หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย

 

เอาอยู่ค้าาา ทำงานไม่เป็นค้าาา ไม่ได้โง่นะค้า

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ว่าจะมีการแก้ข่าว ทั้งผ่านผลโพลจากค่ายเอแบคหรือผ่านสื่อที่เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ความและข้อเท็จจริงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ ณ วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ก็ยังคงเป็น “ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยขวัญใจคนเสื้อแดงวันยังค่ำ
       
       เพราะการทำงานของ ศปภ.และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในการบริหารจัดการมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษของประเทศไทยที่มีคนไทยได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคนและทำให้เศรษฐกิจของประเทศพินาศหลายแสนล้านบาท ยังคงสะเปะสะปะและคงไว้ซึ่ง “ความห่วยแตก” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
       
       กระทั่งเอแบคโพลเจ้าเดิมที่เคยเชลียร์โดยไม่ลืมหูลืมตาด้วยการให้คะแนนปู-ยิ่งลักษณ์ 9 เต็ม 10 ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมต้องรีบแจ้นออกมาเปิดเผยผลโพลฉบับใหม่ภายในระยะเวลา 2 วัน ด้วยการให้คะแนน ศปภ. 3.36 เต็ม 10 คะแนน ยิ่งเมื่อเห็นอากัปกิริยาระรื่นและระรี้ระริกเกินงามในขณะที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปรับมอบไฟฉายและเสื้อชูชีพจากหลานสาว-น.ส.พินทองทา ชินวัตรและว่าที่หลายเขย-นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ด้วยแล้ว ยิ่งบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ประสบภัยยิ่งนัก
       
       นี่ไม่นับรวมถึงภาพที่โพสต์กันว่อนสังคมออนไลน์ที่นายกรัฐมนตรีคนสวยสวมใส่รองเท้าบูตลายสก็อตสุดไฮโซยี่ห้อ "เบอร์เบอร์รี่(Burberry)" จากอังกฤษคู่ละแค่หมื่นเศษๆ กรีดกรายราวกับเดินอยู่บนแคตวอล์กขณะลงตรวจพื้นที่น้ำท่วมที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ยิ่งอเนจอนาถที่ประเทศไทยต้องทนอยู่กับผู้นำประเทศเยี่ยงนี้ไปอย่างไม่มีความหวัง
       
       ประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ประชาชนต้องทนทุกข์กันค่อนประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีของไทยไม่เพียงคำนึงเสื้อผ้าหน้าผมเท่านั้น หากยังมีแก่ใจงัดรองเท้าคู่สวยมาใส่ให้ช้ำใจประชาชีอีกต่างหาก
       
       คำนิยามที่ชัดเจนที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็คือ ข้อความที่“หนูดี-วนิษา เรซ” ที่โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @nudi_vanessa ว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
       
       ** ทำงานไม่เป็นค่ะ ไขปริศนาต้นเหตุวิกฤตน้ำท่วม
       
       ความไม่เอาอ่าวของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารจัดการน้ำท่วมได้สะท้อนออกมาให้ประชาชนเห็นเป็นระยะๆ โดยนายกรัฐมนตรีทำตัวลอยไปลอยมาเหมือนเดินอยู่บนแคตวอล์ก โดยไม่ได้อนาทรร้อนใจกับปัญหา วันๆ ดีแต่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์น้ำท่วม โดยที่ไม่รู้ขึ้นไปทำพระแสงของ้าวอะไร หรือเกิดประโยชน์อะไรกับชาติบ้านเมืองบ้าง
       
       สิ่งที่คนไทยได้ยินจากปากนายกฯ ปูจนคุ้นหูทุกเมื่อเชื่อวันก็อย่างเช่น “เอาอยู่ค่ะ” จากนั้นก็ตามต่อด้วย “เสียใจค่ะ” และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้าถึงความไม่น่าเชื่อถือของ ศปภ. นายกฯ ปูก็ทำได้เพียงแค่ “ขอความเห็นใจค่ะ” และ “ขอความกรุณา” กระทั่งทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว
       
       ทั้งนี้ กาลเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์สอบตกชนิดที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลย เพราะสถานการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า นายกฯยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีไม่รู้จักน้ำ ไม่มีข้อมูลเรื่องน้ำ และประเมินข้อมูลน้ำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว น้ำท่วมประเทศไทยมานานร่วม 3 เดือน
       
       “ขอความกรุณาดิฉัน อาจไม่สามารถให้ข้อมูลสื่อมวลชนได้ครบ เพราะเกรงว่า การสื่อสารในมุมที่มองจากความรู้สึกส่วนตัว หรือจากการสัมผัสจะทำให้ประชาชน ขาดความมั่นใจและไขว้เขว อันนี้ขอความกรุณา ดิฉันคงไม่สามารถให้ข้อมูลตรงนี้ได้ จะขอให้ข้อมูลที่เป็นทางการเท่านั้น”
       
