B School ทั่วไปๆก็จะต่ำกว่านี้ แต่ส่วนมากจะ Require มากกว่า 2.00 ขึ้นไป   2. TOEFL/IELTS ซึ่ง จะแตกต่างไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนมากในสหรัฐอเมริกาจะต้องการผลคะแนนสอบ TOEFL แต่ถ้าเป็นฝั่งอังกฤษและออสเตรเลียส่วนมากจะใช้ IELTS มากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัย ควรตรวจสอบจากเวบไซต์ของสถาบันนั้นๆก่อนจะเลือกสมัครสอบ   TOEFL (Test of English as a Foreign Language) คือ แบบทดสอบความสามารถเพื่อประเมินความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ในการใช้ภาษาอังกฤษ ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ โดยเป็นการสอบแบบมาตรฐาน ที่วัดความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการเข้า ศึกษาต่อกับสถาบัน การศึกษาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางของการเรียนการสอนโดยมีจัดการ สอบเป็นแบบปรนัย เพื่อวัดความเข้าใจ ภาษาอังกฤษแบบอเมริกา (American English) โดยการสอบ TOEFL มีการทดสอบ 3 แบบด้วยกันคือ Internet - Based Testing : IBT/Computer - Based Testing: CBT/(Paper - Based Testing: PBT โดยในประเทศได้ยกเลิกระบบ CBT ไปแล้ว และใช้ระบบ IBT ในบางเขต เช่น กรุงเทพ ลาดกระบัง หาดใหญ่ นครปฐม ส่วนการสอบแบบ PBT จะมีที่ที่เดียว คือ ม.วลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราชเท่านั้น การสอบจะทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การพูด (Speaking) การฟัง (Listening) การอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing) และในแต่ครั้งจะต้องผสมผสานทักษะต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อใช้ในการตอบคำถาม โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งสำหรับการสอบ แต่การสอบแบบ PBT จะไม่มีการสอบ Speaking ทำให้การสอบแบบ PBT เต็มอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มีการประกาศตารางสอบได้ไม่นาน   สำหรับ ประเทศไทย สามารถติดต่อ Institute of International Education (IIE) ชั้น 9 ตึกซิตี้แบงค์ 82 ถ.สาทรเหนือ บางรัก กทม. 10500 โทร. 639-2700-2 E-mail :iiethai@bkk.iie.org ผู้สนใจสมัครสอบควรทำการสอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับสถานที่สอบ และวันเวลาที่สอบที่แน่นอน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ets.org/toefl   IELTS (International English Language Testing System) คือ การทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติที่ได้รับการพัฒนาจนเหมาะเป็นตัวทดสอบ ที่ใช้ประเมิน ความสามารถทางภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพใน4ทักษะได้แก่ การฟัง การอ่าน การเขียนและการพูดรวมถึงความรู้ทางด้านไวยากรณ์และคำศัพท์ในการใช้ภาษาของ ผู้สมัครสอบที่ต้องการเรียนหรือทำงานในสถานที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อ สาร เป็นการทดสอบที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นหนึ่งในข้อกำหนด สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในสหราชอาณาจักร IELTS เป็นตัวสอบที่ร่วมมือกันระหว่าง The University of Cambridge ESOL Examinations ( Cambridge ESOL ) บริติช เคานซิล และ IDP : IELTS Australia คุณสามารถลงทะเบียนสอบ IELTS ได้ที่ บริติช เคานซิล สยามสแควร์โทรศัพท์ 02-6575678 บริติช เคานซิล ปิ่นเกล้าโทรศัพท์ 02-8849944-6 ต่อ 101,102 บริติช เคานซิล ลาดพร้าวโทรศัพท์ 02-9371037-9 ต่อ 0 บริติช เคานซิล เชียงใหม่โทรศัพท์ 05-3242103 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.britishcouncil.org/th/thailand-exams-ielts.htm หรือhttp://www.ielts.org   3. GMAT (Graduate Management Admission Test) เป็น ข้อสอบแบบปรนัย (Multiple-Choice) ใช้สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ด้านธุรกิจและบริหาร แต่ B school ส่วนใหญ่ใน อังกฤษ จะไม่ได้ require GMAT แต่ถ้าเป็นสถาบันในสหรัฐอเมริกาจะต้องใช้คะแนน GMAT โดยการสอบ GMAT จะเป็นการวัดความสามารถการใช้เหตุผลของผู้สมัคร แบ่งข้อสอบออกเป็น 3 ส่วนคือ 1. Analytical Writing Assessment : เป็นการเขียน essay 2 บทความ บทความละ 30 นาที ซึ่งต้องทำด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้น 2. Quantitative Section: 75 นาที 37 คำถาม ใน 2 รูปแบบคือ Data Sufficiency และ Problem Solving  3. Verbal Section: 75 นาที 41 คำถาม ใน 3 รูปแบบคือ Reading Comprehension, Critical Reasoning และ Sentence Correction   การสอบ GMAT จะเป็นการสอบแบบ CATs Test (Computer Adaptive Tests) ซึ่งข้อสอบจะปรับระดับความยากง่ายตามความสามารถของผู้สอบ ถ้าตอบถูกติดกันหลายๆ ข้อ ข้อต่อไปก็จะยิ่งยากขึ้น ในทางตรงกันข้ามถ้าตอบผิด ข้อสอบก็จะง่ายลง ยิ่งระดับความยากมากเท่าไหร่ คะแนนก็จะยิ่งสูงเท่านั้น โดยผลการสอบจะแจ้งทาง email หรือภายใน 20 วันหลังจากวันที่สอบ โดยคะแนน GMAT จะเต็ม 800 ซึ่งการเข้าเรียน MBA ในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง จะ require คะแนน GMAT ที่ 600 ขึ้นไป   ปัจจุบัน ผู้สอบสามารถสมัครสอบ GMAT ได้ในแบบ online หรือทางโทรศัพท์ สำหรับการสมัครสอบแบบ online ผู้สอบสามารถตรวจสอบสถานที่สอบ วันเวลาในการสอบ และที่นั่งในการสอบที่ยังว่างอยู่ได้ที่ http://www.mba.com/mba/takethegmat   4. Work Experience โดย ส่วนมากการต่อปริญญาโทต่างประเทศในทุกๆสาขาจะ require ประสบการณ์ทำงาน 2 ปีเป็นอย่างน้อยครับ หรือถึงแม้บางสถาบันอาจจะไม่ได้กำหนดตรงนี้ไว้ แต่พี่ก็ขอแนะนำว่าถ้าคิดจะเรียนต่อปริญญาโทเราควรจะมีประสบการณ์ทำงานก่อน จะดีกว่า เพื่อจะได้ share กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้นะครับ   5. Letter of recommendation เป็น การบอกเล่าให้เจ้าหน้าที่ของทางมหาวิทยาลัยรู้จักตัวคุณมากขึ้น ผ่านการบอกเล่าจากบุคคลอื่น โดยปกติจะเป็นอาจารย์หรือหัวหน้างาน โดยเลือกคนที่รู้จักตัวคุณมากที่สุด B School ส่วนใหญ่จะขอ References 2 ฉบับ หรือบางแห่งอาจจะ 3 ฉบับ   6. Statement of purpose (SOP) / Personal Statement / Essay ถึง แม้ว่าการใช้คำที่เรียกอาจจะต่างกัน แต่โดยปกติแล้ววัตถุประสงค์ของการเขียน SOP คือการสื่อให้คณะกรรมการเห็นว่าคุณนั้นเหมาะสมและมีความสามารถในการเข้า ศึกษาต่อ อาจจะมีโจทย์มาให้หรือไม่มีก็ได้ ถึงแม้ว่าคำถามหรือคำตอบอาจอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันก็ตาม แต่โดยส่วนมากแล้วคณะกรรมการคัดเลือกนักเรียนให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ใน การศึกษาต่อปริญญาโท สาขาวิชาที่คุณอยากศึกษาต่อ การเตรียมตัวและความพร้อมของคุณสำหรับการศึกษาต่อ และข้อมูลที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของคุณเอง   7. Resume / CV สามารถ หาตัวอย่างดูได้ไม่ยากจากในอินเตอร์เนท ควรมีความยาวประมาณ 1-1 ½ หน้า แต่นอกจากรูปแบบแล้วสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือเนื้อหา นอกเหนือจากการบอกเล่าหน้าที่การทำงานแล้ว ให้บอกถึงผลสำเร็จของการทำงานของเรา เช่นเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ 10% หรือปรับปรุงระบบการจัดการข้อมูลของบริษัทได้ เป็นต้น   8. Money แน่ นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเงิน ซึ่งการแสดงหลักฐานทางการเงินของเราหรือผู้ปกครองนั้นจำเป็นตั้งแต่การยื่น ขอวีซ่า ไปจนถึงการเลือกเรียนในแต่ละ B School ซึ่งจะกำหนดตัวเลขขั้นต่ำในบัญชีที่เราจะต้องแสดงมาให้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีเงินพอสำหรับค่าเรียนและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ระหว่างที่เราเรียนอยู่ ซึ่งถ้าหากน้องๆมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายการขอทุนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ แต่แน่นอนว่าน้องๆต้องมีผลคะแนน GMAT หรือโปรไฟล์อื่นๆในระดับที่สูงพอที่จะขอทุนได้   ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียง Requirement เบื้องต้นสำหรับผู้สนใจศึกษาต่อต่างประเทศ โดยแต่ละมหาวิทยาลัย/สถาบัน อาจจะมี Requirement ที่มากหรือน้อยกว่านี้ ซึ่งนักเรียนสามารถตรวจสอบได้จากเวบไซต์ของสถาบันอีกที หรือสามารถโทรมาปรึกษากับ Advice For You ได้ที่โทร 02-982-4300 มือถือ 086-302-1888 หรือ คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดต่อเราคะ
ประสบการณ์ดีๆ Les Roches โรงเรียนบริหารการโรงแรมอันดับ 2 ของโลก
 สวัสดีค่ะ ทราย - มลฑาทิพย์ เคหะโชติ. ทรายจบปริญญาตรีด้านการโรงแรม ปริญญาโทสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ประสบการณ์การทำงานด้านการโรงแรม 1 ปี ซึ่งทรายได้มีโอกาสทำงานทั้งในและต่างประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ทรายคิดว่า ตัวเองนั้นยังคงต้องศึกษาเรียนรู้และพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการบริหารการโรงแรม ทำให้ทรายได้ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้ทรายกำลังศึกษาอยู่ที่ Les Roches International School of Hotel Management ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ติดอันดับสองของโลกด้านการโรงแรม และ Les Roches ยังเป็นที่ยอมรับจาก The New England Association of Schools and Colleges, Inc. (NEASC) นับว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับทรายค่ะ ที่ได้มาเรียนที่นี้ ทรายเลือกเรียนคอร์ส Postgraduate Higher Diploma (PGHD)  ซึ่งเป็นคอร์ส 2 ปี โดยสามเทอมแรกเป็น academic และเทอมสุดท้ายทุกคนจะได้มีโอกาสฝึกงานหรือร่วมงานกับโรงแรมชั้นนำในเครือต่างๆ ซึ่งทรายเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับทุกคนที่รักงานด้านการโรงแรมค่ะ สำหรับทรายแล้ว Les Roches เป็นเสมือนประตูวิเศษและเส้นทางลัดไปสู่งานธุรกิจด้านการโรงแรม  ซึ่งในขณะเดียวกันนี้เอง จังหวะและโอกาสที่ดีก็ผ่านเข้ามาค่ะ เนื่องจากระหว่าง summer break ที่ผ่านมานี้ ทรายก็ได้มีโอกาสฝึกงานสองเดือนที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ซึ่งป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งในเดือนแรกนั้น ทรายได้ฝึกงานอยู่ที่แผนก Learning and Development ทรายได้เรียนรู้งานต่างๆ ด้านฝ่ายการจัดการและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะงานด้าน Training หลังจากนั้น ในเดือนที่สอง ทรายได้ย้ายไปฝึกงานที่ Executive office ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนที่ทรายได้เรียนรู้ในสิ่งที่ทรายไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน นับว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับทรายค่ะ ที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้บริหารของโรงแรมในตำแหน่ง Temporary Administrator of Hotel Manager งานหลักของทรายคือ ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเลขานุการ  และทรายยังได้รู้จักพี่ๆ และเพื่อนๆ ร่วมงานที่น่ารัก คอยให้ความช่วยเหลือทรายเป็นอย่างดี รวมถึงคอยให้คำแนะนำทราย  การฝึกงานครั้งนี้สำหรับทรายถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ  แต่ทรายได้เห็นและเข้าใจงานด้านโรงแรมมากยิ่งขึ้น ทั้งงานในส่วนของ Front-of-house และ Back-of-house ซึ่งประการณ์การทำงานนี้ทำให้ทรายสามารถต่อยอดและพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ในการทำงานด้านการบริการและการบริหารโรงแรมได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดสงสัยว่า ทำไมถึงต้อง Les Roches นั้นก็เป็เพราะนอกจากสภาพแวดล้อม บรรยากาศที่เงียบสงบและความสวยงามของประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนก็สนุกและน่าสนใจทุกๆ คลาส โดยอาจารย์แต่ละท่านที่นี่ก็มีประสบการณ์ที่หลากหลายในงานด้านการโรงแรม ทำให้เราได้มุมมองในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป และสิ่งที่ทรายประทับใจมากก็คือ เพื่อนๆ ที่น่ารัก ทั้งคนไทยเองก็ดี คนต่างชาติก็ดี ทุกคนที่นี้เปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ   Learn More About Our Network At Our Seminar “Your Dream Job in the World of Hospitality” Saturday 13 October at 1.00-4.00 pm In the Montathip Room At Four Seasons  Hotel Bangkok To reserve your place please contact: Ekthana Education Services Tel : 66(0)89 816 6908, 66(0)2 106 2541-2 Fax : 66(0)2 106 2540 Mobile : 66(0) 84 361 2151 Website:  www.ekthana.com e-mail: info@ekthana.com รายละเอียดเพิ่มเติมที่  :http://www.ekthana.com/glion-les-roches-22092012/  
แนะนำ วิธีการเตรียมตัวสอบเข้า แพทย์ กสพท 2555
การเป็นหมอเนี่ย จะมีวิธีรับ 2 ทาง คือ 1.รับตรง ก็คือ โควตาพื้นที่นั่นเองเป็นของแต่ละมหาลัยที่จะจัดสอบ(เพื่อให้ง่ายพี่จะเรียกว่ารับตรงนะ) 2.กสพท.[กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย] (พี่เรียกว่ารับกลางเพราะมันรวมทั่วประเทศ) >>การรับต่างกันอย่างไร? 1.รับตรง อย่างที่พี่บอกไปคือ ข้อสอบจะเป็นของแต่ละมหาลัยออกเอง อย่างพี่เป็นเด็กเหนือพี่ก็จะได้โควตาภาคเหนือ ซึ่งมหาลัยที่รองรับคณะแพทย์ ก็จะเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ความจริงเนี่ย ตอนที่สมัครโควตาภาคเหนือ น้องก็สามารถเลือกมหาลัยอื่นได้นะ การเลือกในระบบรับตรงโควตาจะต่างจากแอดกลาง(Admission) คือรับตรงจะเลือกได้สูงสุด 2 คณะในแต่ละมหาวิทยาลัยแต่มีสิทธิ์เลือกได้ 4 อันดับ แต่แอดกลางจะเลือกได้ 4 อันดับ มหาวิทลัยใดก็ได้คณะใดก็ได้ อ่านแล้วงงมั้ย? ถ้างงพี่จะให้ตัวอย่าง ในโควตาภาคเหนือเนี่ย จะมีมหาลัยรัฐให้เลือกคือ มช. มน. มข. มอ. เอกชนก็มี หอการค้า พายัพ ฯลฯ จำไม่ได้ละประมาณนี้ คณะก็แล้วแต่น้องๆ แต่เวลาเลือก! พี่มีสิทธิ์เลือกคณะของมช.ได้แค่สองคณะ และมหาลัยอื่นอีกสองคณะ เช่น อันดับ1 : แพทย์ ม.เชียงใหม่ อันดับ2 : เภสัช ม.เชียงใหม่ อันดับ3 : วิศวะฯ ม.ขอนแก่น อันดับ4 : วิศวะ ม.สงขลา (พี่ไม่แนะนำให้เลือกตามนี้นะ เป็นแค่ตัวอย่างสมมุติเฉยๆ ถ้าน้องเลือกอับดับ1กับอันดับ2แบบพี่ โอกาสหลุดสูงมาก=_=) อย่างที่เห็นคือเลือกของมหาลัยเดียวกันได้แค่สองอันดับเท่านั้น พี่เลือกของมช.มากกว่านี้ไม่ได้ แล้วก็น้องสามารถเลือกโครงการเพิ่มได้อีก อาจจะเป็นโครงการ ของหมอ หรือหมอฟันก็ได้ โอเค จบของส่วนรับตรงไป ทีนี้เรามาดูของกสพท.กันบ้าง 2.กสพท. จะเริ่มต้นรับสมัครประมาณเดือนสิงหาคม คะแนนที่ใช้ก็แบ่งออกเป็น สัดส่วน 70 : 30 คือวิชาสามัญ 70% และวิชาความถนัดแพทย์30% วิชาสามัญ70 % ก็เอามาแบ่งน้ำหนักให้แต่ละวิชาอีกทีเป็น วิทย์ 40% คณิต 20% อังกฤษ 20% ไทย 10 % สังคม 10% แล้ววิชาที่สอบวิชาแรกเนี่ย คือความถนัดแพทย์ จะสอบตอนประมาณสิ้นเดือนตุลาคม (เห็นงี้มาสองปีละ) ส่วนวิชาสามัญสอบเดือนมกราคม ประกาศผลก็ กุมภาพันธ์ วิธีเลือกคณะของกสพท.เนื่องจากความขี้เกียจส่วนตัว~ พี่แนะนำให้อ่านหนังสือความถนัดแพทย์เพราะสอนอยู่แล้ว~ (โป๊กก!!) เจ็บอ้ะTOT ทำเค้าทำไม!! กสพท.จะมีสถาบันแพทย์ให้เลือกอยู่ 12สถาบัน และ ทันตะฯ 5 สถาบัน วิธีเลือกง่ายๆ... น้องก็เอาตารางคะแนนปีก่อนๆมากาง แล้วก็นั่งดู แล้วก็หยิบออกมา 4 มหาลัยที่ชอบก่อน จากนั้นก็เรียงคะแนน อ้ะๆ ดูที่คะแนนต่ำสุดของปีก่อนนะ ไม่ใช่สูงสุดนะน้อง- -* แต่บางคนอาจจะเกิดปัญหาว่า.... เดินช๊อปปิ้ง หยิบมา 4 มหาลัย เป็นคณะแพทย์หมด เลือก จุฬา รามา ศิริราช วชิระ ^^~ จากนั้นเพิ่งมาแหกตาว่าO_O! เฮ้ยทำไมคะแนนติดกันหมด....เสี่ยงหลุดโคตร ยิ่งจุฬาฯ กับ ศิริราช บร๊ะเจ้าจ๊อดดด!! น้องไม่ต้องตกใจไป- - คะแนนมันติดๆกันหมดอยู่แล้ว เพราะงั้น อันดับ 1 : เลือกมหาลัยและคณะที่ชอบที่สุด ไม่ต้องสนคะแนนมัน อันดับ 2 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ1 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ1 อันดับ 3 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ2 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ2 อันดับ 4 : เลือกมหาลัยที่อยากเรียนรองลงมาจากอันดับ3 และคะแนนต่ำกว่าอันดับ3 แต่จริงๆ ถ้าอยากเรียนเนี่ย ไม่ควรเลือกที่คะแนนติดกันมากเกินไปนะคะ อย่างเช่น อันดับ 1 : คณะแพทย์ จุฬาฯ อันดับ 2 : คณะแพทย์ รามา อันดับ 3 : คณะแพทย์ มช. อันดับ 4 : คณะแพทย์ มน. อะไรแบบนี้ก็ได้ คือถ้าน้องไม่ยึดติดกับสถาบันนะ ควรเลือกคะแนนห่างๆหน่อยก็ดี ปัญหาของหลายๆคนอาจจะมีว่า.....ก็เค้าอยากอยู่มน.อ่ะ มน.ใกล้บ้านเค้า!! แต่ที่หยิบมาก็มี จุฬา พระมงกุฎ มช. มน. อยากเอามน.ไว้อันดับหนึ่งอ่ะ แต่เผอิญว่า....มน.มันคะแนนต่ำสุดน่ะสิน้องเอ๊ย=_=" ถ้าอยากได้มน.จริงๆ น้องต้องตัด3มหาลัยแรกออก แล้วเลือกเป็นทันตะแทน เพราะคะแนนต่ำกว่า (แต่พูดให้เข้าใจก่อนนะ พี่ไม่ได้มีเจตนาดูถูกมหาลัยนะคะ แต่อ้างอิงจากคะแนนต่ำสุดสูงสุดของปี53แล้วที่พี่ยกเป็นมหาวิทยาลัยรัฐมาพูด เพราะน้องส่วนใหญ่ก็มองแต่มหาลัยรัฐก่อนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?) >>อาจจะมีคำถามว่า.....พี่คะ ถ้าหนูเลือกไม่ครบ4อันดับได้ไหมคะ ได้ค่ะ พี่ก็เลือกไม่ครบ แต่ไม่ว่าน้องจะเลือกครบหรือไม่ครบ น้องก็เสีย 1,215 บาทอยู่ดี /O\ 1200ค่าสมัคร อีก15บาทค่าธรรมเนียมธนาคาร แต่ถ้าน้องไม่มีมหาลัยที่อยากได้จริงๆ ก็ไม่ต้องเลือกให้ครบนะคะ มันก็แล้วแต่น้อง ว่าน้องอยากเสี่ยงดวงแค่ไหน เพราะมันไม่ได้ประกาศรอบเดียว แต่บางทีกสพท.ก็มีประกาศรอบสอง รอบสามออกมา ซึ่งคะแนนจะลดลง น้องก็มีสิทธิ์ได้ สมมุติ ประกาศคะแนนรอบที่1 คะแนนต่ำสุดจุฬาฯ 66.5436 คะแนน คะแนนต่ำสุดมช. 63.1549 คะแนน ประกาศคะแนนรอบที่2 คะแนนต่ำสุดจุฬาฯ 64.9832 คะแนน น้องมีคะแนนในมือ 65.0000 คะแนน และน้องเลือกไว้สองมหาลัยคือจุฬาอันดับ1 มช.อันดับ2 ถ้าน้องเลือกแบบนี้ น้องจะติดมช.แทนที่จะติดจุฬา แต่ถ้าน้องเลือกจุฬาฯอันดับ1เดี่ยวๆ รักเดียวใจเดียวกล้าเสี่ยง! รอประกาศรอบ2 น้องจะติดจุฬาฯสมใจ.... >>แล้วพวกโครงการคืออะไร? เราเลือกมันได้ตอนไหน? โครงการจะแบ่งออกเป็น 3 โครงการเฉพาะของแพทย์(เท่าที่พี่รู้ตอนนี้) ถามว่าโครงการนี้มีที่ไหนบ้าง มีทั่วประเทศที่รับคณะแพทย์เลย แล้วแต่พื้นที่จังหวัดที่น้องอยู่ว่า ไปสังกัดมหาวิทยาลัยไหน อย่างภาคเหนือก็ขึ้นกับคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ นครสวรรค์ ภาคกลางบางจังหวัดก็ขึ้นกับจุฬาฯบ้าง มหิดลบ้าง น้องต้องไปดูว่าตัวเองมีสิทธิ์สอบของที่ไหนบ้าง เราเลือกโครงการได้ ตอนที่สมัครสอบโควตา.... 1.โครงการ One District One Doctor [ODOD] เรียกง่ายๆว่า โอดอท สำหรับภาคเหนือ คนที่มีสิทธิ์เลือกโครงการนี้ได้ ชื่อ>ตัวเอง< ในทะเบียนบ้าน ที่อยู่ ต้องไม่ใช่อำเภอเมือง [หรือ] ชื่อพ่อแม่น้อง ที่อยู่ในทะเบียนบ้าน เป็นต่างอำเภอ และอยู่มาแล้วอย่างน้อย 3 ปี 2.โครงการ Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor [CPIRD] เรียกว่า แพทย์ชนบท หรือเรียกเป็นชื่อโครงการไปเลยว่า ซี-เพริท แต่ส่วนมากก็เรียกกันย่อๆว่า แพทย์ชนฯ เป็นอันรู้กัน 3.โครงการ Mega Projects เรียกเลยว่า แพทย์เมกะฯ หรือ โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม แม้จะเป็นการผลิตแพทย์เพิ่มเหมือนกัน แต่ว่าต่างจาก CPIRD นะ >>แต่ละโครงการต่างกันอย่างไร? 1.ODOD : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก)ที่จังหวัดบ้านเกิดตามทะเบียนบ้านตอนแรก ระยะเวลาการใช้ทุน 12 ปี ถ้าอยากเรียนต่อเฉพาะทาง มันจะเหมือนกับเล่นเกมส์ ปกติเราเล่นเกมส์เนี่ย โผล่มาตอนแรกก็อาจจะให้เลือกได้แค่สนามเดียวหรือเซิฟเวอร์เดียวก็คือพวก beginner หรือ practise ทำนองนั้น ยิ่งเลเวลสูงยิ่งปลดด่านยากๆ ให้เลือกเล่นได้ใช่ไหม นั่นแหละเหมือนกัน ยิ่งเราใช้ทุนนานไปเรื่อยๆ สาขาที่เราอยากเลือกเรียนต่อก็จะค่อยๆปลดออกมาให้เราได้เลือก มันแล้วแต่ว่าน้องจะเจอกี่ปี สมมุติ ใช้ทุนไป 3 ปี เฉพาะทางเด็กเปิดให้เรียนแล้ว ใช้ไปอีก 2 ปี ศัลยกรรมกับอายุรกรรมเปิดให้เรียนแล้ว ประมาณนี้ 2.CPIRD : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก) ในจังหวัดที่แต่ละมหาลัยกำหนด อาจจะเป็นบ้านเกิดตัวเองหรือไม่ก็ได้ ระยะเวลาใช้ทุนเหมือนปกติ 3 ปี^^ 3.Mega projects : เรียน 3 ปีแรก(ชั้นพรีคลินิก) ในมหาวิทยาลัย และ 3 ปีหลัง(ชั้นคลินิก) จะเลือกลงได้แต่ก็แค่ในจังหวัดที่มหาลัยกำหนดเหมือนกัน ระยะเวลาใช้ทุนเหมือนปกติ 3 ปี^^ >>แล้วโครงการต่างกับโควตารับตรงและกสพท.อย่างไร? มันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกค่ะ ต่างกันตรงที่ความหน้าตาดี ใครเลือกโควตา ก็หน้าตาดีหน่อย55+(/me เผ่น) ล้อเล่น!~ ก็ต่างกันเรื่องสถานที่เรียนตอนปี4-6นั่นเอง ถ้าติดโควตาหรือกสพท.ก็จะได้เรียนที่เดิม6ปีเต็ม! แต่ถ้าเป็นโครงการ ก็อย่างที่บอกคือ ต้องไปเรียนในโรงพยาบาลพื้นที่ที่มหาลัยกำหนดไว้ ส่วนที่ต่างอีกเรื่อง(เรื่องนี้พี่ไม่ค่อยแน่ใจแต่เท่าที่ได้ยินมานะ)ก็คือ การเลือกสถานที่ใช้ทุน ถ้าน้องๆ เป็นโควตาหรือกสพท. น้องจะมีสิทธิ์เลือกก่อน แต่ถ้าคนเลือกจังหวัดนั้นเยอะ ก็ต้องจับฉลากเอาเหมือนกัน คนที่ได้เลือกรองลงมาก็คือ โครงการเมกะโปรเจ็ค สุดท้ายคือแพทย์ชนฯ ส่วนโอดอท ไม่มีสิทธิ์เลือก เพราะต้องกลับไปใช้ทุนอำเภอตัวเองอยู่แล้ว และใช้มากกว่าคนอื่น 12 ปี(กะว่าแก่อยู่กับที่เลยทีเดียว= =) >>ถ้าเราไม่ใช้ทุนได้ไหม? ได้ค่ะ แต่ด้วยสามัญสำนึกแล้ว ควรจะใช้อย่างต่ำก็ 1 ปีนะพี่ว่า = =a พวกใช้ทุน 3 ปีเนี่ย ตอนทำสัญญาพี่เซ็นไปรับรองว่าถ้าไม่ใช้ก็จ่าย4แสนบาท แต่สมมุติพี่ใช้ทุนไป1ปี จำนวนเงินก็ลดลงตามเวลาที่เหลือนั่นแหละค่ะ แต่โอดอทรู้สึกจะเสียมากกว่านั้น เพราะเป็นโครงการที่ล็อกตัวแพทย์ไว้เลย ต้องการในพื้นที่ชนบทมาก   แนะนำเรื่องการสมัครสอบ+วิธีเลือกไปแล้ว.... เรื่องต่อมาที่(โดนบังคับให้)แนะนำก็คือ...เรื่องการอ่านหนังสือ จุดเริ่มต้นในการเริ่มอ่านหนังสือ : อันนี้ไม่เกี่ยง ใครเริ่มเร็วก็ได้เปรียบ เริ่มช้าก็เสียเปรียบหน่อย พี่เริ่มอ่านเหยาะแหยะ(ประมาณพลิกๆไม่กี่หน้าแล้วก็วางไปเล่น~)ตั้งแต่ปิดเท อมใหญ่ม.5ขึ้นม.6 แต่พี่ก็เรียนเนื้อหายังไม่จบนะ แต่ปิดเทอมเนี้ยพี่ตั้งใจเรียนมากขึ้น เวลาไปเรียนพิเศษก็ไปก่อนเวลานิดหน่อย การบ้านที่อ.สั่งก็ทำทุกครั้ง เวลาที่เริ่มอ่านพี่ไม่ได้เน้นอย่างจัดตารางอ่านหนังสือ(เพราะเป็นคนที่ชอบ แหกกฎ^^") พี่รู้ตัวว่าพี่ทำตามตารางไม่ได้หรอก เสียเวลาทำด้วย แต่พี่มีวินัยกับตัวเองที่ว่า ถ้าอ่านแล้วต้องอ่านจริงๆนะ พี่กำหนดรางวัลและบทลงโทษให้ตัวเอง บนโต๊ะพี่เขียนติดโพสอิทแปะไว้ ด่าตัวเอง "อย่าให้มันเป็นแค่เพียงคำพูดที่สวยหรูสิ...พูดแล้วต้องทำให้ได้" หรือให้กำลังใจ "เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย ดังนั้นลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"อันหลังเป็นคำพูดของขงเบ้ง(สามก๊ก) พี่ค่อนข้างเชื่อนะ เพราะพี่เป็นคนที่ไม่ค่อยมีดวงเท่าไร แบบไม่อ่านหนังสือเลย คะแนนมันก็ออกมาตามผลการกระทำนั่นแหละ แต่ถ้าอ่านไปบ้าง เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจ ถึงมั่วบ้างคะแนนก็ออกมาใช้ได้ แล้วถามว่าพี่ใช้เวลาช่วงไหนอ่านบ้าง...อันที่จริงก็ไม่มีตายตัวนะ วันไปเรียนปกติก่อนละกัน พี่ลองทำไอ้ที่รุ่นพี่เขาบอกว่าดีมาหมดแล้ว อย่างบางคนก็บอกว่า หลับ4ทุ่ม ตื่นมาตี4อ่านหนังสือ(สำหรับเด็กตจว.แล้วเป็นปกติที่จะตื่น7โมงน้องที่อยู่ กรุงเทพไม่ต้องแปลกใจ- -)พี่ทำอยู่ช่วงหนึ่ง จนเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ละ อ่านตอนเช้าหิวก็หิว แถมสมองยังตื่นไม่เต็มที่อีกด้วย พี่ก็เปลี่ยน กินข้าวเย็น+แปรงฟันเสร็จประมาณ6โมงก็เริ่มอ่าน จน2ทุ่มอาบน้ำ+พัก 3ทุ่มอ่านต่อถึงเที่ยงคืน แล้วก็หลับ ตื่นเช้ามา 6โมง อาบน้ำแต่งตัวไรเสร็จ6ครึ่ง อ่านต่อ 7โมง15ทานข้าวแล้วไปโรงเรียน ส่วนวันหยุด...ตื่นมาทำไรเสร็จก็อ่านเลย มีพักกินข้าวเที่ยง พักเล่นบ้าง15-30นาที แล้วแต่ เรียกได้ว่าอ่านทั้งวัน ถ้าไม่มีงาน น้องจะเห็นว่า ตารางเวลาพี่ มันจะไม่เหมาะกับน้องเลย ถ้าน้องเป็นเด็กกรุงเทพฯ ที่ต้องตื่นแต่ตี4เป็นปกติอยู่แล้วเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน เพราะฉะนั้นพี่ถึงบอกแล้วว่า เราต้องปรับตัวเอง ต้องรู้ตัวเอง ต้องสอนตัวเองทุกวัน เราโตขึ้นทุกวัน เราต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองในอนาคต ระเบียบวินัยการอ่านหนังสือแค่นี้เราวางเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช สำหรับเด็กตจว.อยากลองแบบพี่ก็ได้ แต่เด็กกรุงเทพ ในเมื่อน้องเสียเปรียบตรงที่ว่า เสียเวลาในการเดินทางไปเรียนนาน ดังนั้นน้องควรอ่านหนังสือในรถไปด้วยตอนที่รถติดไฟแดงหรือเคลือนไปช้าๆ จะได้ดึงส่วนของเวลาที่เสียไปกลับมา แต่ต้องระวังถ้ารถสั่นมากหรือแสงน้อยอย่าอ่านเพราะสายตาเสีย อีกเรื่องที่น้องมักจะประสบปัญหากันคือเรื่องการบ้านและกิจกรรมที่โรงเรียน แล้วมันจะมีเด็กอยู่สองประเภทคือ 1.พวกที่ไม่อ่านหนังสือทำงานให้เสร็จก่อน 2.พวกที่อ่านแต่หนังสือไม่ทำงาน พี่บอกได้เลยว่าพี่เป็นประเภทที่1 คือพี่คิดว่าเวลาเราทำการบ้านเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ความรู้ เราก็ได้ความรู้แต่อยู่ในรูปแบบงานที่ต่างออกไปเท่านั้นเอง คือพี่ไม่ได้ว่าประเภทที่2นะ พี่ก็เข้าใจอยู่ว่า ไหนๆก็จะจบม.6แล้ว ถ้าติดรับตรงไป เกรดก็ไม่เห็นต้องไปแคร์เลย ซึ่งจริงๆพี่เองก็เห็นด้วย แต่พี่ก็ดันแคร์=_=" เพราะพี่คิดว่า ไหนๆก็ปีสุดท้ายของม.ปลายแล้ว ทำอะไรให้มันสุดๆของชีวิตสักครั้ง งานก็เอา กิจกรรมก็เอาบ้าง หนังสือก็อ่าน บางกิจกรรมเราเลี่ยงไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะงานห้องเนี่ย ม.6มักจะไม่ค่อยสนใจกัน มักจะคิดว่าเออ งานห้องเดี๋ยวก็มีคนทำเอง หารู้ไม่ว่าทุกคนดันคิดแบบเดียวกันหมด....เพราะงั้นไม่ใช่แค่ตัวเองจะเอนท์ คนอื่นก็เอนท์ด้วย พี่เชื่อว่าคนทำดียังไงก็ต้องได้ดี มันไม่ใช่แค่ว่าเราเครียดคนเดียว คนอื่นเขาก็เป็น เห็นใจกันให้มากๆ แล้วน้องจะพบว่าความเห็นแก่ตัวของเราจะลดลง งานมีถ้าช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เดี๋ยวมันก็เสร็จ งานเสร็จทุกคนก็ไปรับผิดชอบตัวเองต่อแล้ว น้องอยากเป็นแบบไหนน้องก็เลือกเอาละกันนะ.... โดยส่วนตัวพี่เป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัยในการอ่านหนังสือเท่าไร=_=// เลยแนะนำไม่ค่อยจะถูก แต่พี่จะบอกวิธีทำของพี่ละกัน 1.เอาหนังสือ ชีท ทุกอย่าง ที่เรียนพิเศษหรือในโรงเรียนที่ดูมีประโยชน์ต่อการเพิ่มความรู้อันน้อยนิดใน หัวให้มากขึ้น ออกมาจัดเรียงเป็นวิชา แล้วก็เรียงตั้งแต่ ม.4-ม.6 2.รื้อตู้หนังสือจัดใหม่ l ไทย+สังคม l เคมี l ชีวะ l ข้อสอบ l อังกฤษ l คณิต l 3.ส่วนตัวพี่ชอบชีวะ พี่เริ่มอ่านชีวะก่อน เพราะพื้นฐานชีวะพี่แน่นกว่าวิชาอื่น แนะนำน้องที่กำลังหัวปั่น วิชานั้นก็ต้องอ่าน วิชานี้ก็ต้องอ่าน พี่อยากให้น้องสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วค่อยมองว่าน้องพิจารณาว่าชอบวิชาอะไร แต่! มันจะมีประเภทที่ว่า พี่เค๊อะ~ หนูถนัดวิชางานบ้านอ่ะค่ะ....~ หรือ พี่ครับ ผมไม่ถนัดซักวิชาอ่ะ << =_= งี้พี่ก็ช่วยน้องไม่ได้นะคะ ตัวใครตัวมันละ ยังไงก็ต้องเริ่มอ่านซักวิชา เอาที่เกลียดน้อยที่สุดก็ได้ 4.อ่านทุกวัน ให้มันสม่ำเสมอ แรกๆ น้องจะขี้เกียจ โอ๊ย!~ อ่านตั้ง 15 นาทีแล้ว ไปพักเล่นเฟซบุ๊คดีกว่า << แบบนี้ห้ามนะน้อง- - วันแรกพยายามเริ่มต้นให้มันนานหน่อย สัก 1 ชม. แล้วน้องก็ตั้งรางวัลกับตัวเอง ถ้าฉันตั้งใจอ่านครบ1ชม.นี้ เดี๋ยวจะให้พักเล่นครึ่งชม. (โคตรคุ้ม^^~) แต่น้องต้องตั้งใจจริงๆนะ ไม่ใช่มัวแต่ไปมองเวลา เมื่อไรจะ1ชม.ว้า~ หรือนั่งคิดว่า เดี๋ยวตอนพักจะเล่นไรดี คุยโทรศัพท์กับแฟน ไรงี้ ห้ามทำเด็ดขาด- - แน่นอนว่ามีรางวัล.....เราต้องมีบทลงโทษ หึหึหึ -,.....,-+ ถ้าพี่ว่อกแว่ก ไม่ยอมอ่านหนังสือ พี่จะลงโทษตัวเองโดยการอดเล่นคอมไปในวันนั้น ห้ามมีข้ออ้างใดๆ ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ ยกเว้นงานกลุ่มที่มันทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนด้วย หลังๆน้องจะอ่านจนติดไปเอง ชนิดที่ว่า ไม่ได้อ่านแล้วรู้สึกอะไรมันขาดๆไป.... >>ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะอ่านหนังสือ 1.ยอดฮิตมาก! อ่านแล้วหลับ.... : ถามว่าพี่เป็นรึเปล่า? พี่ก็เป็น วันไปโรงเรียนปกติ พี่อ่านตั้งแต่อาบน้ำเสร็จก็2ทุ่ม - เที่ยงคืน อาบน้ำตอนแรกมันยังไม่ง่วงหรอก ผ่านไปสักพักจะเริ่มง่วง วิธีแรก ตบหน้าตัวเองเบาๆ พอเรียกสติ ไปสักพักเริ่มไม่ไหว ลุกเดินไปล้างหน้า กลับมาอ่านต่อ ขั้นสุดท้ายรู้สึกสมองล้าไม่ไหวแล้ว ใช้งานมันหนักทั้งวัน ให้หลับตา ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือ ให้เอาแขนมาเท้าคางไว้ ห้ามฟุบกับโต๊ะเด็ดขาด เพราะมันจะหลับไปจริงๆ=_= แล้วน้องก็ปล่อยให้ตัวเองเคลิ้มๆสะลึมสะลือ จนถึงจุดที่คิดว่าตัวเองใกล้จะหลับแล้ว ให้กระชากตัวเองออกมาจากภวังค์อย่างเร็วๆ อาจจะเอาแขนลงทันที (ระวังหน้าอย่ากระแทกกับโต๊ะก่อนล่ะ) น้องจะงงๆก๊งๆนิดหน่อย แต่จะรู้สึกสดชื่นขึ้น เพราะสมองน้องได้หลับไปนิดหนึ่งแล้ว เริ่มอ่านต่อได้ 2.อ่านแล้วไม่เข้าหัว : ไม่ใช่อ่านแล้วไม่เข้าใจนะ แต่อ่านแล้วไม่เข้าหัวคือเกิดอาการที่ว่า...ขณะนั้นในหัวกำลังคิดฟุ้งซ่าน อยู่ หลายๆเรื่องผสมปนเปกัน เช่น กังวลว่าจะอ่านทันไหม? เมื่อกี้ข่าวสึนามิว่าไงบ้างมันจะบอกข้อสอบสังคมไหมว้า? แฟนทำตัวห่างเหินหรือว่ามีกิ๊ก? นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องอ่านไม่เข้าหัว ก็เล่นให้สมองคิดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วเอาจะส่วนไหนมาทำความเข้าใจเนื้อหา เพราะงั้นขณะอ่าน ให้ตัดความคิดเรื่องพวกนี้ออกไปให้หมด โฟกัสสายตาไปที่ตัวหนังสือ ไม่ใช่ว่าเพ่งนะ แต่โฟกัสจ้องไปที่มันเฉยๆ ถ้ายังไม่เลิกคิดให้อ่านเนื้อหาดังๆ สักพักจะดึงตัวเองกลับมาสนใจเนื้อหาได้ พอดึงได้ปุ๊ป รีบฉวยโอกาสนี้ อ่านแล้วตั้งคำถามว่า เมื่อกี้เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน คิดคำถามให้ตัวเอง (สมมุติตัวเองเป็นครูแล้วจะออกข้อสอบให้นักเรียน)เหมือนเก็งข้อสอบไปในตัว ว่า น่าจะออกแนวนี้ 3.อ่านแล้วไม่เข้าใจ : สูตรนี้มันมาจากไหน? พิสูจน์ยังไง เหตุผลคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ขั้นแรกของพี่คือ เปิดอินเตอร์เน็ต เสิร์ชเลย แต่ข้อมูลมันจะกระจายเป็นวงกว้าง บางทีไม่มีคนย่อยข้อมูลให้เราเหมือนที่เรียนพิเศษ เราต้องนั่งเก็บรายละเอียดเอง ซึ่งจะช้า แต่ถ้าน้องเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ น้องจะพบว่า น้องลิ้งเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้าหากันได้หมด ถ้ามีความรู้ตัวนี้ พอคิดลิ้งได้ ก็จะเริ่มสนุกกับการคิดแล้วทีนี้ แต่ถ้าพี่หายังไงก็ไม่เจอ หรือเริ่มอารมณ์เสียกับข้อมูลที่มากและไม่ตรงคำถามพี่ พี่ก็จะจดใส่กระดาษไว้ แล้วไปถามครูที่โรงเรียน ครูที่โรงเรียนน้องอย่าไปดูถูกว่าไม่เก่งเท่าครูที่เรียนพิเศษนะ บางทีท่านแค่ถ่ายทอดให้คนส่วนมากฟังไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง แต่ท่านก็เก่ง เพราะจบจากสาขาวิชาที่ท่านถนัด น้องเข้าไปหาท่านเถอะ แม้ว่าท่านจะดุ แต่สำหรับถ้าเป็นครู พี่ชอบนะ เด็กที่ตั้งใจใฝ่หาความรู้นอกห้องเรียน แต่ถ้าน้องบังเอิญเจอครูที่ยกอารมณ์เหนือเหตุผล น้องก็พยายามเลียงไปหาครูท่านอื่นละกัน อย่าไปหาเรื่องอะไรเลย เพราะคนที่เสียเปรียบมีแต่เรา ถ้าน้องเจอแบบนี้ พี่อยากให้น้องเก็บไว้เป็นบทเรียนชีวิตมากกว่าว่า เออ นี่นะ เราไม่ชอบผู้ใหญ่แบบนี้ โตขึ้นเราจะไม่เป็นแบบนี้นะ เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆรุ่นต่อไป ให้เขานับถือเราด้วยความรู้และความสามารถที่เรามี ไม่ใช่เคารพเพียงเพราะอาวุโสของเราเท่านั้น >>>หนังสือแต่ละวิชาที่พี่อ่าน ชีวะ : พี่อ่านหนังสือของหมอพิชญ์ทั้งหมด (^^โปรโมตๆ แต่ไม่เห็นจะได้แคมเบลเลยอ่ะ555+) ตอนพี่เรียนมันยังเป็น5เล่มจบอยู่ เดี๋ยวนี้เป็น6เล่มจบแล้วนี่นะ พี่เรียน5เล่มนี้ก็ไม่เรียนคอร์สเอนฯแล้ว แล้วก็ไปตั้งใจเรียนในห้อง + ทำแบบฝึกหัดมากๆ นอกจากเรียนพิเศษกับหมอพิชญ์ พี่ยังเรียนพิเศษกับอาจารย์ในโรงเรียนพี่อีกด้วย ซึ่งอาจารย์เป็นคนที่ความรู้แน่นปึกมากๆ ฮาร์ดคอดีพี่ชอบ(ซาดิสม์555+ล้อเล่นๆ) ด้วยความชอบบวกกับทบทวนเยอะ ทำให้พื้นฐานพี่แน่น ตอนทำข้อสอบอ่านแล้วกาได้เลย แทบไม่เสียเวลา จะได้เก็บเวลาไปทำฟิสิกส์กับเคมีเยอะๆ ถามว่าพี่ทวนมากแค่ไหน....ชีวะพี่เริ่มตั้งแต่ม.4แล้ว อ่านทวน รวมทั้งจดสรุปย่อดึงเนื้อหาออกจากหนังสือ ถามว่าเปิดหนังสือมั้ย เปิดนะ=_=a เพราะพี่ไม่เก่งขนาดที่ว่าปิดหนังสือเขียนได้ ถ้าให้ปิดก็ได้ แต่พี่ไม่มั่นใจว่ามันจะถูกชัวร์รึเปล่า พี่จดออกมารอบหนึ่ง แล้วมานั่งอ่านที่ตัวเองจดอีกรอบ หนังสือที่พี่ลอกออกมาก็คือหนังสือ 5 เล่มของหมอพิชญ์ เสริมส่วนที่หมอพิชญ์ขาดไปแต่อาจารย์พี่สอน ทำให้มันดูสมบูรณ์ขึ้น เคมี : ตอนนั้นพี่โง่เคมีมาก ชนิดที่ว่า คำนวณปริมาณสารไม่เป็นอ่ะน้อง - - สูตรอะไรพี่ไม่รู้เรื่องเลย เพราะพี่แอนตี้เคมีตั้งม.4 ปิดเทอมซัมเมอร์พี่ทุ่มให้คอร์สเดียวเลยคือคอร์สเอนฯ อ.อุ๊ ตอนที่ทำการบ้านนะน้องเอ๊ยยย ไม่อยากจะบอก น้ำตาพี่งี้แทบไหล ทำไม่ได้เลยอ่ะ โมโหตัวเองด้วยที่ว่าตอนนั้นทำไมไม่ตั้งใจเรียน แต่พี่ก็ทำจนเสร็จนะ ทำไม่ได้ก็มั่วไป พยายามทำนั่นแหละ จนมันเสร็จ ตอนนั้นจำได้เลยว่า การบ้านปริมาณสารนั่งทำตั้งแต่5โมงเย็น-ตี1 =_=" เป็นอะไรที่พี่เข็ดมาก พอจบคอร์ส เหมือนกับว่า เคมีมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ เพียงแค่เราทุ่มเทและตั้งใจกับมันมากแค่ไหน พอพี่เริ่มคิดบวกกับวิชาที่แอนตี้ ตอนที่พี่ท้อในการเรียนพี่ก็คิดแบบนี้ เรายังตั้งใจไม่พอ แค่นี้เอง เราต้องทำได้สิ นอกจากอ่านของอ.อุ๊แล้ว พี่ก็ทำข้อสอบ15พศ.ด้วย แต่ทำไม่หมด =_=" แบบว่าไม่ทัน แหะๆ คณิต(เลข) : พี่ก็ชอบคำนวณนะ แต่ไม่ชอบแบบพวกโคนิคอ่ะ วงกลม วงรีไรเงี้ย เกลียดมาก แต่พี่ชอบพวก แคลฯ ฟังก์ชัน ตรีโกณ แบบนี้มากกว่า มันก็แล้วแต่คนนะน้อง แต่พี่ศิษย์สำนักเดอะเบรน 55+ แต่ไม่ว่าน้องจะเรียนที่ไหน น้องเก็บความรู้ได้เท่าไร มันขึ้นอยู่กับว่าน้องตั้งใจกับมันแค่ไหน ฟังเสียงมันแค่ไหน บทที่พี่ไม่ชอบพี่ก็พอทำให้เอาตัวรอดไปได้ เลขพี่อ่าน 5 เล่ม คอร์สเอนฯเดอะเบรนเช่นกัน + ทำโจทย์ที่พี่ๆให้เป็นการบ้าน อังกฤษ : พี่เรียนenconceptงับ เนื่องจากครูสมศรีไม่เคยมาเปิดเชียงราย เลยไม่เคยเรียน=_= อย่าถามว่าเรียนที่ไหนดีกว่า เพราะพี่ก็ตอบไม่ได้ นอกจากอ่านของพี่แนนแล้วพี่ก็ทำ Ax22 ทำไม่หมดเหมือนกัน แต่ทำไปได้เยอะอยู่นะ ก็ถึงเอนท์ของปี48อ่ะ ตอนทำ ไม่ใช่แค่ทำแล้วตรวจตามเฉลยนะ เฉลยแล้วก็เขียนศัพท์ที่เราไม่รู้ลงในเทสด้วย (หนังสือเรานี่ อยากเขียนไรก็ได้ ใครจะทำไม! 555+<< เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งหมั่นไส้พี่55+) ความถี่ในการทำข้อสอบก็แล้วแต่อารมณ์=_= (นิสัยไม่ดีเลยเนอะ อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะ^^") แต่ก่อนทำบทถัดไป กี่ก็นั่งอ่านที่ตัวเองจดไว้ พวกศัพท์ พลิกตั้งแต่หน้าแรก-หน้าที่จะทำอ่ะ ฟิสิกส์ : เอ่อ....เรื่องนี้น่าอายมาก 555+ เพราะพี่อ่านไม่ทันT^T พี่เลยจำเป็นต้องทิ้ง แต่พี่ตั้งใจเรียนในห้องอยู่แล้วนะ!! เลยได้ตั้งบทหนึ่ง ><" บทการเคลื่อนที่ง่ะ 55+ แต่พี่ไม่แนะนำให้น้องทิ้งนะคะ ถึงแม้ว่าหมอจะไม่ต้องใช้ฟิสิกส์ แต่น้องก็ต้องเรียนตอนปี1อยู่นะ แถมตอนสอบเข้า คะแนนฟิสิกส์จะเป็นตัวช่วยดึงวิชาอื่นๆด้วย เพราะงั้นตั้งใจอ่านนะ แล้วก็ต้องตั้งใจเรียนในห้องด้วย ไทย : ปกติพี่ไม่เรียนพิเศษไทย เพราะพี่ถือว่าเป็นคนไทย ภาษาบ้านเกิดเราเองแท้ๆ ยังเรียนให้ดีไม่ได้ แล้วจะไปเรียนภาษาอะไรได้ดี - - ภาษาไทยไม่ได้ยากเลย ถ้าน้องตั้งใจเรียนในห้อง ทำโจทย์บ่อยๆ เรื่องที่พี่แนะนำให้เก็บอย่างแรง และทำความเข้าใจกับมันให้เยอะๆคือ พวกรสในวรรณคดี ถ้าน้องมองตัวนี้ทะลุปรุโปร่งน้องจะสบายขึ้นเป็นกอง แต่แน่นอนพี่เริ่มด้วยคำว่าปกติไม่เรียน....แปลว่าพี่ก็เรียนไงสุดท้าย5555+ พี่ไปติวโควตาภาษาไทยกับอาจารย์ธตรฐ(ชื่ออาจารย์อ่านว่า ทะ-ตะ-รด) ซึ่งถ้าไม่เรียนพี่คงไม่ได้มากกว่านี้=_=" พวกคำ ครุ ลหุ พี่ไม่รู้เรื่องเลย แต่พอไปจำเทคนิคของอาจารย์ ทำให้ทำพวกนี้ได้ทันที ครุ = เสียงหนัก มีตัวสะกด สระเสียงยาว เช่น คุณครู ลหุ = เสียงเบา ไม่มีตัวสะกด สระเสียงสั้น เช่น คะ ค่ะ อ้อ! มีอีกเรื่องที่น้องๆมักจะใช้ผิดกันเยอะ สมัยนี้=_= เรื่อง ค่ะ กับ คะ ง่ายมากวิธีแก้ น้องลองออกเสียงตามสิ ค่ะ น้องจะรู้สึกเสียงมันต่ำใช่ไหม ลองนึกดู เวลาเราพูดเสียงต่ำเราพูดตอนไหน? ปิ๊งป่อง! ตอนที่ใช้รับคำใช่ป่ะ อย่างเช่น พี่ถามว่า ทำอะไรอยู่ น้องตอบ ทำใจค่ะ ส่วนคำว่าคะ ลองออกเสียงดู เสียงมันจะสูง เวลาน้องใช้เสียงสูงเนี่ย น้องลงท้ายตอนไหน? น้องจะใช้ตอนที่เป็นคำถามถูกไหม? เช่น ทำอะไรอยู่คะ ช่วยไหมคะ ถ้าไม่อยากให้ผิด เวลาพิมพ์หรือเวลาเขียน ให้ลองออกเสียงในใจก่อน แล้วสื่อออกมามันจะไม่ผิดเพี้ยน สังคม : พี่ก็โง่สังคมเช่นกัน= =" แต่...ม.6พี่ตั้งใจเรียนในห้องเพราะชอบประวัติศาสตร์ ม.6น้องจะได้เรียนประวัติศาสตร์สากล ใครอ่านมาเยอะก่อน ได้เปรียบก็โชคดีไป แต่จริงๆแล้วพี่ต้องขอบคุณอาจารย์สุนิดามากๆ เพราะถ้าพี่ไม่ได้ท่านสอนเนี่ย พี่คงคะแนนไม่ผ่านครึ่งแน่นอน น่าเสียดายที่พี่มาเรียนช้าไปหน่อย คือเรียนตอนม.6เทอมสอง ถ้าเรียนตั้งแต่เทอม1คะแนนคงจะดีกว่านี้ พี่ก็อ่านชีทที่อ.ให้ แล้วก็ตั้งใจเรียนในห้อง   โดย P.Kla ที่มา http://www.unigang.com/Article/6426  
10 อาชีพที่เครียดที่สุดในปี 2554
คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันโลก ของเรามีปัญหารุมเร้ามากมาย เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2011 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม พายุฝนตก หิมะตกหนัก โลกร้อน ฯลฯ ซึ่งจากการที่หลายพื้นที่ หลายประเทศต้องประสบปัญหาทางภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ มลพิษทางอากาศ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังประสบในขณะนี้ หลายประเทศรายได้ของคนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงต่ออาชีพในอนาคต แต่ค่าครองชีพกลับพุ่งสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความเครียด ทั้งนี้ ผลการสำรวจล่าสุดของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกมายืนยันแล้วว่า ลูกจ้างกว่า 70% กล่าวว่า งานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาเกิดความเครียด สำหรับการสำรวจภาพรวมของอาชีพต่าง ๆ รวม 200 อาชีพของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า 10 อาชีพที่สร้างความเครียดได้มากที่สุดในปี 2011 นี้ มีดังนี้ 1. นักบิน อันดับความเครียด 199 คะแนน 59.53 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 91 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 9 รายได้ต่อปี $106,153.00 นักบินของสายการบินพาณิชย์ต่าง ๆ มีระดับความเครียดสูง เนื่องจากพวกเขาจะต้องรับรองความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายชีวิตในแต่ละเที่ยวบิน อีกทั้งยังต้องทำงานภายใต้ระยะเวลาที่เข้มงวด เนื่องจากพวกเขาต้องนำเครื่องบินลงสู่ที่หมายให้ตรงตามเวลาไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นใดก็ตาม 2. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ อันดับความเครียด 198 คะแนน 47.60 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 111 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 9 รายได้ต่อปี $90,160.00 เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทให้ดีต่อหน้าสาธารณชน และยังต้องคอยนำเสนองานต่าง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ 3. ผู้บริหารระดับสูง อันดับความเครียด 197 คะแนน 47.41 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 143 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 11 รายได้ต่อปี $161,141.00 ผู้บริหารระดับสูงจะต้องมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการต่าง ๆ ภายในบริษัท ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสามารถประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ได้โดยตรง ผู้บริหารระดับสูงนี้มักจะถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และมีทัศนวิสัยกว้างไกล มองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้าน นอกจากนี้พวกเขายังต้องเผชิญความเครียดเนื่องจากเขาเป็นผู้ชี้ชะตาของบริษัท หากตัดสินใจผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้บริษัทถึงกับล้มละลายได้ภายในพริบตา 4. ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์ อันดับความเครียด 196 คะแนน 47.09 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 113 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท รายได้ต่อปี $40,209.00 ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์จะต้องรู้จักจับภาพจากเรื่องราวต่าง ๆ ให้ปะติดปะต่อสอดคล้อง และเน้นจุดสำคัญให้ได้โดยผ่านเลนส์ และในบางครั้งพวกเขาก็ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้ข่าวมาเนื่องจากความอันตรายของพื้นที่ที่ทำข่าวแล้ว ยังมีกำหนดเวลาส่งงานที่เข้มงวด และปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในบางครั้ง 5. ผู้สื่อข่าว อันดับความเครียด 190 คะแนน 43.56 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 129 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 8 รายได้ต่อปี $50,456.00 ผู้สื่อข่าวจะต้องเตรียมข่าว และถ่ายทอดข่าวออกอากาศให้กับผู้ชมทางโทรทัศน์ โดยปกติพวกเขาจะต้องถ่ายทอดข่าวแต่ละวันจากสตูดิโอ แต่บางครั้งก็ต้องออกภาคสนามเช่นกัน ซึ่งใน 24 ชั่วโมง มีข่าวต่าง ๆ มากมายเข้ามาเรื่อย ๆ จึงทำให้พวกเขาค่อย ๆ สะสมความเครียดเข้าไป นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูงจากการหาข่าวแข่งกับที่อื่น ๆ และต้องอัพเดทข่าวให้เร็วที่สุด 6. เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชี อันดับความเครียด 189 คะแนน 41.05 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 135 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 9.5 รายได้ต่อปี $62,105.00 เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีจะเป็นผู้ดูแลบัญชีของบริษัท ซึ่งพวกเขาจะต้องใช้สมองอย่างหนักในการคำนวณเลขมากมายให้ถูกต้องแม่นยำ พิจารณารายละเอียด และทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลาอย่างเข้มงวด ดังนั้นจึงส่งผลให้พวกเขาเกิดภาวะกดดันทางอารมณ์และมีอาการเครียดเรื้อรังตามมาได้ 7. สถาปนิก อันดับความเครียด 185 คะแนน 39.93 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 88 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 8+ รายได้ต่อปี $73,193.00 สถาปนิกจะต้องวางแผน ออกแบบ และควบคุมตรวจตราโครงสร้างของอาคารที่พักต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำก่อนจะส่งให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างต่อไป ดังนั้นสถาปนิกจึงต้องจัดการกับความเครียดและความกดดันจากการออกแบบวางแผนเพื่อไม่ให้งานเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้เลย 8. นายหน้าค้าหุ้น อันดับความเครียด 184 คะแนน 39.70 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 98 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 8 รายได้ต่อปี $67,470.00 นายหน้าค้าหุ้นจะช่วยให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นทำได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น และพวกเขาต้องคอยเกาะติดกับความผันผวนของหุ้นแต่ละตัวซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นความเครียดของพวกเขาก็ผันผวนตามการขึ้นลงของหุ้นในตลาดเช่นเดียวกัน 9. เวชกิจฉุกเฉิน (EMT) อันดับความเครียด 183 คะแนน 39.68 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 100 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่ รายได้ต่อปี $30,168.00 เวชกิจฉุกเฉิน(EMT) คือ เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุและภัยพิบัติในสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในมือพวกเขาในทันการในการนำผู้ป่วยจากที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาล อีกทั้งเวลาการทำงานไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการแจ้งเหตุของผู้ป่วย 10. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ อันดับความเครียด 181 คะแนน 38.57 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 31 จาก 200 จำนวนชั่วโมงทำงาน 9.5 รายได้ต่อปี $40,357.00 นายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พวกเขาจะต้องทำงานอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ และทำงานที่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจโดยต้องคอยเปิดตัวอย่างบ้านให้กับลูกค้าดูทีละราย นอกจากนี้จากสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ บวกกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันของธุรกิจนี้อย่างสูง ดังนั้นอาชีพนี้จึงสร้างความเครียดให้กับพวกเขาได้ไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในชีวิตการทำงานทุกอาชีพก็ล้วนมีความเครียดด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะรับมือและแก้ไขปัญหากับงานที่เราทำ และเราแฮปปี้แค่ไหนกับงานที่ทำ หากเรารักงาน รักในอาชีพ ต่อให้งานหนัก หรือเครียดแค่ไหนรับรองผ่านไปได้แน่นอน ที่มา http://hilight.kapook.com/view/58301
ข้อควรรู้ในการเลือกตั้ง 2554
  ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของคนไทยทุกคนที่ต้องปฏิบัติ เพื่อมอบอำนาจอธิปไตยของเราให้กับผู้แทนราษฎร เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนเราในสภา รักษาผลประโยชน์ และบริหารประเทศของเรา ดังนั้นการเลือกตั้งจึงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ และต่อตัวเราชาวไทยมาก จึงขอเชิญชวนผู้ที่มีสิทธิไปใช้สิทธิของตัวเอง เลือกผู้แทนที่ดีเข้าสภา … ว่าแต่การเลือกตั้งต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือตรวจสอบรายชื่อเขตเลือกตั้งที่ไหน อย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลในการเลือกตั้งมาฝากกันค่ะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. นั้น เป็นตัวแทนของประชาชน ที่เข้าไปทำหน้าที่ ออกกฎหมาย และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา โดยในการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะต้องมี ส.ส. มีจำนวน 500 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง 2 แบบ คือ ส.ส. แบบแบ่งเขต เป็นการเลือกตั้งจาก 375 เขตทั่วประเทศ โดยในแต่ละเขตจะเลือกผู้สมัครที่มีคะแนนสูงสุด ให้เป็น ส.ส. โดยจะมี ส.ส. ทั้งสิ้นจำนวน 375 คน ส.ส.แบบสัดส่วน หรือ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นการเลือกตั้งโดยทางพรรคการเมืองนั้น ๆ จะส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ไว้เพียงบัญชีเดียว เรียงลำดับไม่จำนวนไม่เกิน 125 รายชื่อ ซึ่งการเลือกตั้งแบบนี้ หมายถึงทั้งประเทศ จะมีผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อชุดเดียวกัน มีทั้งสิ้นจำนวน 125 คน สำหรับหน้าที่ของ สมาชิกสภาผู้แทนราฎร มีดังต่อไปนี้ - ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน - เป็นผู้เลือก ส.ส. ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี - ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน - จัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาประเทศ - นำปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนเสนอรัฐบาล คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง - สัญชาติไทย หรือผู้มีสัญชาติไทยโดยได้แปลงสัญชาติมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง ในปีนี้ถึงว่า ต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบรูณ์ภายในวันที่ 1 มกราคม 2553 - มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง ลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง - ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช - อยู่ในระหว่างถูกเพิงถอนสิทธิการเลือกตั้ง - ต้องคุมขังโดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย - วิกลจริต จิตฟั่นเฟือน หรือไม่สมประกอบ การเตรียมตัวในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การตรวจสอบรายชื่อ - ตรวจสอบรายชื่อจากบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 20 วันก่อนวันเลือกตั้ง ที่ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการเขต ที่ทำการ อบต. สำนักงานเทศบาล ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หรือเขตชุมชน - ตรวจสอบรายชื่อจากบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 15 วันก่อนวันเลือกตั้ง จากหนังสือแจ้งเจ้าบ้าน (ส.ส.12) ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่พบชื่อของตนเองในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้แจ้งทะเบียนนายอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น โดยนำหลักฐานสำเนาทะเบียนบ้าน และบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวอื่นใดที่ทางราชการออกให้มาแสดงด้วย หลักฐานที่ใช้ในการเลือกตั้ง - บัตรประชาชน (บัตรที่หมดอายุก็ใช้ได้) - บัตรหรือหลักฐานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐออกให้มีรูปถ่ายและหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน เช่น - บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ - ใบขับขี่ - หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) การแจ้งเหตุที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ได้ สำหรับผู้ที่มีเหตุทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ได้ ต้องทำหนังสือชี้แจงเหตุ ส.ส. 28 ก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน โดยระบุเลขประจำตัวประชาชนและที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นด้วยตนเอง มอบหมายผู้อื่นหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ผู้ที่มีเหตุทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ได้ - ผู้มีธุรกิจจำเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล - ผู้ป่วยและไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ - ผู้พิการหรือผู้สูงอายุและไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ - ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร - ผู้มีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร - ผู้ประสบเหตุสุดวิสัย เช่น อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ การเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด สำหรับผู้ที่ทำงานหรืออาศัยอยู่คนละจังหวัดกับทะเบียนบ้าน หรือผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านปัจจุบันไม่ถึง 90 วัน สามารถไปลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนวันเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลางของจังหวัดที่ท่านทำงานหรืออาศัยอยู่ได้ แต่ต้องยืนคำขอลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง ต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น ก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 30 วัน การเลือกตั้งในเขตจังหวัด สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านตามทะเบียนบ้าน แต่ในวันเลือกตั้งต้องเดินทางออกนอกเขต ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ก็สามารถไปแสดงตนเพื่อขอลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนวันเลือกตั้งได้ (การเลือกตั้งล่วงหน้า) ณ ที่เลือกตั้งกลางในเขตเลือกตั้งที่ตนมีสิทธิเลือกตั้ง โดยไม่ต้องยื่นคำขอลงทะเบียนแต่ต้องแจ้งขอใช้สิทธิดังกล่าวต่อ กกต.เขต การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่ต่างประเทศ ต้องขอลงทะเบียนใช้สิทธินอกราชอาณาจักรก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 30 วัน (ภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2554) และไปลงคะแนนล่วงหน้า ระหว่างวันที่ 17 - 26 มิถุนายน 2554 ณ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล หรือลงคะแนนทางไปรษณีย์ ตามที่สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลกำหนด ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มีดังต่อไปนี้ - ห้ามซื้อเสียง หรือจัดเตรียมซื้อเสียง - ห้ามรับเงินและประโยชน์อื่นใด เพื่อลงคะแนนเลือกตั้ง - ห้ามส่งเสียง และห้ามขายหรือจัดเลี้ยงสุรา ตั้งแต่ 18.00 น. ของวันก่อนวันเลือกตั้งจนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง - ห้ามนายจ้างขัดขวางการไปใช้สิทธิของลูกจ้าง - ห้ามขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้ง - ห้ามจัดยานพาหนะ (ยกเว้นหน่วยงานรัฐ) ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปเลือกตั้ง โดยไม่ต้องเสียค่าโดยสาร - ห้ามทำให้บัตรเลือกตั้งชำรุดอย่างจงใจ - ห้ามถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งที่ตนเองได้ลงคะแนนแล้ว ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ - ห้ามเล่นการพนันขันต่อใดๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง - ห้ามเปิดเผย หรือเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (โพลล์) ในระหว่างเวลา 7 วันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการลงคะแนนเลือกตั้ง การคัดค้านการเลือกตั้ง ผู้ที่มีประสงค์จะคัดค้านการเลือกตั้ง ต้องยื่นคัดค้านต่อ กกต. ก่อนวันประกาศผลการเลือกตั้ง หรือ ภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง กรณีเห็นว่า การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ภายใน 180 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง กรณีที่เห็นว่า ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเกินจำนวนที่ กกต. กำหนด หรือผู้สมัครไม่ยื่นบัญชีรายรับ-รายจ่าย ภายใน 90 วันหลังวันเลือกตั้ง การแจ้งเหตุเมื่อพบการทุจริต เมื่อพบเห็นการทุจริตเลือกตั้ง ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน สิ่งของ หรือมีการเรียกรับเงิน หรือทรัพย์สิน ให้ช่วยกันแจ้งเบาะแส หรือรวบรวมหลักฐานการทุจริตแจ้งต่อตำรวจในพื้นที่หรือรายงานให้ กกต. ทราบโดยด่วน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขที่ 120 ม.3 ชั้น 2 อาคารรวมหน่วยราชการ บี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพ 10210 เว็บไซต์ www.ect.go.th อีเมล์ dav@ect.go.th โทรศัพท์ หมายเลข 0-2143-8668 , 0-2141-8888 ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.ect.go.th
รู้ก่อน ได้เปรียบ ขอบเขตข้อสอบ GAT-PAT สุดเจ๋ง
สวัสดีน้องๆ^^ เวลาผ่านมาถึงครึ่งเดือนของเดือน ก.ค. แล้ว เพราะฉะนั้นก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น ที่น้องๆ จะสามารถสมัครสอบ GAT/PAT รอบเดือนตุลาคมได้ เอ้า..ใครรู้ตัวว่ายังไม่สมัครก็รีบสมัครกันได้แล้ว อย่าลืมว่ายังมีขั้นตอนการจ่ายเงินอีกนะ สำหรับน้องๆ ที่สมัครสอบเรียบร้อยแล้ว วันนี้ มีขอบเขตคร่าวๆ ของข้อสอบแต่ละฉบับมาให้ดูกัน แต่ขอบอกก่อนว่า ข้อมูลที่หยิบมาให้ดูเป็นขอบเขตของเนื้อหา GAT/PAT 1/2553 นะคะ แต่คิดว่าก็น่าจะเป็นเกณฑ์คร่าวๆ ที่ทุกๆ ปีมักจะออก พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงจากนี้มากเท่าไหร่ ดูเอาไว้จะได้เตรียมตัวอ่านหนังสือกัน     GAT ความถนัดทั่วไป ส่วนที่ 1 การอ่านเชิงวิเคราะห์ การเขียนเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ( 150 คะแนน ) ส่วนที่ 2 การสื่อสารภาษาอังกฤษ ( 150 คะแนน ) 1) Speaking and Conversation 2) Vocabulary 3) Structure and Writing 4) Reading Comprehensive ------------------------------- PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์, เซต, ระบบจำนวนจริง, ความสัมพันธ์และฟังก์ชั่น, ฟังก์ชั่นตรีโกณมิติ, เรขาคณิตวิเคราะห์, ฟังก์ชั่นเอกซ์โปเนนเชียลและฟังก์ชั่นลอการิทึม, เมทริกซ์, เวกเตอร์, จำนวนเชิงซ้อน, กำหนดการเชิงเส้น, ลำดับและอนุกรม, แคลคูลัสเบื้องต้น, การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่, ความน่าจะเป็น, การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น, การแจกแจงปกติ, ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชั่นระหว่างข้อมูล ลักษณะข้อสอบ PAT 1 จะวัดศักยภาพน้องๆ ในด้านการคิดและการแก้ปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ ------------------------------- PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ 1) เคมี เช่น อะตอม ปริมาณสารสัมพันธ์ สถานะเคมีนิวเคลียร์ สมดุลกรด เบส ไฟฟ้าเคมี ปิโตรเลียมและพอลิเมอร์ เคมีอุตสาหกรรม เคมีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 2) ชีววิทยา สิ่งแวดล้อม เช่น การดำรงชีวิตของพืชเซลล์ การดำรงชีวิตของคน สัตว์ พืช พันธุชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 3) ฟิสิกส์ เช่น การเคลื่อนที่ พลังงาน ของไหล ความร้อน ไฟฟ้า แม่เหล็ก เป็นต้น 4) โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ ลักษณะข้อสอบของ PAT 2 จะวัดศักยภาพน้องๆ ในด้านการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ แก้ปัญหาแบบนักวิทยาศาสตร์ ทักษะการอ่านบทความแบบนักวิทยาศาสตร์ และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี --------------------------------- PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ 1) กลศาสตร์ ( แรง มวล และการเคลื่อนที่ ) 2) ไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้า คลื่น แสง และเสียง 3) เคมี ( สาร และสมบัติของสาร ) 4) พลังงาน ความร้อน และของไหล 5) คณิตศาสตร์ และสถิติประยุกต์เชิงวิศวกรรม ลักษณะข้อสอบของ PAT 3 จะวัดศักยภาพน้องๆ ในด้านการคิดวิเคราะห์ ความถนัดเขิงช่าง ความคิดเชิงตรรกะ สามัญสำนึกเรื่องความปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหา และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี --------------------------------- PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ 1) ตรรกศาสตร์ และการคิดแก้ปัญหา 2) วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์พื้นฐานทางสถาปัตยกรรม 3) ความรู้ทั่วไปทางสถาปัตยกรรม ลักษณะข้อสอบ PAT 4 จะวัดศักยภาพน้องๆ ในด้าน การสื่อสารทางการออกแบบ (visual communication) มิติสัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ และการเขียนภาพสามมิติ --------------------------------- PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู ความรู้ทั่วไปในบริบทของการเป็นครู ลักษณะข้อสอบ PAT 5 จะวัดศักยภาพและความสามารถในการอ่านและการคิดวิเคราะห์ในวิชาชีพครู --------------------------------- PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ 1) ทัศนศิลป์ 2) ดนตรี 3) นาฏศิลป์ ลักษณะข้อสอบ PAT 6 จะวัดศักยภาพการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการบูรณาการ --------------------------------- PAT 7.1 ความถนัดทางด้านภาษาฝรั่งเศส 1) คำศัพท์พื้นฐาน 2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง 3) สำนวนในสถานการณ์ต่างๆ 4) วัฒนธรรมฝรั่งเศส และฝรั่งเศสปัจจุบัน 5) การออกเสียง ลักษณะข้อสอบ PAT 7.1 จะวัดศักยภาพด้านการอ่านจับใจความ ความสามารถในการตีความ ความสามารถในการขยายความและสรุปความ ความสามารถในการสื่อสาร และทักษะการเขียน --------------------------------- PAT 7.2 ความถนัดทางด้านภาษาเยอรมัน 1) คำศัพท์พื้นฐานระดับมัธยมปลาย 2) ไวยากรณ์ 3) วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ลักษณะ ข้อสอบ PAT 7.2 จะวัดศักยภาพและความสามารถในการใช้ภาษาเยอรมันในสถานการณ์ต่างๆ ได้ถูกต้องและเหมาะสม รวมไปถึงสำนวน และความสามารถในการอ่านจับใจความ การตีความ การขยายความและสรุปความ --------------------------------- PAT 7.3 ความถนัดทางด้านภาษาญี่ปุ่น 1) คำศัพท์พื้นฐาน 2) คันจิขั้นพื้นฐาน 3) ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน 4) สำนวนขั้นพื้นฐานทั่วไปในชีวิตประจำวัน 5) ญี่ปุ่นศึกษา ลักษณะข้อสอบ PAT 7.3 จะวัดศักยภาพ ความสามารถในการสื่อสาร การเขียน และการอ่าน --------------------------------- PAT 7.4 ความถนัดทางด้านภาษาจีน 1) คำศัพท์ 2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง 3) สำนวน 4) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับจีนและวัฒนธรรมจีน ลักษณะข้อสอบ PAT 7.4 จะวัดศักยภาพ ความสามารในการสื่อสาร การอ่านและการเขียน --------------------------------- PAT 7.5 ความถนัดทางด้านภาษาอาหรับ 1) ไวยากรณ์ 2) วัฒนธรรมการใช้ภาษาอาหรับ - ไทย 3) คำศัพท์ 4) ความเข้าใจภาษา ลักษณะข้อสอบ PAT 7.5 จะวัดศักยภาพ ความสามารถในการพูด อ่าน เขียน ทักษะทางภาษาอาหรับ --------------------------------- PAT 7.6 ความถนัดทางด้านภาษาบาลี 1) คำศัพท์พื้นฐาน 2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง 3) ความเข้าใจภาษา ลักษณะข้อสอบ PAT 7.6 จะวัดศักยภาพ ความสามารถในการอ่านเขียน แปลความ และความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตีความ ที่มา http://www.dek-d.com/content/admissions/25519/รู้ก่อน-ได้เปรียบ-ขอบเขตข้อสอบ-GATPAT-สุดเจ๋ง.php
5 อย่า เมื่อคุณจะนอน
• อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย • อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์ เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง • อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะคับ • อย่าที่ 4 ( สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า • อย่าที่ 5 อันนี้เหมาะกับทุกเพศเลยนะ “ อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น ” เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย … อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะคับ http://board.eduzones.com/question.php?qid=20110423130542GFtL4sG
สถิติการอ่านหนังสือของคนไทย
การพูด การอ่าน การเขียน ฟัง กริยาเหล่านี้มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันด้วยเหตุจำเป็นของเวลาที่มีขีดจำกัด จึงทำให้คนไทยห่างเหินกับการอ่านหนังสือ การศึกษาการอ่านหนังสือของคนไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรในแต่ละวัยคือ วัยเด็ก (อายุ 6-14 ปี) วัยรุ่น (อายุ 15-24 ปี)วัยทำงาน(อายุ 25-59 ปี)และผู้สูงอายุ(อายุ 60 ปีขึ้นไป)โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี พ.ศ.2546 และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2548 ที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นการสำรวจประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป สรุปประเด็นที่สำคัญดังนี้ การอ่านหนังสือของคนไทย หมายถึง การอ่านหนังสือทุกประเภทรวมทั้งตำราเรียน ตลอดจนการอ่านจากอินเทอร์เน็ต ผลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี 2546 และ 2548 พบว่าประชาชนมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 แม้ชายจะมีการอ่านหนังสือมากกว่าหญิง แต่หญิงมีอัตราการเพิ่มของการอ่านหนังสือมากกว่าชาย   ประชากรในเขตเทศบาลมีการอ่านหนังสือมากกว่าประชากรที่อยู่นอกเขตเทศบาลทั้งนี้เนื่องจากมีแหล่งบริการ ร้านจำหน่าย และร้านให้เช่าหนังสืออยู่มากกว่า เมื่อจำแนกการอ่านหนังสือของประชากรตามวัยต่างๆพบว่า ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คือร้อยละ 87.7 รองลงมาคือ วันรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน (ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ(ร้อยละ 37.4) ประเภทหนังสือที่อ่าน หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุด โดยในปี2548 มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นจากปี 2546 คิดเป็นร้อยละ 27.6 การอ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมีการอ่านลดลง จากร้อยละ 40.0 ในปี 2546 เหลือเพียงร้อยละ 34.4 ในปี 2548 นอกจากนี้หนังสือประเภทนิตยสาร วารสาร/เอกสารที่ออกเป็นประจำ ตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ก็ยังมีการอ่านลดลงเช่นกัน วัยเด็ก อ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมากที่สุด เนื่องจากยังอยู่ในวัยของการศึกษาภาคบังคับ รองลงมาคือนวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น และตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ วัยรุ่น อ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุดถึงร้อยละ 68.9 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.5 ในปี 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่วัยทำงานอ่านมากที่สุด คือ มากกว่าร้อยละ 85 ทั้งในปี 2546 และ 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่ผู้สูงอายุนิยมอ่านมากที่สุดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังมีความสนใจในการอ่านจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 0.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 1.7 ในปี 2548 สาเหตุที่ไม่อ่านหนังสือของคนไทย จากการสำรวจฯพบว่า ผู้ไม่อ่านหนังสือมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546 เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 สาเหตุหลักของการไม่อ่านหนังสือของคนไทยในทุกวัยคือ การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวี มากกว่าการอ่าน การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วัยเด็กไม่อ่านหนังสือ รองลงมาคือไม่ชอบอ่านหรือไม่สนใจอ่าน และอ่านหนังสือไม่ออก การส่งเสริมให้อ่านหนังสือ จากการสำรวจฯ ในปี 2548 เกี่ยวกับความคิดเห็นในการส่งเสริมเพื่อจูงใจให้ประชากรรักการอ่านหนังสือ พบว่าประชากรร้อยละ 31.6 เห็นว่าหนังสือควรมีราคาถูกลง และควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสในการอ่านให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชนมากยิ่งขึ้น การเลือกหนังสือที่เหมาะกับสภาพท้องถิ่นนั้นๆจะเป็นกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสนใจอ่านหนังสือ รองลงมาคือหนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ(ร้อยละ 23.7)และควรส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน(ร้อยละ 20.5) สรุป จากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากร พบว่าประชากรมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น คือจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.7 รองลงมาคือวัยรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน(ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ (ร้อยละ 37.4)การไม่อ่านหนังสือของประชากรมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 ทั้งนี้สาเหตุของการไม่อ่านหนังสือของประชากรมาจากการชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีมากกว่าการอ่าน การอ่านหนังสือนับเป็นปัจจัยและมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ การรับรู้ข่าวสารต่างๆที่ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนควรจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนรักการอ่านเพิ่มมากขึ้น ที่มา Team Content www.thaihealth.or.th
1 2 3 4 5 6 7 8 9 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา