เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) มีมติให้มหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกทอป.ทั้ง 27 แห่ง ไปหารือกับประชาคมในมหาวิทยาลัยเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเลื่อนปิด ภาคเรียนเป็นเดือนกันยายน จากปัจจุบันที่จะเปิดภาคเรียนในเดือนมิถุนายน เพื่อให้ตรงกับการเปิดภาคเรียนของประเทศสากล ว่า การตัดสินใจเรื่องนี้กระทบต่อระบบการเรียนการสอนของประเทศซึ่งส่งผลโดยตรง ต่อคนส่วนใหญ่ ดังนั้นตนจึงอยากให้ทปอ.พิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมให้ดี เพราะจากเดิมการเปิดเทอมจะหนีช่วงฤดูร้อนกับฤดูน้ำหลาก จึงให้เปิดเทอม 1 ในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เพื่อหลบหน้าน้ำและจากสถานการณ์ที่เห็นอยู่คือช่วงนี้เป็นช่วงหน้าน้ำ นักเรียน นักศึกษาจะเดินทางมาเรียนลำบากและมีแนวโน้มว่าลักษณะเช่นนี้จะเกิดเป็นประจำ ทุกปี
"ดังนั้นหากปรับให้ไปเปิดเทอมในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม จะเป็นช่วงหน้าน้ำพอดี ต้องไปดูว่าจะกระทบกับการเรียนการสอนหรือไม่ อีกช่วงคือภาคเรียนที่ 2 เดิมเปิดเรียนช่วงพฤศจิกายน-มีนาคม และไปหยุดในช่วงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนพอดี แต่ถ้าปรับใหม่ตามอาเซียนจะต้องไปเปิดเรียนในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ซึ่งคร่อมหน้าร้อนพอดีนักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากมาเรียน อีกทั้งยังตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญของบ้านเราคนก็ ไม่อยากมาเรียน ดังนั้นก่อนจะมีมติอะไรออกไปน่าจะมีการศึกษาสำรวจความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ด้วย เพราะถ้ามหาวิทยาลัยเลื่อนทุกอย่างต้องปรับตัวตามหมด " นายวัวรวัจน์ กล่าว
นายวรวัจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีมหาวิทยาลัยที่เตรียมตัวปรับรูปแบบไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ นั้น ต้องพิจารณาให้รอบด้านเพราะหากออกนอกระบบไปแล้วมหาวิทยาลัยต้องเลี้ยงดูตัว เอง และไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ดังนั้นจึงมีบางมหาวิทยาลัยไปเก็บค่าเทอมแพง ๆ กับนักศึกษา ซึ่งต่อไปหากหากรัฐบาลเปิดให้นักศึกษากู้เงินจากกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) แล้ว เท่ากับว่านักศึกษาจะเป็นผู้ถือเงินเอง และมีสิทธิตัดสินใจเลือกที่เรียน หากที่ใดเก็บแพงเขาก็ไม่เลือก จึงขอให้มหาวิทยาลัยที่เตรียมตัวออกนอกระบบคิดให้รอบคอบ เพราะตนอยากให้มหาวิทยาลัยพยายามพัฒนาความพร้อมเพื่อเข้าสู่การแข่งขันกับ ประเทศอาเซียนมากกว่า และหากมหาวิทยาลัยใดพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลก็จะสนับสนุนงบประมาณ พิเศษให้