       นั่นคือคำตอบจากปากของนายกรัฐมนตรี
       
       แถมเมื่อตรวจสอบความทุ่มเทในการทำงานก็ยิ่งปวดจี๊ดเข้ามาในหัวสมองทันทีเพราะนับตั้งแต่จัดตั้ง ศปภ.นายกรัฐมนตรีจะเข้ามาทำงานที่ ศปภ.ในเวลาประมาณ 09.00 น. หากไม่มีกำหนดการข้างนอกก็จะอยู่ที่ ศปภ.ทั้งวัน ส่วนขากลับนายกรัฐมนตรีจะออกจาก ศปภ.ในเวลา 19.00 น. โดยเวลาดึกที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับคือ 21.30 น. ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
       
       ส่วนรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลแต่ละองค์ก็ดูเหมือนจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะนอกจากหน้าใหม่ ทำงานไม่เป็น แล้วยังขาดภาวะผู้นำอีกต่างหาก รายที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ควบทั้งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชื่อ “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” เพราะนอกจากจะแสดงความอ่อนแอและความอ่อนปวกเปียกด้วยการร้องไห้พร้อมโอบกอดนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อคราวทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าหรือไฮเทคจมน้ำแล้ว ล่าสุดนายกิตติรัตน์ยังออกอาการ “แต๋วแตกแหกชิมิ” เมื่อทราบข่าวนิคมอุตสาหกรรมนวนครแตกอีกต่างหาก
       
       กล่าวคือ ขณะที่เดอะโต้งกำลังประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เพื่อหามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่นั้น เมื่อมีรายงานด่วนเข้ามาในที่ประชุมว่า น้ำได้ทะลักเข้านวนครแล้ว นายกิตติรัตน์ถึงกับออกอาการหน้าเสีย ตกใจ พร้อมสั่งยุติการประชุมทันที และตบท้ายระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี เดอะโต้งก็คว้ารางวัลออสการ์มาครองด้วยน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาเมื่อรับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
       
       และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ นายปลอดประสพเจ้าเก่าที่เกิดไอเดียพิสดารด้วยการสั่งให้ “ป๋าเอี้ยง” นายดำรง พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มือขวาของ “ยุทธ ตู้เย็น” ตัดไม้ไผ่จากป่ามาต่อเป็นแพจำนวน 10,000 แพเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ใช้สัญจรแทนเรือไฟเบอร์ที่ขาดตลาด หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าน้ำในหลายพื้นที่อาจท่วมขังโดยเฉพาะบริเวณทุ่งนา นานนับเดือนหลังจากนี้
       
       คนที่เป็นเสนาบดีของประเทศไทยคิดได้แค่นี้เองหรือ
       
       ขณะที่เสนาบดีกระทรวงที่ควบคุมน้ำอย่าง “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ก็ตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก เนื่องเพราะถูกผู้มีบารมีตัวจริงอย่าง “นายบรรหาร ศิลปอาชา” ควบคุมอำนาจในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อปกป้องฐานเสียงของตัวเองให้รอดพ้นจากภาวะน้ำท่วม
       
       ถามว่า การผันน้ำลงสู่แม่น้ำท่าจีนในขณะนี้เป็นไปได้กี่มากน้อย ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
       
       ซ้ำร้ายยังมีรายงานยืนยันด้วยว่า ความไม่ไว้วางใจมังกรสุพรรณกำลังทวีความรุนแรงขึ้น เพราะได้มีการสั่งการในทางลับให้ติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบการระบายน้ำลงแม่น้ำท่าจีน หลังจากที่ตรวจพบว่า การระบายน้ำลงท่าจีนไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้
       
       ถามว่า ทำไมกรมชลประทานถึงไม่ผันน้ำลงสู่ “แม่น้ำแม่กลอง” เพื่อให้ออกอ่าวไทย
       
       คำตอบก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมคือ เพราะน้ำต้องผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
       
       ขณะที่การบริหารจัดการน้ำฝั่งตะวันออก รัฐบาลก็บอดใบ้เช่นกัน เนื่องเพราะกริ่งเกรงอิทธิพลของ ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นหัวคะแนนของตนเองและอาวุธปืนในมือของเหล่านักการเมืองท้องถิ่นที่บีบบังคับไม่ให้เจ้าหน้าที่ทำงาน จนไม่สามารถระบายน้ำได้ ดังเช่นที่ “วีระ วงศ์แสงนาค” ที่ปรึกษากรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว นายกฯ ยิ่งลักษณ์ถึงกล้าตัดสินใจสั่ง “นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปเคลียร์ การให้เปิดประตูระบายน้ำจึงเกิดขึ้นได้
       
       “ความสามารถจริงของคลองแถบตะวันออกนั้น สามารถระบายน้ำได้มากถึงวัน 100 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เอาเข้าจริงแล้วด้วยการปิดประตูระบายน้ำแบบเห็นแก่ตัว ทำให้ทุกวันนี้ระบายน้ำได้อย่างมากที่สุดก็ 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น”อุเทน ชาติภิญโญ ในฐานะประธานคณะกรรมการผันน้ำออกสู่ทะเลด้านตะวันออกให้ข้อมูล
       
       และนั่นคือต้นเหตุของการบริหารจัดการน้ำอันผิดพลาดที่ทำให้มวลน้ำก้อนใหญ่ยังคงวนเวียนโดยที่ไม่ได้ผันออกสู่ทะเลเสียที
       
       **โปรดฟังอีกครั้ง ศปภ.=ศูนย์ประจานภูมิปัญญาปู
       
       ยิ่งในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูคือ ศปภ.ที่ด้วยแล้วยิ่งเต็มไปด้วยความอ่อนด้อยประสิทธิภาพในการทำงาน
       
       ต่างคนต่างก็แย่งชิงการนำ ต่างคนต่างก็ออกมาให้ข้อมูลประชาชนอย่างสะเปะสะปะและสร้างความโกลาหลให้กับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
       
       ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าภายหลังจะมีคนคิดชื่อใหม่ให้กับ ศปภ. นอกจากศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูแล้วก็มีอย่างเช่น ศูนย์ปั่นป่วนประชาชนทั่วทุกภูมิภาค เป็นต้น
       
       ไม่ใช่แค่เพียง “นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผู้คนก่นด่าทั้งบ้านทั้งเมือง ความเฟอะฟะยังลามไปถึงผู้อำนวยการศูนย์และโฆษกศูนย์ ศปภ.ที่ไปคนละทิศละทาง แถมยังกลับไปกลับมาจนประชาชนเกิดความสับสน
       
       หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ศปภ.แถลงข่าวอย่างมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมนวนคร รอดจากภัยพิบัติอย่างแน่นอนเนื่องจากได้ผันน้ำลงเจ้าพระยาเรียบร้อยแล้ว และในช่วงสายของวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาตอกย้ำสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า แผนการรับมือน้ำท่วมสามารถปกป้องนิคมนวนครได้
       
       แต่อย่างไรก็ดี เพียงชั่วข้ามคืนข้อมูลที่นายกฯ และ ศปภ.กล่าวมาก่อนหน้านี้ ได้ถูกหักล้างอย่างสิ้นเชิง เมื่อ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกฯ ศปภ. อ้างว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ได้ออกประกาศขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี และพื้นที่โดยรอบอพยพออกจากพื้นที่เป็นการด่วน เนื่องจากขณะนี้น้ำได้เริ่มไหลเข้าท่วมและเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       แต่หลังจากคำประกาศอพยพของทีมโฆษก ศปภ.ไม่นานนัก เมื่อพล.ต.อ.ประชา เดินทางกลับจากตรวจนิคมฯนวนคร ก็ให้สัมภาษณ์ไปคนละเรื่อง แถมยังยืนยันด้วยว่า สามารถรับสถานการณ์ได้แต่ให้ประชาชนเตรียมการขนของขึ้นที่สูง
       
       จากนั้น เมื่อเกิดความสับสนในข้อมูลแพร่ออกไป และพล.ต.อ.ประชาตัดสินใจที่จะแถลงข่าว  แต่ปรากฏว่านายวิมได้ดึงตัว พล.ต.อ.ประชาไปคุยเพื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลที่แถลงออกไป สุดท้าย พล.ต.อ.ประชาปฏิเสธที่จะแถลงข่าว โดยบอกเพียงว่ามอบให้เป็นหน้าที่ของโฆษก ศปภ. จากนั้นได้เดินเข้าสู่ห้องประชุมด้านในทันที
       
       ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ทำได้แค่แสดงความเสียใจต่อความพินาศของนวนครเท่านั้น
       
                     อีกทั้งในวันที่ 16 ต.ค. “นายธีระ วงศ์สมุทร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก โดยประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “มวลน้ำปริมาณใหญ่ที่สุดนั้นได้ผ่าน กทม.ออกทะเลไปแล้ว ประชาชนจึงสบายใจได้ เพราะระดับน้ำสูงสุดที่สะพานพุทธเมื่อเช้าวันที่ 15 ต.ค.อยู่ที่ 2.29 เมตร ซึ่งต่ำกว่าที่กรมชลประทานคาดไว้หนึ่งเซนติเมตร” แต่อยู่ดีๆ กลับมาขอเรืออีก 75,000 ลำ ให้ช่วยกันผลักดันน้ำลงสู่ทะเล นอกจากนี้ยังปรับแผนจากการเข้าแก้ไขและช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นวางระบบให้ประชาชนอยู่กับน้ำได้
       
       ตดยังไม่ทันหายเหม็น นวนครก็พินาศไปกับสายน้ำ
       แหล่งข่าวจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวว่า หลังจากเปิดศูนย์ฯ ขึ้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พบว่า มีการส่งข้อมูลเพื่อแจ้งสถานการณ์ เข้ามาจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงที่ศูนย์ฯ กลับไม่ได้การจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้บางครั้งเกิดความสับสน ในการนำเสนอข้อมูล
       
       ทั้งนี้ ยังมีบางข้อมูลที่เป็นการแจ้งเตือนจากคนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยเข้ามา แต่กลับไม่ได้รับการตรวจสอบ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมาก และ ศปภ.ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรง อีกทั้งบางคนยังมองว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จึงไม่ใส่ใจ ซึ่งตรงนี้ มองว่ายังเป็นปัญหาที่ ศปภ. ต้องจัดการแก้ไขโดยเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาลุกลามได้        
       
       “ที่ผ่านมา ข้อมูลไม่มี ไม่ใช่ปัญหาของ ศปภ.เพราะมีข้อมูลจากแต่ละแหล่งเข้ามาเยอะมาก นับหมื่นๆ ข้อมูล แต่ภายในไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ บางเรื่องมีคนแจ้งเข้ามา มีข้อมูลอยู่ตรงหน้า แต่ก็ถูกวางไว้เฉยๆ ไม่เอามาใช้ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง” แหล่งข่าวกล่าว
       
       ข้อมูลสำคัญที่ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีต้องทราบก็คือ ณ บัดนี้ ศปภ.ใช้งบประมาณไปแล้ว 1,700 ล้านบาทในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จากงบประมาณที่ครม.อนุมัติให้ 2,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกับประเทศชาติและประชาชนไทยเลยแม้แต่น้อย
       
       ซ้ำร้ายเมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ครม.ยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติงบเพิ่มเติมให้ ศปภ.อีก 1,500 ล้านบาท
       
       ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ภายในศูนย์ประจานภูมิปัญญาปูก็เต็มไปด้วย “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่เข้าไปชี้นิ้วสั่งการกันอย่างเอิกเกริกจนกลายเป็น “ศูนย์รวมสารพัดแดง” โดยที่มิได้มีความรู้ความสามารถในเรื่องการบริหารจัดการน้ำแต่อย่างใด(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน .ศปภ. "ศูนย์รวมเสื้อแดง” “เอาปัญญาชนไปขนกระสอบทราย เอา......ไปวางแผน”)
       
       “ข้ออ่อนด้อยสำคัญในขณะนี้ก็คือ ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่จัดการเรื่องน้ำถึง 8 หน่วยงาน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเฉพาะสำหรับประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นประเด็นในแทบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ที่ได้เผชิญกับน้ำท่วม นั่นคือขาดกรอบการทำงานที่กว้างขวางที่จะจัดการน้ำ”โนลีน เฮเยอร์ เลขาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกของสหประชาชาติ กล่าวแสดงความคิดเห็น
       
       เฉกเช่นเดียวกับ “นายเจน นำชัยศิริ” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ที่ออกมาเปิดเผยหลังการหารือร่วมกับนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น และนายเคียวอิจิ ทานาดะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย(เจซีซีว่า) ภาคเอกชนเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลควรจะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะขณะนี้การประสานงาน รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารของ ศปภ.นั้น ไม่เป็นระบบที่ชัดเจน
       
       ทหารอากาศก็สั่งให้ขนย้ายเครื่องบินหนีแล้ว
       
       ทหารบกก็เตรียมการย้ายกองบัญชาการไปที่สโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิตแล้ว
       
       ประชาชนตาดำ ๆ คงจะคาดเดาสถานการณ์ออกว่า หนักหนาสาหัสเพียงใดจากมวลน้ำก้อนมหาศาลอีกกว่า 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรที่กำลังจะแปรสภาพเป็น “สึนามิน้ำจืด” ถล่มเมืองหลวงของประเทศไทย
       
       หมดเวลาสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการดำรงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะขืนให้อยู่แก้ปัญหาประเทศไทยหลังน้ำลด ซึ่งถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อยกว่า ก็คงจะทำให้ประเทศชาติถอยหลังลงคลองหนักเข้าไปอีก

http://www.manager.co.th

 

รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา