นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 25 ต.ค.54 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอมาตรการทางการเงินเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม วงเงิน 3.25 แสนล้านบาท สำหรับ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ประกอบการรายใหญ่วงเงิน 6.5 หมื่นล้านบาท ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) 1.7 แสนล้านบาท และ ประชาชน กับผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว (หาบแร่-แผงลอย) 9 หมื่นล้านบาท
รัฐมนตรีคลัง ยืนยันว่า มาตรการทางการเงินที่ ครม.เห็นชอบนั้น สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที โดยพยายามควบคุมให้อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด แต่ก็ต้องเป็นไปตามกลไกตลาด เพื่อไม่ให้รัฐบาลมีภาระเข้าไปชดเชย และจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่ให้เกิน 3%
นายธีระชัย ชี้แจงว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่วงเงิน 6.5 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นวงเงิน ช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย แบ่งเป็น วงเงินสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบการป้องกันนิคมอุตสาหกรรม 1.5 หมื่นล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยกำหนดให้เป็นเงินกู้สำหรับนิคมอุตสาหกรรม ในการวางแนวกั้นน้ำให้ทันฤดูฝนปีหน้า
นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อเพื่อธุรกิจต่อเนื่อง วงเงินกู้ 5 หมื่นล้านบาท จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือ เจบิก ที่จะปล่อยผ่านสถาบันการเงินในประเทศไทย ให้กับผู้ประกอบการไทย หรือปล่อยกู้ให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น ที่ต้องการสภาพคล่อง เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยผู้ประกอบการไทยจะต้องมีการทำธุรกิจนำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็ยังมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่จะพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่า ให้กับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
สำหรับมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นั้น แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ การปล่อยผ่านสถาบันการเงินต่างๆ ได้รับความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทย วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันวงเงินวงเงินสินเชื่อกรณีหนี้สูญ ที่ 30% และปลอดค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปี โดยธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3% ระยะเวลา 3 ปี
อีกส่วนหนึ่งจะเป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารออมสิน 2 หมื่นล้านบาท ที่ต้องทำแมชชิ่งฟันด์กับธนาคารพาณิชย์ ปล่อยกู้ในอัตราเท่ากันอีก 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 4 หมื่นล้านบาท โดยส่วนดอกเบี้ยธนาคารออมสิน จะคิดดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี แต่เมื่อปล่อยผ่านธนาคารพาณิชย์จะคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% และ
และส่วนสุดท้ายของกลุ่มนี้ เป็นวงเงินกองทุนประกันสังคมสนับสนุนอีก 1 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ให้สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานประกันสังคม
ส่วนมาตรการสินเชื่อ เพื่อผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว เช่น กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ที่กำหนดวงเงินไว้ 9 หมื่นล้านบาทนั้น แบ่งเป็นการปล่อยกู้จากธนาคารออมสิน 2 หมื่นล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน 3 หมื่นล้านบาท ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) 3 หมื่นล้านบาท และวงเงินจากกองทุนประกันสังคมอีก 1 หมื่นล้านบาท
กำหนดรูปแบบการให้กู้ 2 แนวทาง คือ สถานประกอบการ 2 พันล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ไม่เกิน 3ปี และสมาชิกกองทุน 8 พันล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% 2 ปี เพื่อใช้ซ่อมแซมบ้านเรือน
ด้านผู้ว่าการ ธปท. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กล่าวว่า จากปัญหาอุทกภัยในประเทศไทย ที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า 1 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงิน และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟู และเยียวยาภาคอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาน้ำท่วมของนิคมอุตสหกรรม 7 แห่ง และอาจจะมีความเสียหายเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการฟื้นฟูและเยียวยาจำนวนมาก ผ่านระบบธนาคารพาณิชย์
หากสาขาธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นมีสภาพคล่องเงินบาทไม่เพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วม และไม่มีหลักทรัพย์เงินบาท ธปท.ให้นำหลักทรัพย์รัฐบาลญี่ปุ่น เช่นพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมาค้ำประกันได้ โดยกรณีนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสาขาธนาคารญี่ปุ่น แต่สาขาธนาคารต่างประเทศอื่น รวมทั้งธนาคารพาญิชย์ไทยที่ถือพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นก็ใช้ได้เช่นกัน ธปท.พร้อมที่จะปล่อยเงินกู้ให้ในอัตราดอกเบี้ยตลาดโดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยไม่มีการกำหนดวงเงินสูงสุด"นายประสาร กล่าว
ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น หากธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องไม่เพียงพอที่จะปล่อยกู้ใหม่เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูกิจการให้ผู้ประกอบการในช่วงหลังน้ำลด ธปท.พร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับธนาคารพาณิชย์ไทยเต็มที่