หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
QS World University Rankings 2011/12 ราคาค่าเล่าเรียน
Rank Institution Country QS Stars What are QS Stars? Domestic Fees ($) International Fees ($) Score         undergrad postgrad undergrad postgrad   1 University of Cambridge United Kingdom 14,000 - 16,000 4,000 - 6,000 22,000 - 24,000 24,000 - 26,000 100 2 Harvard University United States 38,000 - 40,000 36,000 - 38,000 38,000 - 40,000 36,000 - 38,000 99.34 3 Massachusetts Institute of Technology (MIT) United States 38,000 - 40,000 40,000 - 42,000 38,000 - 40,000 40,000 - 42,000 99.21 4 Yale University United States 38,000 - 40,000 32,000 - 34,000 38,000 - 40,000 32,000 - 34,000 98.84 5 University of Oxford United Kingdom 14,000 - 16,000 4,000 - 6,000 22,000 - 24,000 26,000 - 28,000 98 6 Imperial College London United Kingdom 14,000 - 16,000 4,000 - 6,000 30,000 - 32,000 32,000 - 34,000 97.64 7 UCL (University College London) United Kingdom 14,000 - 16,000 6,000 - 8,000 24,000 - 26,000 24,000 - 26,000 97.33 8 University of Chicago United States 42,000 - 44,000 42,000 - 44,000 42,000 - 44,000 42,000 - 44,000 96.08 9 University of Pennsylvania United States 40,000 - 42,000 26,000 - 28,000 40,000 - 42,000 26,000 - 28,000 95.73 10 Columbia University United States 42,000 - 44,000 38,000 - 40,000 42,000 - 44,000 38,000 - 40,000 95.28 11 Stanford University United States 40,000 - 42,000 38,000 - 40,000 40,000 - 42,000 38,000 - 40,000 93.44 12 California Institute of Technology (Caltech) United States 36,000 - 38,000 36,000 - 38,000 36,000 - 38,000 36,000 - 38,000 93.02 13 Princeton University United States 36,000 - 38,000 38,000 - 40,000 36,000 - 38,000 38,000 - 40,000 91.91 14 University of Michigan United States 10,000 - 12,000 16,000 - 18,000 36,000 - 38,000 36,000 - 38,000 91.28 15 Cornell University United States 38,000 - 40,000 28,000 - 30,000 38,000 - 40,000 28,000 - 30,000 90.72 16 Johns Hopkins University United States 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 89.96 17 McGill University Canada 4,000 - 6,000 4,000 - 6,000 18,000 - 20,000 14,000 - 16,000 89.56 18 ETH Zurich (Swiss Federal Institute of Technology) Switzerland 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 89.5 19 Duke University United States 40,000 - 42,000 38,000 - 40,000 40,000 - 42,000 38,000 - 40,000 89.25 20 University of Edinburgh United Kingdom 14,000 - 16,000 6,000 - 8,000 16,000 - 18,000 18,000 - 20,000 87.83 21 University of California, Berkeley (UCB) United States 10,000 - 12,000 10,000 - 12,000 32,000 - 34,000 24,000 - 26,000 87.64 22 University of Hong Kong Hong Kong 4,000 - 6,000 4,000 - 6,000 14,000 - 16,000 14,000 - 16,000 87.04 23 University of Toronto Canada 6000 - 8000 6000 - 8000 24000 - 26000 16000 - 18000 86.16 24 Northwestern University United States 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 40,000 - 42,000 85.91 25 The University of Tokyo Japan 6,000 - 8,000 6,000 - 8,000 6,000 - 8,000 6,000 - 8,000 85.9 26 Australian National University Australia 6,000 - 8,000 22,000 - 24,000 40,000 - 42,000 28,000 - 30,000 85.69 27 King’s College London (University of London) United Kingdom 14,000 - 16,000 6,000 - 8,000 20,000 - 22,000 20,000 - 22,000 84.96 28 National University of Singapore (NUS) Singapore 34,000 - 36,000 6,000 - 8,000 40,000 - 42,000 18,000 - 20,000 84.07 29 The University of Manchester United Kingdom 14,000 - 16,000 8,000 - 10,000 18,000 - 20,000 22,000 - 24,000 83.97 30 University of Bristol United Kingdom 14,000 - 16,000 6,000 - 8,000 20,000 - 22,000 20,000 - 22,000 83.65 31 The University of Melbourne Australia 6,000 - 8,000   28,000 - 30,000 24,000 - 26,000 83.63 32 Kyoto University Japan 6,000 - 8,000 6,000 - 8,000 4,000 - 6,000 4,000 - 6,000 82.86 33 École Normale Supérieure, Paris France < 1,000 < 1,000 < 1,000 < 1,000 82.44 34 University of California, Los Angeles (UCLA) United States 10,000 - 12,000 10,000 - 12,000 32,000 - 34,000 24,000 - 26,000 81.86 35 Ecole Polytechnique Fédérale de Lausanne Switzerland 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 1,000 - 2,000 81.75 36 École Polytechnique France 0 6,000 - 8,000 12,000 - 14,000 8,000 - 10,000 80.54 37 The Chinese University of Hong Kong Hong Kong 4,000 - 6,000 4,000 - 6,000 12,000 - 14,000 12,000 - 14,000 79.5 38 The University of Sydney Australia 6,000 - 8,000 22,000 - 24,000 30,000 - 32,000 28,000 - 30,000 79.3 39 Brown University United States
Top Universities in UK 2012
2012 Rank 2011 Rank University Name 1 2 Cambridge University 2 1 Oxford University 3 3 Imperial College London 4 5 London School of Economics 5 4 Durham 6 6 St Andrews 7 9 University College London 8 7 Warwick 9 8 Lancaster 10 12 Bath 11 16 Bristol 12 10 York 13 11 Edinburgh 14 14 Southampton 15 24 Exeter 16 13 King's College London 17 18 Nottingham 18 15 SOAS 19 21 Loughborough 19 19 Sussex 21 26 Glasgow 22 23 Birmingham 23 22 Leicester 24 29 Newcastle 25 17 Aston 26 25 Sheffield 27 28 East Anglia 28 33 Surrey 29 31 Manchester 30 32 Liverpool 31 35 Queen's, Belfast 32 27 Leeds 33 30 Royal Holloway 34 38 Kent 34 40 Reading 36 39 Queen Mary 37 41 Cardiff 38 37 Essex 38 34 Heriot-Watt 40 35 Strathclyde 41 47 City 42 20 Buckingham 43 45 Dundee 44 43 Keele 45 52 Stirling 46 44 Aberdeen 46 50 Oxford Brookes 48 41 Hertfordshire 49 47 Aberystwyth 50 46 Brunel 51 51 Robert Gordon 52 54 Ulster 53 65 Plymouth 54 60 Swansea 55 49 Nottingham Trent 56 53 Chichester 57 57 Goldsmiths College 58 67 Huddersfield 59 70 University of the Arts, London 60 64 Northumbria 61 68 West of England, Bristol 62 55 Bournemouth 62 56 Hull 62 68 Sheffield Hallam 65 72 Central Lancashire 66 58 Birmingham City 67 71 Lincoln 68 73 Brighton 68 59 UWIC, Cardiff 70 76 Winchester 71 97 Middlesex 72 75 Coventry 73 61 Bradford 73 87 Roehampton 75 62 Gloucestershire 76 79 Glasgow Caledonian 77 94 Westminster 78 63 Bangor 79 109 University for the Creative Arts 80 81 Chester 81 65 De Montfort 81 89 Portsmouth 83 86 Glamorgan 84 74 Edinburgh Napier 85 83 Bath Spa 86 81 Cumbria 87 77 Queen Margaret 88 84 Kingston 89 89 University of Wales, Newport 90 105 Teesside 91 93 Sunderland 92 - Trinity Saint David 93 89 Manchester Metropolitan 93 95 West London 95 98 Abertay Dundee 95 85 Leeds Metropolitan 97 96 Salford 98 88 Edge Hill 99 80 Staffordshire 100 106 Canterbury Christ Church 101 102 Liverpool John Moores 102 78 York St John 103 101 Bedfordshire 104 92 Glyndwr 105 100 Northampton 106 102 Worcester 107 108 Buckinghamshire New 108 104 Derby 109 110 Greenwich 110 106 Anglia Ruskin 111 111 Southampton Solent 112 - West of Scotland 113 113 East London 114 112 Bolton 115 115 London Metropolitan 116 114 London South Bank   Source: Complete University Guide http://universityreport.net/top-universities-in-uk-2012
บัณฑิตศึกษาให้อะไรกับคุณ
 การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาให้อะไรกับคุณ?       ค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้นและกฎหมายการเข้าเมืองที่เข้มงวด  ทำให้การตัดสินใจเรียนระดับบัณฑิตศึกษาเป็นเรื่องยาก  มันเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะประเมินถึงโอกาสในอนาคตและตระหนักว่าการเรียนระดับนี้สามารถช่วยคุณได้หรือไม่  Hotcourses ต้องการที่จะช่วยคุณในการประเมินและดูว่าการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษานั้น ให้อะไรกับคุณได้บ้าง   การเรียนระดับบัณฑิตศึกษาจะทำให้ได้งานหรือไม่?       เป็นไปได้ว่าการจบการศึกษาระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก อาจจะทำให้ใบสมัครหรือใบประวัติของคุณ (CV) ดีขึ้น และอาจจะช่วยให้คุณเข้าถึงงานได้ตรงสาขามากขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องแสดงให้นายจ้างในอนาคตของคุณเห็นด้วยว่าคุณเป็นอย่างไร เพราะปริญญาบัตรไม่ได้มีความสำคัญถ้าหากคุณไม่สามารถแสดงให้เขาเห็นว่าคุณมีความสามารถและทักษะที่ต้องการในการทำงาน       การเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาไม่ได้เพียงแค่ทำให้คุณมีความรู้เฉพาะทางมากขึ้นเท่านั้น  แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะ อย่างเช่น การวิเคราะห์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ  ทักษะทางคอมพิวเตอร์ การจัดการเวลา รวมถึงทักษะการจัดการโครงการต่างๆ       นอกจากนี้  คุณจะต้องแสดงให้นายจ้างเห็นว่าคุณมีความสามารถทางการสื่อสารที่แข็งแรงพอสำหรับการเจอกับการทำงานที่ความกดดันสูง  และที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ว่าทุกๆงานและทุกๆบริษัทต้องการการทำงานเป็นทีมเวิร์ก   การเรียนในระดับปริญญาบัณฑิตสามารถเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น?       หนึ่งในข้อดีของการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา คือ คุณจะอยู่ในช่วงวัยที่มีวุฒิภาวะและผ่านประสบการณ์ต่างๆมาเยอะขึ้น เมื่อเทียบกับการเรียนในระดับปริญญาตรี   ดังนั้นการเรียนนี้จึงทำให้คุณมองเห็นโลกในอีกมุมมองหนึ่งที่เปลี่ยนไป       ถ้าคุณเรียนต่างประเทศ คุณก็จะยิ่งสามารถพบเจอผู้คนที่มีความคิดเหมือนกับคุณที่มาจากคนละประเทศ เพื่อนใหม่ของคุณก็จะกลายเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ทางอาชีพของคุณในอนาคต ที่มาจากทุกทิศทั่วโลก!       นักเรียนส่วนใหญ่ที่มาเรียนจะเต็มไปด้วยอาชีพที่น่าสนใจหรือมีประสบการณ์ที่มีค่า ซึ่งทำให้แต่ละชั้นเรียนเกิดความหลากหลาย  บริษัทจ้างงานจะชื่นชอบในเรื่องนี้มาก เพราะว่านอกจากคุณจะได้เรียนรู้จากการเรียนแล้ว คุณยังได้ความรู้หรือข้อมูลดีๆจากเพื่อนร่วมชั้นของคุณด้วย       การมีสังคมศิษย์เก่าที่เหนียวแน่น, ความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทต่างๆ, คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพในเรื่องการทำงาน รวมถึงประสบการณ์ความรู้ในสาขาที่คุณเรียน จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษาที่คุณเลือก  ดังนั้น ควรหาข้อมูลและเปรียบเทียบแต่สะสถาบันอย่างระมัดระวัง และ “ต้อง” มั่นใจว่าคุณได้รับผลสูงสุดจากการลงทุนในครั้งนี้!   การเรียนระดับบัณฑิตศึกษาจะเป็นหลักประกันว่าจะประสบความสำเร็จในการทำงาน?       ถึงแม้ว่าการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาจะมีผลดีต่อใบประวัติ (CV) ของคุณและช่วยสร้างคุณให้มีทักษะที่จำเป็น  แต่คุณก็ไม่ควรตัดสินใจเรียนเพียงเพราะเหตุผลว่ามันจะทำให้คุณได้งานที่คุณต้องการ  การเรียนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จ  เพราะการทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องเกิดจากการทำงานหนัก การอดทน รวมถึงปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากแค่การสำเร็จทางการศึกษา       แต่เมื่อคุณเลือกที่จะเรียนแล้ว  ต้องมั่นใจว่าคุณตั้งใจเรียนและทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างหนัก  เพราะความตั้งใจเหล่านั้นจะส่งผลออกมาเมื่อคุณเรียนจบไม่ว่าจะปริญญาโทหรือปริญญาเอก   ความสำเร็จของคุณขึ้นอยู่กับงานของคุณ  คุณจะต้องมั่นใจ หลงใหล และอุทิศตนให้กับหัวข้อที่คุณเลือกที่จะทำ  แล้วมันจะทำให้คุณกระตือรือร้นที่จะตื่นขึ้นมาเจอกับการเรียนทุกวัน       นอกจากนี้การเรียนระดับบัณฑิตศึกษายังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาและพัฒนาความเชี่ยวชาญที่คุณมี   โดยคุณควรต้องพัฒนาความคิด ทักษะและเทคนิคของคุณให้ทันสมัยและตามทันกระแสโลกอยู่ตลอด  เพื่อประสบความสำเร็จทางอาชีพ    มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่?       การเรียนระดับบัณฑิตศึกษารู้จักกันทั่วไปว่าเป็นการลงทุนเพื่อวิชาชีพ  ผู้คนส่วนใหญ่จ่ายเงินค่าเล่าเรียนเองหรือได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากครอบครัว    แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมต่างๆ องค์กรทางการวิจัยและการศึกษา ก็ได้เพิ่มความร่วมมือมากขึ้น ในการทำโครงการวิจัยสำหรับการสร้างประโยชน์ร่วมกันระหว่างองค์กรและบุคคลทั่วไป       โดยนักเรียนที่ทำงานอยู่ในโครงการเหล่านี้ ไม่ได้เพียงแค่ประสบการณ์ที่มีค่าเท่านั้น  แต่ยังได้รับการติดต่อจากนายจ้างที่มองหาพนักงานที่มีความสามารถอีกด้วย http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/what-postgraduate-education-can-do-for-you/
ขั้นตอนการยื่นวีซ่าสหราชอาณาจักร
   คำถามที่มักจะถูกถามบ่อยเกี่ยวกับ “ขั้นตอนการยื่นวีซ่า”       ก่อนที่จะมาเรียนต่อที่สหราชอาณาจักร คุณจำเป็นต้องเตรียมเอกสารของคุณให้พร้อมก่อน ซึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกี่ยวกับกฎหมายของการขอเข้าเมืองเพื่อการเรียนต่อรวมทั้งกฎในการขอวีซ่าด้วย  และทำให้นักเรียนต่างชาติเกิดความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น   ในวันนี้ Hotcourses ได้พูดคุยและถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ กับ Hateem Ali ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายการขอเข้าเมือง และเข้าร่วมงาน International Student Fair ของเราเมื่อครั้งล่าสุด ในฐานะผู้ให้คำปรึกษาเรื่องวีซ่าแก่นักเรียนต่างชาติ Q:ประเภทของวีซ่ามีอะไรบ้าง และประเภทไหนที่เราต้องใช้? A:จะมีประเภทของวีซ่าหลักๆอยู่ 4 แบบ สำหรับนักเรียนโดยทั่วไป  โดยแต่ละประเภทก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยวีซ่าที่ใช้กันโดยส่วนใหญ่ คือ The Adult Student category under Tier 4 of the Points Based System  ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับนักเรียนอายุมากกว่า 18 ปีที่ต้องการเข้ามาศึกษาที่สหราชอาณาจักรแบบเต็มเวลา  ซึ่งคำถามและข้อสงสัยต่างๆที่ถามก็จะเกี่ยวกับวีซ่าประเภทนี สำหรับนักเรียนที่อายุน้อยกว่า 18 ปีนั้น ก็มีวีซ่าประเภท Child Student ที่ถูกออกแบบขึ้นสำหรับนักเรียนที่เข้าสอบ GCSE และ A-level หรือการสอบอื่นๆที่เทียบเท่า นอกเหนือจากประเภทแบบ Tier 4 แล้ว ยังมีแบบ Prospective Student ด้วย  ซึ่งจะอนุญาตให้นักเรียนเข้ามายังสหราชอาณาจักรด้วยเหตุผลคือ เข้ามาทำวิจัยกับมหาวิทยาลัย  เข้ามาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย และเข้ามาสัมภาษณ์เพื่อการเข้าเรียน  ซึ่งวีซ่าประเภทนี้ไม่ได้อนุญาตให้คุณเข้ามาเรียนได้   โดยข้อดีของการเข้ามายังสหราชอาณาจักรด้วยวีซ่าประเภทนี้ คือ คุณจะสะดวกใจกับการมาดูที่เรียน หรือมาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษาก่อนการเข้าเรียนสถาบันเหล่านั้น และเมื่อคุณพบหลักสูตรที่คุณต้องการและคุณได้รับเลือกให้เข้าเรียนที่สถาบันเหล่านั้นแล้ว  คุณก็สามารถเปลี่ยนวีซ่าไปเป็นแบบ normal Adult Student Tier 4 Visa  ได้เลยทันทีในขณะที่คุณอยู่ที่สหราชอาณาจักร  โดยไม่ต้องกลับมายังประเทศไทย สำหรับนักเรียนที่เรียนในหลักสูตรที่ใช้เวลาน้อยกว่า 6 เดือนนั้น ยังมีวีซ่าอีกประเภทหนึ่ง คือ Student Visitor  ซึ่งจะอนุญาตให้นักเรียนเข้าประเทศในฐานะเดียวกับนักท่องเที่ยว แต่จะมีการเขียนลงไปบนวีซ่าว่าเข้าประเทศมาเพื่อการเรียนที่น้อยกว่า 6 เดือน   โดยข้อเสียของวีซ่าประเภทนี้ก็คือคุณไม่สามารถต่ออายุได้ในระหว่างที่อยู่ที่สหราชอาณาจักร  คุณจำเป็นต้องกลับมายังประเทศไทยก่อน แล้วถึงจะสามารถยื่นเปลี่ยนเป็นวีซ่าใหม่เพื่อขอเรียนต่อไปได้   Q:เนื่องจากค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนอังกฤษเองก็เพิ่งขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้  แล้วสำหรับนักเรียนต่างชาตินั้นจะสูงขึ้นตามมาในอนาคตหรือไม่? A:ในเรื่องค่าใช้จ่ายของนักเรียนในประเทศก็กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ซึ่งมีนักเรียนออกมาประท้วงตามท้องถนนในกรุงลอนดอนถึงเรื่องนี้มากมาย   ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะ  แต่ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า เด็กที่ออกมาประท้วงจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขารู้ว่าเพื่อนต่างชาติที่นั่งเรียนข้างๆเขาในห้องเรียน ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนมากกว่าเขาถึงสามเท่าในการเรียนวิชาเดียวกัน แต่แน่นอน ว่าเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าราคาของค่าเล่าเรียนจะเป็นอย่างไร  เพราะมีการโต้แย้งกันว่ามหาวิทยาลัยควรจะใช้อัตราเดิมที่ทั้งนักเรียนในประเทศและต่างประเทศจ่ายในราคาที่เท่ากันหรือไม่  เพราะนักเรียนในประเทศ  มีรัฐบาลคอยช่วยเหลือในการจ่ายเงินส่วนนี้ด้วย ผู้ที่ให้ความเห็นต่างก็แนะนำว่า  เนื่องจากมหาวิทยาลัยใช้วิธีการเก็บเงินจากนักเรียนเองโดยตรงมาโดยตลอด   จึงทำให้มหาวิทยาลัยคุ้นเคยไปกับโครงสร้างของราคาแบบนั้น  หลักสูตรไหนที่มีความต้องการมากก็จะมีแนวโน้มที่ค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้นตาม  หรือแม้แต่ค่าตอบแทนของผู้สอนหรือการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาเป็นวิทยากร ก็มีผลต่อค่าเล่าเรียนด้วยเช่นกัน   นอกจากนี้ก็ควรคาดเดาด้วยว่าหลักสูตรใดที่เป็นที่นิยมของนายจ้าง แล้วจะเห็นว่าค่าเล่าเรียนก็จะสูงเช่นกัน   Q:ข้อมูลทางการเงินแบบไหนที่มีความจำเป็นการในเรียนที่สหราชอาณาจักร? ในการขอทำวีซ่า จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นหรือไม่ว่าสามารถที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายต่างๆได้? A:สำหรับผู้ที่จะขอเข้ามาสหราชอาณาจักร หรือผู้ที่ต้องการต่ออายุวีซ่านักเรียน  The UK Border Agency จะขอดูว่าคุณมีเงินจำนวนเท่าไหร่ในธนาคารของคุณ ก่อนที่จะได้รับการยินยอมให้ทำวีซ่า ตัวเลขที่คุณต้องชี้แจงมาจากการรวมค่าใช้จ่าย 2 ประการ คือ หนึ่ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเรียนหลักสูตรปีแรก  และสองคือจำนวนเงินที่ the UK Border Agency ต้องการจะดู โดยจำนวนเงินจะตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าคุณสามารถใช้เงินจำนวนเท่าใดถึงจะพอในการใช้ชีวิตอยู่ที่สหราชอาณาจักร (เรียกว่า maintenance ) จำนวนเงินรวมที่แสดงถึงค่าใช้จ่ายในปีแรกนั้น เป็นเงินทั้งหมดที่หักเงินที่จ่ายค่าเล่าเรียนแก่สถาบันการศึกษาออกไปแล้ว  ซึ่งตัวเลขจะต้องได้รับการรับรองจากสถาบันการศึกษาและเขียนลงไปในใบสมัคร ส่วนจำนวนเงินรวมที่แสดงในส่วนที่ใช้ในการคงสภาพ (maintenance) ตามที่ the UK Border Agency นั้น  จำนวนเงินขึ้นอยู่กับความยาวของหลักสูตร สถานที่ตั้งของสถานศึกษาและนักเรียนเคยมาเรียนที่สหราชอาณาจักรมาก่อนหรือไม่  ซึ่งตัวเลขในส่วนนี้จะมีความซับซ้อน ดังนั้น จึงควรเข้าไปดูในเว็บไซต์ของ the UK Border Agency เกี่ยวกับตารางของจำนวนเงิน   Q:อะไรคือเหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้การขอวีซ่าของเราถูกปฏิเสธ A:โดยทั่วไปแล้ว ก็คือ นักเรียนที่ไม่แสดงหลักฐานทางการเงินที่ถูกต้อง  พวกเขาจะมีจำนวนตัวเลขรวมที่ถูกต้อง แต่ว่ากลับไม่เขียนมาในรูปแบบหรือการรับรองอย่างถูกต้อง ซึ่งการแสดงหลักฐานนี้ไม่ได้ผลเสมอไป  เพราะบางครั้งนักเรียนก็เชื่อว่าถ้าพวกเขาแสดงหลักฐานทางการเงินจากญาติที่มีความร่ำรวยก็เพียงพอแล้ว  ซึ่งจึงๆแล้วไม่ใช่  ดังนั้น จึงจำเป็นมากในการดูว่าหลักฐานประเภทไหนที่เขารับรองและควรแสดงเฉพาะหลักฐานเหล่านั้นเท่านั้น   Q:ผู้ที่ต้องการยื่นวีซ่าในการเข้าสหราชอาณาจักร จำเป็นต้องผ่านการทดสอบทางภาษาอังกฤษหรือไม่? แล้วถ้าผู้ยื่นมาจากประเทศในเครือจักรภพที่พูดภาษาอังกฤษกันอยู่แล้วจะเป็นอย่างไร? A:ถ้าคุณผ่านการศึกษาขั้นต้นมาก่อนหรือคุณเป็นนักเรียนทุนของรัฐบาลที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ  การทดสอบทางภาษาอังกฤษก็ไม่จำเป็นสำหรับคุณ นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่สามารถเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ  โดยต้องมาจากประเทศเหล่านี้ คือ Antigua and Barbuda Australia; The Bahamas; Barbados; Belize; Canada; Dominica; Grenada; Guyana; Jamaica; New Zealand; St Kitts and Nevis; St Lucia; St Vincent and the Grenadines; Trinidad and Tobago; United States of America และอย่างที่คุณเห็น ประเทศข้างต้นเหล่านี้ไม่ได้เป็นประเทศในเครือจักรภพทั้งหมด   แต่เป็นเพราะ the UK Border Agency เชื่อว่าประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษกันแพร่หลาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ  แต่ถึงอย่างนั้นประเทศ South Africa ก็ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในรายชื่อนี้ ถ้าคุณมาจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ  คุณจำเป็นต้องมีผลการทดสอบทางภาษาอังกฤษ (ประมาณ 5 ของการทดสอบ IELTS)  อย่างไรก็ตาม สถาบันการศึกษาต่างๆ ก็อาจจะขอผลคะแนนของคุณที่สูงกว่านี้  ดังนั้นคุณควรสอบถามไปยังสถาบันที่คุณสนใจก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้   Q:เป็นไปได้หรือไม่ที่จะออกจากสหราชอาณาจักรแล้วกลับมาก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุ? แล้ววีซ่าสหราชอาณาจักรสามารถใช้ในการท่องเที่ยวไปที่อื่นๆในยุโรปได้หรือไม่? A:วีซ่านักเรียนจะอนุญาตให้คุณออกจากประเทศโดยไม่มีข้อกำหนด  แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไปท่องเที่ยวแบบที่ไม่เกี่ยวข้องการกับการเรียนของคุณ  ก็อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสงสัยว่าคุณเข้ามาเรียนที่นั่นจริงๆหรือไม่   ซึ่งในกรณีนี้  คุณจะต้องขอการรับรองจากสถาบันการศึกษาของคุณด้วย  เพื่อแสดงว่าคุณเรียนอยู่ที่ใด   และนักเรียนจะต้องมั่นใจด้วยว่าคุณดูปฏิทินการศึกษาของคุณก่อนที่จะวางแผนท่องเที่ยวใดๆก็ตาม วีซ่าของสหราชอาณาจักร ไม่สามารถใช้ในการท่องเที่ยวรอบๆยุโรปได้  คุณจำเป็นต้องมี Schengen Visa  ซึ่งคุณสามารถทำได้ที่สถานทูตของประเทศที่คุณต้องการจะไป  โดยคุณเพียงนำวีซ่าสหราชอาณาจักรไปยื่นที่สถานทูตเพื่อยืนยันว่าคุณไม่ได้จะไปอยู่ที่ประเทศเหล่านั้น แต่เพียงแค่ไปท่องเที่ยวเท่านั้น   Q:มีการจำกัดจำนวนของนักเรียนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรหรือไม่?  แล้วมันจะมีผลต่อกระบวนการรับสมัครหรือความเป็นไปได้ในการรับเข้าเรียนหรือไม่? A:ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของรัฐบาลจะไม่ได้เขียนออกมาในรูปของกฎหมาย  แต่พวกเราไม่เชื่อว่ามีการกำหนดจำนวนตายตัวในเรื่องนี้  มันเหมือนกับว่ารัฐบาลมองหาวิธีการลดจำนวนด้วยการทำให้การเข้ามามันยากขึ้นมากกว่า    เช่น พวกเขาลดจำนวนวิทยาลัยลง  ลดหลักสูตรที่นักเรียนต่างชาติสามารถเรียนได้  และเพิ่มผลคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เป็นต้น แต่ถ้าคุณเป็นนักเรียนที่มีความสามารถและมีความเก่งพอที่จะเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง  คุณก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว   Q:ถ้าต้องการที่เปลี่ยนหลักสูตรหรือเปลี่ยนสถานศึกษาระหว่างเรียนในสหราชอาณาจักร จำเป็นต้องไปทำวีซ่าใหม่หรือไม่? A:ถ้าคุณมี Tier 4 visa หรือได้รับ Tier 4 visa หลังจากเดือนตุลาคมปี 2009  คุณสามารถที่จะเปลี่ยนหลักสูตรหรือสถาบันการศึกษาได้  โดยคุณจะต้องขอยื่นเรื่องการขอเข้าเมืองใหม่ที่ the UK Border Agency ในการขอเปลี่ยนสถานศึกษา  ซึ่งสามารถทำได้ที่นั่นเลยโดยไม่ต้องกลับมาประเทศไทย  แต่ว่าขั้นตอนในการเปลี่ยนนั้นจะค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้น ในการขอเปลี่ยน คุณควรติดต่อไปที่หน่วยงาน University International Student Department ของมหาวิทยาลัยของคุณ หรือ บริษัทกฎหมายที่มีชื่อเสียงพอสมควร ในการจัดการในเรื่องนี้จะดีกว่า   Q:เราสามารถขอต่ออายุวีซ่าได้ทั้งหมดกี่ครั้ง? แล้วการต่ออายุครั้งใหม่จำเป็นต้องให้วันที่ที่ทำเหลื่อมทับกับวันที่เก่าหรือไม่  แล้วจะมีผลต่อสิทธิในการทำงานหรือเรียนในช่วงรอยต่อของเวลาหรือไม่? A:วีซ่านักเรียนสามารถต่ออายุได้ทั้งหมด 3 ครั้งสำหรับหลักสูตรต่ำกว่าปริญญาตรี  และไม่จำกัดสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีขึ้นไป ถ้าคุณต้องการที่ต่อวีซ่าในสหราชอาณาจักรเลย คุณต้องทำก่อนที่วีซ่าเก่าจะหมดอายุ  เพื่อที่วีซ่าจะได้เสร็จทันในระหว่างช่วงรอยต่อ คุณจะได้สามารถเรียนหรือทำงานได้เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณยื่นเรื่องช้า คุณก็ต้องหยุดทำงานในระหว่างที่วีซ่ากำลังต่ออายุ  แต่คุณยังสามารถเรียนได้ในระหว่างนั้น ควรยื่นใบขอต่ออายุให้ตรงกำหนดเวลา  เพราะไม่อย่างนั้น the UK Border Agency อาจจะปฏิเสธคำขอของคุณโดยไม่มีการให้ร้องขอ   Q:จะเป็นอย่างไรถ้าใบขอต่ออายุของเราถูกปฏิเสธ  หมายความว่าเราไม่สามารถเรียนต่อไปใช่หรือไม่? แล้วเป็นไปได้ไหมในการได้วีซ่าที่มีอายุครอบคลุมตลอดระยะเวลาการเรียนของเรา ไม่ใช่ต้องต่ออายุปีละครั้งแบบนี้? A:ถ้าคุณถูกปฏิเสธในการขอทำวีซ่าใหม่ แต่คุณก็ยังมีสิทธิในการทำเรื่องร้องขอ (ในกรณีที่คุณยื่นเรื่องก่อนที่จะหมดอายุ)   โดยเมื่อคุณทำเรื่องร้องขอแล้ว คุณก็จะสามารถทำงานหรือเรียนได้จนกระทั่งการร้องขอเสร็จสิ้น ตั้งแต่มีวีซ่าแบบ Tier 4 ขึ้นมานั้น The UK Border Agency ก็มีนโยบายในการอนุมัติวีซ่าที่มีอายุครอบคลุมตลอดหลักสูตร (รวมจำนวนเดือนเพิ่มเข้าไปด้วย ขึ้นอยู่กับความยาวและประเภทของหลักสูตร)   เพื่อลดปริมาณการยื่นใบขอวีซ่าที่มีหลากหลายแบบจนก่อให้เกิดความวุ่นวายออกไป   Q:มีข่าวลือว่า the Post Study Work Visa (PSW) ถูกปรับเปลี่ยน  แล้วจะมีผลต่อจำนวนเวลาสำหรับผู้เรียนจบในการทำงานหรือไม่?  แล้วราคาของวีซ่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? A:ในช่วงที่เขียนบทความนี้  the Post Study Work Visa  ยังคงเหมือนเดิม  ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการทบทวนระบบของวีซ่าประเภทนี้ก็ตาม  มันเหมือนกับวีซ่าอื่นๆ คือ the Post Study Work visa จะมีการเปลี่ยนแปลงทางราคาต่อไป  ทั้งๆที่มีการทบทวนเกิดขึ้น The Post Study work visa อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง หรือ ถูกยกเลิกไป   ซึ่งถ้ามันยังเป็นเช่นนั้น  ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนหรือลดปริมาณของเวลาในการทำงานของผู้ที่เรียนจบ http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/what-postgraduate-education-can-do-for-you/
การศึกษาระดับปริญญาตรี
        หลักสูตรเตรียมพื้นฐานจะเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างคุณสมบัติที่คุณมีกับเกณฑ์ที่แต่ละวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรได้กำหนดเอาไว้   โดยช่องว่างนี้จะเกิดขึ้นเสมอเพราะว่าในหลายประเทศๆนักเรียนจะเรียนในหลักสูตร 12 ปี ในขณะที่อังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและเวลส์จะเรียนหลักสูตร 13 ปี       หลักสูตรเตรียมพื้นฐาน หรือ International Foundation Year (IFY) programmes นั้น ในแต่ละวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรจะตั้งขึ้นสำหรับนักเรียนนานาชาติในการเตรียมพร้อมก่อนเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เช่น A-levels และ BTEC Nationals เป็นต้น  หลักสูตรหนึ่งปีนี้จะเป็นเหมือนกับหลักสูตรการศึกษาอื่นในสหราชอาณาจักร แต่มีการสอนภาษาอังกฤษเพิ่มเข้าไปด้วย  ในการเรียนหลักสูตรนี้คุณจะต้องมีอายุอย่างน้อย 17 ปีและมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดี (เทียบเท่ากับ คะแนน IELTS 5.0  ) อีกทั้งคุณควรจะจบหลักสูตรการศึกษาในหลักสูตรปกติแล้ว   โดยวิทยาลัยหลายแห่ง จะมีการทำข้อตกลงในเรื่องนี้เอาไว้กับมหาวิทยาลัยประจำท้องถิ่น  ดังนั้นควรดูรายละเอียดด้วยว่าวิทยาลัยที่คุณเลือกเรียนนั้นได้ทำข้อตกลงนี้ไว้หรือไม่  นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งก็มีการเปิดหลักสูตรเตรียมพื้นฐานนี้เอง เพื่อใช้ในการเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาที่นั่นได้เลยทันที       นักเรียนนานาชาติบางส่วน ก็มีการใช้การศึกษาหลักสูตรอื่น เช่น HNDs/HNCs, Foundation Degrees หรือ DipHEs ในการจบปริญญาตรีหลักสูตร bachelor's degree.   หลักสูตรปริญญาตรี       ในสหราชอาณาจักร การเรียนในระดับปริญญาตรีเป็นหลักสูตรที่ต้องเรียนต่อจากการเรียนในโรงเรียนเช่นเดียวกับบ้านเรา  โดยการเรียนในหลักสูตร  Bachelor's degree เป็นที่นิยมที่สุดในการเรียนระดับนี้  และก็ยังมีหลักสูตรอื่นๆด้วย เช่น HND/HNC, Foundation Degree และ DipHE ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสามารถโอนไปเรียนในระดับ bachelor's degree ได้ในปีสุดท้าย หลักสูตร Bachelor's degrees       ในอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือ  และเวลส์ การเรียนในระดับปริญญาตรีหลักสูตรนี้จะเรียน 3 ปีถึงจะได้รับปริญญาระดับ Honours Degree เช่น BA Media Studies และ BSc Business  ส่วนในสก็อตแลนด์ จะใช้เวลา 3 ปีในการจบปริญญาในระดับทั่วไป (Ordinary)และ 4 ปีในระดับ Honours Degree  นอกจากนี้ที่สก็อตแลนด์บางครั้งก็มีการให้คำประกาศแก่ผู้จบปริญญาตรีว่า Master's เช่น MA, MS, MEng ฯลฯ ก็ได้  ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละสถาบันการศึกษา       ด้วยความที่มีวิชามากมาย  ผลการสอบในปีแรกของคุณจะไม่ถูกนับลงไปในเกรดเฉลี่ยในปีสุดท้ายของคุณ  ผลสอบในปีที่สองและสาม รวมทั้ง  คะแนนจากรายงานปีสุดท้ายของคุณ (เรียงความขนาดยาวที่คุณอาจจะต้องเขียนในปีที่สาม) จะเป็นตัวที่อยู่ในเกรดเฉลี่ยในปีสุดท้าย  โดยคุณจะต้องเลือกวิชาเรียนของคุณ ทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก เพื่อสร้างตารางเรียนของคุณขึ้นมา  อย่างไรก็ตาม การจัดตารางเรียนขึ้นมาของแต่ละหลักสูตรนั้น ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันหมดไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยใดๆที่คุณเลือกเรียนก็ตาม       สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะจัดหลักสูตรที่ทำให้คุณมีโอกาสในการเรียนสองหรือสามสาขาวิชารวมกัน หรือเรียกว่า joint honours degree  โดยการรวมสาขาวิชานี้จะรวมเอาวิชาที่แตกต่างกันโดยไม่สนใจน้ำหนักว่าต้องเท่ากันหรือไม่ (เช่น BA Business Studies กับ ภาษาฝรั่งเศส)  การเรียนแบบ Sandwich courses นี้จะเหมือนกับหลักสูตรแบบอื่นๆ เพียงแค่มีการเพิ่มการฝึกงานเข้าไปในหลักสูตรด้วย   ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องใช้เวลาในการเรียน 4 ปีแทนที่จะเรียนแค่ 3 ปี หลักสูตร HND or HNC       HND (Higher National Diploma) เป็นหลักสูตรเต็มเวลา 2 ปี ที่เป็นการรวมเอาการเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานเข้าไปในหลักสูตรด้วย  ส่วน HNC (Higher National Certificate)  ก็จะคล้ายกัน ต่างกันตรงที่เป็นหลักสูตร Part-time   โดยการเรียนทั้ง HND และ HNC นั้น คุณสามารถโอนเพื่อเข้าเรียนต่อในบางสาขาของหลักสูตรปริญญาตรีในปีสองหรือปีสามได้    หลักสูตรนี้มีสอนอยู่ในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยทั้งในอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและเวลส์       HNCs ในสก็อตแลนด์จะเป็นแบบหลักสูตรเต็มเวลา 1 ปี  โดยหลักสูตร HNCจะเป็นหลักสูตรปีแรก และ HND จะเป็นหลักสูตรปีที่สอง   ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้เรียน HNCs จะมีโอกาสโอนเข้าเรียนต่อในปีที่สองของการเรียนหลักสูตรปริญญาตรีทั่วไป  และต่อในปีที่สามสำหรับผู้ที่เรียนหลักสูตร HNDs Foundation degree       คือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาในสายวิชาชีพต่างๆ ใช้เวลาในการเรียน 2 ปีแบบเต็มเวลา   โดยในสหราชอาณาจักร  คุณจะสามารถโอนเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี (bachelor's degree) ได้ในช่วงปีสองหรือปีสาม Diploma of Higher Education (DipHE)       DipHE คือ คุณวุฒิการศึกษาที่จะได้รับเมื่อ  จบการศึกษาหลังจากการเรียนเป็นเวลา 2 ปีในสถาบันการศึกษาระดับสูง (UK higher education institution)  อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่เรียนก็สามารถโอนเข้าไปเรียนในระดับปริญญาตรี (bachelor's degree) ในมหาวิทยาลัยได้  นักเรียนที่เรียน DipHE จะสามารถโอนเข้าไปเรียนในช่วงปีสองหรือปีสามของระดับปริญญาตรี โดยวิธีการนี้ นักเรียนสามารถสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา(Diploma)แล้ว จากนั้นสามารถเรียนในระดับปริญญา (honours) โดยไม่ต้องเรียนในปีแรกๆ และอีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนโอนจาก DipHE ไปเป็นการศึกษาระดับปริญญาตรีได้ด้วย คุณสมบัติในการสมัคร จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา       นักเรียนต่างชาติจำเป็นจะต้องจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (12 ปี) ก่อนการสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร  ผ่านการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ       ถ้าคุณต้องการที่จะเรียนที่สหราชอาณาจักรแล้วภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลักของคุณ  คุณจำเป็นต้องยื่นผลทดสอบทางภาษาอังกฤษ IELTS (International English Language Testing System) ก่อนที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรต่างๆ   โดยปกติแล้วนั้นจะคะแนน 4.0-5.0 สำหรับการเรียนหลักสูตรเตรียมพื้นฐาน  คะแนน 5.5-6.0 สำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรี และ 6.5-7.0 สำหรับการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา  ในบางมหาวิทยาลัยอาจจะรับผลทดสอบอื่น อย่างเช่น TOEFL  ก็ได้  ดังนั้นควรตรวจสอบไปยังมหาวิทยาลัยที่คุณสนใจก่อนว่าสถาบันนั้นๆต้องการผลการทดสอบประเภทใด   ขั้นตอนการสมัคร       การสมัครสำหรับการเรียนเต็มเวลาในระดับปริญญาตรีนั้น จะจัดขึ้นโดย UCAS ที่เป็นองค์กรศูนย์กลางในการจัดการรับสมัครนักเรียนในการศึกษาระดับสูง คุณควรเตรียมตัวก่อนวันเปิดเทอมประมาณ 12-18 เดือน เพื่อค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง  และเพื่อมีเวลาในการสอบการทดสอบต่างๆที่มหาวิทยาลัยต้องการ   โดยแต่ละปี UCAS จะได้รับใบสมัครประมาณห้าแสนใบ โดยรวมไปถึงใบสมัครจากนักเรียนต่างชาติกว่า 50,000 คนทั่วโลก       ก่อนที่จะสมัคร ควรจะตรวจสอบว่าคุณมีหลักฐานหรือเอกสารครบถ้วนสำหรับการสมัครหลักสูตรที่คุณต้องการแล้วหรือไม่  โดยคุณสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ของ UCAS  แต่ถึงอย่างนั้นการมีหลักฐานครบก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าคุณจะได้เข้าเรียนในสถาบันที่ต้องการ  คุณสามารถสมัครได้ถึง 5 หลักสูตรโดยการใช้ใบสมัครของ UCAS เพียงใบเดียว (ยกเว้นหลักสูตรแพทยศาสตร์, ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ ที่คุณสามารถเลือกสมัครได้แค่ 4 หลักสูตร)       ระบบการสมัครของ UCAS จะอนุญาตให้คุณสมัครผ่านเว็บไซต์ UCAS ได้โดยตรง  ซึ่งจะมีข้อดีมากมาย อาทิเช่น  ระบบการตรวจสอบอัตโนมัติเพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้อง, สามารถปรับปรุงหรือแก้ไขใบสมัครของคุณได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการก่อนยื่นใบสมัคร และสามารถดูผลการส่งได้หลังจากส่งเรียบร้อย  คุณจะถูกขอให้กรอกข้อมูลส่วนตัว รวมทั้งคุณสมบัติในปัจจุบัน (หรือสิ่งที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับ), เขียน personal statement , หนังสือรับรองและประวัติการทำงานต่างๆที่คุณมี       คุณสามารถยื่นใบสมัคร UCAS ได้ตั้งแต่เดือนกันยายนล่วงหน้าหนึ่งปีก่อนวันเปิดเทอมของหลักสูตรของคุณ  แต่ว่าจะต้องก่อนวันที่ 15 มกราคม   ยกเว้นสาขาแพทยศาสตร์, ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์  รวมทั้งใบสมัครที่ยื่นไปยัง University of Cambridge และ University of Oxford  ที่จะต้องยื่นก่อนเดือนตุลาคม  UCAS จะยื่นใบสมัครของคุณไปยังสถาบันการศึกษาต่างๆ และจากนั้นสถาบันเหล่านั้นก็จะส่งผลตอบรับมายังคุณเองว่าได้รับใบสมัครของคุณแล้ว http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/what-postgraduate-education-can-do-for-you/
การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
  การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา       ในสหราชอาณาจักร การเรียนระดับบัณฑิตศึกษา หมายถึง การเรียนระดับปริญญาโทและปริญญาเอก (PhD)  หรือหมายถึงการเรียนต่อในระดับสูงหลังจากที่เรียนจบระดับแรกมาแล้ว  โดยการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาในสหราชอาณาจักรนั้น  จะมีสาขาหลักๆอยู่ 4 สาขาด้วยกัน คือ 1.Pre-master's       Pre-master's คือหลักสูตรสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนปริญญาโทแต่ต้องการที่จะปรับปรุงทักษะทางด้านการเรียนไปด้วย อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ หรือต้องการการใช้ชีวิตในแบบนักเรียนอีกครั้ง   โดยหลักสูตรนี้จะใช้เวลาในการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี  โดยจะเรียนเกี่ยวกับทั้งทฤษฎี การปฏิบัติ การทำวิจัย ทักษะทางคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล  การสัมภาษณ์ การอ้างอิงข้อมูลและการเขียนเรียงความ (Essay) 2.Postgraduate certificates and diplomas       มีสาขาวิชามากมายที่อยู่ในการเรียนหลักสูตรนี้  ซึ่งจะใช้วิธีรับสมัครผู้เรียนที่มีคุณสมบัติหรือความเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ   โดยการเรียนหลักสูตรนี้จะคล้ายกับการเรียน master's degrees  แต่ไม่จำเป็นต้องเขียนวิทยานิพนธ์  นอกจากนี้บางสาขาก็สามารถโอนย้ายไปยังหลักสูตร master's degrees  ได้ด้วย 3.Master's courses โดยมีวิธีการเรียนหลักสูตร Master's courses (ปริญญาโท) อยู่ 2 แบบ คือ Taught master's (MA, MSc, MBA)       หลักสูตรนี้จะสอนเกี่ยวกับวิธีเกี่ยวกับการสอน  รวมทั้งการทำวิจัยและการเขียนวิทยานิพนธ์ ที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาให้   โดยจะใช้เวลาเรียน 1 ปีแบบเต็มเวลา Research master's (MRes, MPhil)       โดยถ้าคุณเลือกในการเรียนหลักสูตรนี้  แทนที่คุณจะต้องเข้าเรียนในห้องเรียนและเข้าร่วมการสัมมนาต่างๆ คุณกลับจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำวิจัยมากกว่า   ถึงแม้บางวิชาจะให้คุณเรียนเกี่ยวกับวิธีการสอน  แต่ท้ายที่สุดคะแนนในช่วงสิ้นเทอมของคุณก็ขึ้นอยู่กับวิทยานิพนธ์ของคุณมากกว่า 4.Doctorate (PhD)        PhD คือการเรียนระดับปริญญาเอก ซึ่งต้องการสอนให้ผู้เรียนสามารถสร้างผลงานวิจัยของตัวเองออกมาและเขียนวิทยานิพนธ์ได้ภายใต้การให้คำแนะนำของผู้สอนหนึ่งถึงสองคน   ในขณะที่ PhD คือวิธีโดยทั่วไปให้การได้รับวิทยฐานะเป็นปริญญาเอก  แต่ professional doctorates และ New Route PhDs ก็กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น   โดยการเรียนในระดับนี้จะใช้เวลาระหว่าง 5-8 ปี   คุณสมบัติในการสมัคร ผ่านการเรียนในระดับปริญญาตรี       ในการเรียนระดับปริญญาโทนั้น  คุณจำเป็นต้องผ่านการเรียนในระดับปริญญาตรีมาก่อน (bachelor's degree) อย่างน้อย 3 ปี  ส่วนในการเรียนระดับปริญญาเอก คุณจะต้องผ่านการเรียนในระดับปริญญาโทมาก่อน อย่างเช่น master's degree หรือเทียบเท่า ผ่านการทดสอบต่างๆ       โดยทั่วไปการเรียนในระดับปริญญาตรีที่ผ่านมาของคุณ ใบสมัครรวมทั้งการสัมภาษณ์  จะเป็นตัวชี้อยู่แล้วว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณได้รับคัดเลือก   แต่มีเพียงข้อยกเว้นเดียวเท่านั้น คือ ในการเรียนหลักสูตร MBA  คุณจะต้องเข้ารับการสอบ GMAT ก่อนและต้องได้ผลคะแนนตามที่กำหนดไว้       นอกจากนี้ คุณจะต้องมีผลทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษด้วย คือ ผลคะแนน IELTS หรือการสอบอื่นๆที่ได้รับการรับรอง   ขั้นตอนการยื่นใบสมัคร       สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร จะมีวิธีและวันเวลาในการรับสมัครเป็นของตัวเอง  ดังนั้นคุณควรเริ่มต้นในการเตรียมพร้อมใบสมัครของคุณก่อนวันเปิดเทอมล่วงหน้าประมาณ 12-18 เดือน เพื่อคุณจะได้มีเวลาในการหาข้อมูลของแต่ละสถาบันและเข้ารับการทดสอบต่างๆตามที่กำหนด  รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนการศึกษาและเงินทุนช่วยเหลือต่างๆด้วย         แต่ละสถาบันจะมีวันในการปิดรับสมัครไม่เหมือนกัน  แต่ปกติแล้วจะอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด  ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าถ้าคุณจะยื่นใบสมัครให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การยื่นใบสมัคร จะประกอบด้วย ใบสมัคร สำเนาประกาศนียบัตร และ Transcripts Personal statement ที่คุณจะเขียนเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของคุณ ถ้าคุณเลือกเรียนในหลักสูตรการทำวิจัย  คุณจำเป็นต้องมีหัวข้อและร่างคร่าวๆของผลงานวิจัยของคุณ จดหมายรับรอง : เกี่ยวกับความสามารถและงานของคุณ  ส่วนใหญ่แล้วจะเขียนโดยอาจารย์หรือนายจ้างของคุณ บางมหาวิทยาลัยอาจจะขอดู financial statement เพื่อเป็นเป็นการรับประกันว่าคุณมีความสามารถทางการเงินเพียงพอที่จะเรียนในระดับนี้ บางมหาวิทยาลัย จะมีการสอบสัมภาษณ์นักเรียนทั่วโลก  โดยเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยจะโทรไปสัมภาษณ์คุณด้วยตัวเอง แต่ถ้าคุณสมัครผ่าน the Graduate Teacher Training Registry (GTTR)  หรือผ่าน UCAS คุณก็จะได้รับการยกเว้นกฎเกณฑ์ในข้างต้น   หลักสูตรออนไลน์       มีหลายหลักสูตรที่เป็นหลักสูตรออนไลน์ซึ่งคุณสามารถนั่งเรียนได้ที่ประเทศของคุณเอง  ซึ่งการเรียนให้จบหลักสูตรนั้น  คุณอาจจะต้องเดินทางไปออสเตรเลีย สิงคโปร์ อเมริกา หรือแม้แต่สหราชอาณาจักร หรือไม่ต้องไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการศึกษา  ดังนั้นควรตรวจสอบไปยังสถาบันการศึกษาที่คุณสนใจเพื่อมั่นใจว่าหลักสูตรนั้นๆเป็นการเรียนออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่       หลักสูตรนี้มีทั้งแบบเต็มเวลาและ Part-time  โดยทั้งสองหลักสูตรจะมีสื่อการเรียนการสอนผ่านอินเตอร์เนต คุณสามารถสื่อสารกับผู้สอนและนักกเรียนคนอื่นได้ผ่านทางจดหมาย, อีเมล์, การ Chat หรือแม้แต่การ video conferencing ร่วมกัน       คุณสามารถเข้าเรียนในหลักสูตรออนไลน์นี้ได้ในทุกหลักระดับการศึกษา ทั้ง undergraduate certificates, diplomas and degrees, postgraduate masters  และ MBA's and professional qualifications คุณสมบัติ       การสมัครในหลักสูตรออนไลน์นั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการศึกษา และแต่ละสาขาที่คุณเลือกที่จะเรียน  โดยคุณสมบัติต่างๆนั้น จะเป็นการวัดและสร้างความมั่นใจว่าเมื่อคุณเข้าเรียนในหลักสูตรแล้วคุณจะสามารถจัดการการเรียนของคุณให้สำเร็จได้    สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ต้องการนักเรียนที่มีภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดี  เพราะงานของคุณที่ถูกส่งมายังมหาวิทยาลัยจะเป็นตัวประเมินผลการเรียนของคุณ   อันดับของมหาวิทยาลัย        มีการจัดอันดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมากมาย ซึ่งแต่ละอันก็เป็นการวัดหรือประเมินผลที่แตกต่างกันออกไป ทั้งจากปัจจัยด้านงานวิจัย  ผลงานของนักเรียน  ผลสำรวจของผู้สอน  และความคิดเห็นของนักเรียนในปัจจุบัน เป็นต้น        อันดับของสถาบันการศึกษาต่างๆนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเลือกของนักเรียน  แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องระวังในการใช้ข้อมูลด้วย เพราะบางครั้งการจัดอันดับนั้นๆอาจเกิดจากการทำขึ้นมาเองหรือได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/what-postgraduate-education-can-do-for-you/
10 อันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวในออสเตรเลีย
การเพิ่มขึ้นของพืชและสัตว์อย่างน่าประหลาดใจ รวมทั้งการเฟื่องฟูของกระแสการแข่งขันในการลดการสร้างภาวะโลกร้อนหรือ Global Warming  ส่งผลให้ประเทศออสเตรเลียทำงานอย่างหนักกับประชากรรุ่นใหม่ของประเทศ  ในการสนับสนุนพฤติกรรมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านการศึกษา    โดยล่าสุด หนังสือพิมพ์ The Australian ได้นำเสนอความพยายามของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ในการทำงานร่วมกันผ่านนโยบายสีเขียวของออสเตรเลีย จนได้ออกมาเป็น  10 อันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว อันดับ 1: Monash University หนังสือพิมพ์ได้รายงานว่า Monash Universityได้รับการยอมรับในหมู่ประชาชนว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ “เขียว” ที่สุดในออสเตรเลีย  ผ่านการพัฒนาแบบองค์รวมอย่างยั่งยืน  โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้โด่งดังในงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมระดับการศึกษาที่เกี่ยวข้องและหลักสูตรที่สำคัญอีกกว่า 300 หลักสูตร   จึงทำให้ได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งรางวัล the 2010 Premier's Sustainability Award, the UN Association Education Award และ the 2009 Banksia Environmental Award ด้วย อันดับ 2:  Australian National University ANU หรือ Australian National University ได้รับรางวัล the 2009 International Sustainable Campus Network award จากการรวมระบบการศึกษาทั้งหมดเข้ากับโปรแกรมสิ่งแวดล้อมสีเขียวที่ยั่งยืน อย่าง ANUgreen  โดยสถาบัน Climate Change Institute ที่เป็นสถาบันทำงานวิจัยของประเทศที่มีชื่อเสียง ก็ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย อันดับ 3: Macquarie University Macquarie University  เป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกยกย่องเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับความพยายามบำบัดน้ำเสียและการอนุรักษ์ธรรมชาติ ไปพร้อมๆกับการสร้างขยะให้น้อยที่สุด   มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นผู้ก่อตั้งนโยบายการลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิด Greenhouse Effect ที่ทำชนะ the 2001 Green Globe จากโรงงานพลังงานผลิตก๊าซจากพลังงานทดแทนที่ช่วยลดการก่อให้เกิด greenhouse gas ถึง 44%   นอกจากนี้ Macquarie ยังเป็นเจ้าภาพของ the Australian Research Institute for Environment and Sustainability อีกด้วย อันดับ 4: University of Western Sydney UWS หรือ University of Western Sydney  ได้มีความพยายามในเรื่องของการสอน,การเรียนรู้,การวิจัย,การสร้างสังคมการร่วมมือ และกระบวนการ ในการวางแผนงานอย่างยั่งยืน อันดับ 5: University of Adelaide ในบรรดามหาวิทยาลัยทั้งหมด University of Adelaide เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีการลงทุนในเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวสูงที่สุด  โดยมี Innova21 ตึกเรียนที่มีมูลค่าถึง 100 ล้านเหรียญ ที่รวมเอาความรู้ทั้งวิศวกรรม คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในการสร้าง  ตึกนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “การออกแบบในรูปแบบ Green Star Design ระดับหกดาวของประเทศออสเตรเลีย”   และยังชนะรางวัล the 2011 National Award for Sustainable Architecture จากสมาคมสถาปนิกแห่งประเทศออสเตรเลียอีกด้วย  นอกจากนี้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของ the Centre for Climate Change ด้วย อันดับ 6: University of Melbourne จากการที่มีเป้าหมายที่จะปลอดคาร์บอนก่อนปี 2030 ทำให้ University of Melbourne  ทำงานอย่างหนักในการทำวิจัย, การสร้างโครงการต่างๆ และการร่วมมือกับองค์กรภายนอก  เพื่อทำให้เป้าหมายนี้ประสบความสำเร็จให้ได้  อีกทั้งความต้องการนี้ ก็ทำให้การเรียนและชมรมทั้งหมดของมหาวิทยาลัย ทำงานภายใต้นโยบายที่เน้นความเป็นธรรมชาติมากขึ้น  เน้นการจัดการกับพลังงาน น้ำและของเสียมากขึ้น อันดับ 7: Charles Sturt University หอพักของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ที่ Albury-Wodonga ที่มีครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 8700 เอเคอร์ ได้กลายเป็นตัวอย่างของการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน   โดย CSU หรือ Charles Sturt University ได้สร้างเป้าหมายของการปฎิบัติการว่าจะต้องใช้พลังงานและน้ำเพียงแค่ 25 % และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้เพิ่มขึ้น 20% และปลอดการเกิดปรากฎการณ์ Greenhouse Effect ก่อนปี 2015 อันดับ 8: University of the Sunshine Coast USC หรือ University of the Sunshine Coast  ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางสถาปัตยกรรมในการสร้างตึกที่ใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่าที่สุดและลดการก่อให้เกิด Greenhouse Gas    และในเดือนตุลาคม 2011 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ก็ได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในออสเตรเลียที่ได้รับการยอมรับจาก the Urban Development Institute of Australia ในฐานะที่สามารถสร้างความยั่งยืนได้ 6 ทาง คือ ระบบนิเวศ ของเสีย พลังงาน วัตถุดิบ น้ำและชุมชน อันดับ 9: James Cook University ด้วยการที่มีโปรแกรมในสาขาชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาจำนวนมาก จึงทำให้การดำเนินการอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  เป็นไปได้ง่ายผ่านนักเรียนและผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทุกคน   James Cook University  ชนะรางวัล the 2010 Australian Business Award จากการมีสิ่งแวดล้อมที่มีความยั่งยืน และรางวัล the 2011 TEFMA Innovation Award สำหรับการลดการใช้พลังงาน  นอกจากนี้ที่นี่ยังมีชื่อเสียงในเรื่องการวิจัยปะการังและป่าดิบชื้นในระดับโลกอีกด้วย อันดับ 10: La Trobe University La Trobe University  เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในโลกที่ตีพิมพ์รายงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืนเกี่ยวกับการทำเพื่อสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของเขา  โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้สำเร็จในการลดการใช้พลังงานไปได้ถึง 11% ในระหว่างปี 2009-2010 และล่าสุดก็ได้รับรางวัล the 2011 Green Gown Award จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงองค์กรและการสร้างความยั่งยืนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนในสังคม  
หลักสูตรลัดในสาขา Business เพื่อเรียนต่อตรีปี 2 ในมหาวิทยาลัย Top ของอังกฤษ
Diploma in Business and Management Programme สำหรับนักเรียนที่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งไปแล้วแต่เปลี่ยนใจ อยากไปเมืองนอก และไม่อยากเสียเวลาเตรียมตัวใหม่อีกรอบ ที่ Bellerbys College (แคมปัส Brighton และ London) มีตัวเลือกดีๆ ให้กับน้องนักเรียน นักเรียนที่จบปีหนึ่ง (ระดับปริญญาตรี) สามารถมาลงเรียนคอร์ส “Diploma in Business Management”  ซึ่งเท่ากับการเรียนปี 1 ในมหาวิทยาลัยเมื่อจบแล้วสามารถเข้าปี 2 ได้ที่มหาวิทยาลัยที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ Bellerbys ได้ทันที เช่น Lancaster, Sussex, Leeds, Brightonเท่ากับว่าเรียน ปริญญาตรีที่อังกฤษในเวลา 3 ปีเท่านั้นค่ะ (ไม่ต้องไปเรียน Foundation ซ้ำ) คอร์สนี้มีข้อแม้อีกนิดนึงคือภาษาอังกฤษ IELTS (ต้องได้คะแนนหรือระดับ) 5.5 (ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์ นักเรียนสามารถมาลงเรียน English Language Preparation กับทางโรงเรียนก่อนได้ค่ะ) โรงเรียนเปิดสอน 2 ครั้งต่อปี คือเดือนกันยายน และเดือนมกราคมค่ะ!สำหรับปีนี้เท่านั้น Bellerbys College มีส่วนลดพิเศษให้ถึง 1650 GBP ต่อเทอม!!! ส่วนลดพิเศษสำหรับDiploma in Business Management ส่วนลดพิเศษ เริ่มเรียนเทอม ค่าเล่าเรียนต่อเทอม ส่วนลด (ต่อเทอม) ค่าเล่าเรียนคงเหลือ (ต่อเทอม) ค่าเล่าเรียนทั้งคอร์ส (3 เทอม) ส่วนลดทั้งหมด Special Bursary กันยายน 11, มกราคม 12 £5,640 £1,650 £3,990 £11,970 £4,950 ข้อมูลสำคัญ ข้อมูลคอร์ส ระยะเวลาเรียน: 3 เทอม จำนวนชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ 16-22ชั่วโมงต่อสัปดาห์สำหรับเข้าเรียนในคลาส และ 20+ ชั่วโมงต่อสัปดาห์สำหรับ self-study แคมปัส: Brighton หรือ London เริ่มเรียน: 14 กันยายน 2011 9 มกราคม 2012 เกณฑ์พื้นฐาน อายุ: 17.5+ ปี ระดับภาษาอังกฤษ: IELTS 5.5 ระดับการศึกษา: จบปี 1 ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย   หรือจบ High School จากโรงเรียนนานาชาติ (IB หรือ A Level) Diploma in Business and Management Programme หลักสูตรเรียนเร่งรัด เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น จบแล้วสามารถเข้าศึกษาต่อปี 2 ในมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ดังๆ เทียบเท่ากับปี 1 (ในอังกฤษปริญาตรีเรียนเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น) มีการดูแลใกล้ชิด จำนวนนักเรียนในชั้นเรียนน้อยมาก สามารถเรียนเพิ่มตัววิชา IT และภาษาอังกฤษ สามารถลงเรียนเพื่อสอบIELTS เพิ่มเติมได้อีกด้วย นักเรียนสามารถพัฒนา study skills เพื่อใช้ในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป รับรองโดย University of Sussex การันตีเข้าเรียนระดับปี 2 ได้ในมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ เหมาะกับนักเรียนที่ อายุ 17.5+ ต้องการศึกษาต่อสาขาด้าน Business ในมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร มีความพร้อมในการเรียนหนักในระยะเวลา 1 ปีเพื่อประหยัดเวลา ชอบเรียนในคลาสเล็กๆ ที่มีความดูแลใกล้ชิดเหมือนอยู่โรงเรียน ผลงานของนักเรียนปี 2010 ชื่อ มาจากประเทศ สาขา มหาวิทยาลัย ShuWun Kwok Hong Kong, China Business & Retail Management Surrey Oksana Khizhnyak Russia Business & Management Westminster Priyo PrasetyoPramono Indonesia Management Studies St Mary’s DmitroKostyuk Ukraine Business & Management St Mary’s หน่วยกิตวิชาการ Organisational Behaviour, Learning Skills (Quantitative Methods, Research skills, IT), Marketing, Introduction to Economics, Financial Accounting, Business Law, Academic English Double Module), Introduction to Business and Management   มหาวิทยาลัยพันธมิตรที่สามารถเข้าเรียนต่อในปี 2 หลังจากจบหลักสูตร Diploma แล้ว นักเรียนสามารถเข้าศึกษาต่อปี 2 ในสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยดังนี้ (ขึ้นอยู่กับผลสอบและผลภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัย คอร์สปี 2 Lancaster BSc (Hons) Business Studies BBA (Hons) Management BA/BSc (Hons) Accounting & Finance Leeds BA Business Economics BSc Business and Financial Economics BA Accounting and Finance BA Economics Sussex BSc Business (Finance) BSc Business (International Business) BSc Business (Marketing) BSc Accounting and Finance (from 2012) BSc Business and Management Studies (from 2012) BSc Business with Human Resource Management (from 2012) BSc International Business (from 2012) BSc Marketing and Management (from 2012) Henley Business School, Reading BA Accounting and Management BA Business and Management Bournemouth Account and Business, BA (Hons) Accounting and Finance, BA (Hons) Accounting and Law, BA (Hons) Finance and Business, BA (Hons) Finance and Economics, BA (Hons) Brighton BA (Hons) Business Management BA (Hons) Business Management with Marketing BA (Hons) International Business Oxford Brookes BSC Accounting and Finance BSc Business BA/BSc Business Management BA Business and Management BA Management Bangor Accounting and Economics BA/BSc (Joint Hons) Accounting and Finance BA/BSc (Hons) Administration and Management Degree BA (Hons) Business and Social Administration BA (Hons) Business Economics BA/BSc (Hons) Business Studies and Finance BA/BSc (Hons) Business Studies and Marketing BA/BSc (Hons) Business Studies BA/BSc (Hons) Management with Accounting BA/BSc (Hons) Marketing BA/BSc (Hons) Kingston Business Administration BBA(Hons) Business Management BA(Hons) single honours Business Studies BA(Hons) single honours Business Operations Management BSc(Hons) Human Resource Management BA(Hons) single honours Marketing Communications and Advertising BA(Hons) Marketing Management BA(Hons) single honours Essex BSc Business Management BA Accounting BA Accounting and Finance BA Accounting and Management BA Accounting with Economics BSc Finance BSc Banking and Finance Anglia Ruskin BA (Hons) Business Management BA (Hons) International Management BA (Hons) Marketing BA (Hons) Business Economics BA (Hons) International Business Strategy BA (Hons) Human Resource Management *BA (Hons) Accounting & Finance *BA (Hons) Tourism *As long as students are strong academically, they can take 75 credits in one semester (rather than the usual 60 credits) and therefore complete their degrees in two years. แนะนำโรงเรียน Bellerbys College Bellerbys College เป็นโรงเรียนนานาชาติสอนหลักสูตรวิชาการในสหราชอาณาจักรมีทั้งหมด 4 แคมปัส: Brighton, Cambridge, London, Oxford สอนหลักสูตร GCSEs, A Level and Foundation เพื่อเตรียมตัวนักเรียนนานาชาติเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ณ มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร พร้อมกับเตรียมตัวนักเรียนนานาชาติศึกษาต่อระดับปริญญาโท: MQP และ Pre-Masters นักเรียนกว่า 800 คนต่อปีจบจาก Bellerbys College เพื่อเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร มีนักเรียนมาจากกว่า 69 ประเทศ จำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 9 คนต่อชั้นเรียน เปิดสอนตั้งแต่ปี 1959 เวลาทำการ: วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9.30-18.30 น. โทร: 0-2943-8380 e-mail : info@learningcurve-th.com  http://www.learningcurve-th.com
เรียนเร็วจบเร็ว กับหลักสูตรปริญญาโท 1 ปี โดยไม่ต้องสอบ IELTS /TOEFL
University of Wollongong : เรียนเร็ว จบเร็วกับหลักสูตรปริญญาโท 1 ปี โดยไม่ต้องสอบ IELTS /TOEFL มหาวิทยาลัยวูลลองกอง (University of Wollongong) ออสเตรเลีย รับน้องๆบัณฑิตที่จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยที่เป็นหลักสูตร International Program ไม่เกิน 2 ปี มีเกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 2.8 ขึ้นไป เข้าเรียนหลักสูตรปริญญาโทด้าน Business, IT และ Engineering 1 ปีจบ โดยไม่ต้องยื่นผลภาษาอังกฤษ IELTS / TOEFL ได้แก่ - Master of International Business - Master of Management - Master of Project Management - Master of Retail management - Master of Science (Logistics) - Master of Accountancy - Master of Applied Finance - Master of Commerce - Master of Strategic Marketing - Master of Strategic Management - Master of Strategic Human Resource Management - Master of Engineering Management - Master of Engineering Practice - Master of Engineering Studies - Master of Information System - Master of Information & Communication Technology - Master of Information Technology Management - Master of Information Technology Studies สำหรับน้องๆที่เกรดเฉลี่ยน้อยกว่า 2.8 ต้องยื่นผลภาษาอังกฤษ IELTS (Academic) Overall 6.5 หรือ TOEFL Internet: 88 หรือเกรดเฉลี่ย 2.20-2.79 – หากไม่ยื่นผลภาษาอังกฤษ จะต้องเข้าเรียนภาษาคอร์ส Direct Entry 12 สัปดาห์ และเกรดเฉลี่ย 2.00-2.19 – เรียนภาษา 18 สัปดาห์ University of Wollongong เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองวูลลองกอง รัฐนิวเซาท์เวลส์ ห่างจากเมืองซิดนีย์ไปทางตอนใต้ ประมาณ 1 ชั่วโมง มีชื่อเสียงทางด้านการวิจัย และการเรียนการสอนในระดับสูง ปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งหมดประมาณ 22,000 คน ประกอบด้วยนักศึกษานานาชาติ ประมาณ 3,600 คน จาก 70 ประเทศทั่วโลก รวมนักศึกษาไทย กว่า 200 คน มหาวิทยาลัยเปิดสอนทั้งหมด 9 คณะ ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ, คณะศิลปศาสตร์, คณะศิลปกรรม, คณะวิศวกรรม, คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ, คณะศึกษาศาสตร์, คณะนิติศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์ และคณะสาธารณสุข ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญา University of Wollongong ได้รับรางวัล University of the Year จาก Good Universities Guide 2ปี ต่อเนื่อง (ปี ค.ศ.2000 และ 2001) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Learning Curve http://www.learningcurve-th.com
หลักสูตร Pre-Master’s
  หลักสูตร Pre-Master’s เมื่อคุณเริ่มต้นที่จะเรียนต่อต่างประเทศ สิ่งแรกเลยที่คุณต้องเผชิญคือตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งสาขาวิชา จุดหมายของการศึกษาต่อ มหาวิทยาลัย รวมทั้งระดับและหลักสูตรที่คุณตรงกับความต้องการ ที่มีตั้งแต่หลักสูตรในวันหยุดฤดูร้อนไปจนถึงระดับปริญญาเอก ซึ่งทำให้ข้อมูลที่คุณได้มีความสำคัญและเยอะจนคุณยากที่จะตัดสินใจ แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ เพราะวันนี้ฮอทคอร์สจะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของแต่ละหลักสูตรให้มากขึ้น เพื่อคุณจะได้สามารถเลือกสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ หลักสูตร Pre-Master's คืออะไร? หลักสูตรนี้มีสำหรับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการปูพื้นฐานไปยังการเรียนในระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยจะสอนเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับนี้ เช่น การเขียนและการฟังขั้นสูง ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศัพท์เฉพาะทางและความมั่นใจที่จะประสบความสำเร็จในระดับปริญญาโท โดยหลักสูตรนี้จะผ่านการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเรียนต่างชาติ ซึ่งการเรียนทักษะและการฝึกฝนภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็นการสอนสองถึงสามเทอมเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเรียนต่อในอนาคต โดยทั่วไปจะมีระยะเวลาในการเรียนประมาณ 12 เดือน คุณสมบัติในการสมัคร ในการเข้าเรียนหลักสูตร Pre-Master's คุณจะเป็นต้องมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่าง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษาด้วยเช่นกัน และนี่เป็นตัวอย่างของคุณสมบัติที่สถาบันส่วนใหญ่ต้องการสำหรับผู้ที่จะยื่นใบสมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้ • ต้องการเรียนเพื่อประกาศนียบัตรที่สูงขึ้นในสาขาที่เกี่ยวข้อง • ต้องการปริญญาในสาขาที่เกี่ยวข้อง • จบปริญญาตรีในสาขาใดก็ได้ • สำหรับหลักสูตรสองเทอม จะต้องมีคะแนนการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ IELTS 5.5 • สำหรับหลักสูตรสามเทอม จะต้องมีคะแนนการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ IELTS 5.0 วิชาอะไรบ้างที่สามารถเรียนในหลักสูตร Pre-Master's ? วิชาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทักษะในการเรียนเบื้องต้น เช่น การเขียนระดับสูง (รวมการเขียนเรียงความ, บรรณานุกรม และการเขียนและการแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงสร้างสรรค์) เพื่อเตรียมความพร้อมของคุณก่อนการเรียนที่แท้จริง เพราะลักษณะของการเรียนในสหราชอาณาจักรนั้น จะแตกต่างจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่คุณจะคุ้นเคยกับวิธีของที่นี่ นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียนวิชาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่คุณจะเรียนในระดับปริญญาโทได้ด้วย เช่น ถ้าคุณต้องการที่จะเรียนเกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจ คุณก็สามารถเลือกเรียนเกี่ยวกับธุรกิจเบื้องต้น อย่าง business communication หรือ marketing ทำไมต้องเรียนหลักสูตร Pre-Master's ? ข้อดีของการเรียน Pre-Master's คือ คุณจะได้รับความรู้ที่เป็นแกนหลักของสาขาและลักษณะการเรียนการสอนที่คุณต้องเผชิญเมื่อคุณเข้าไปเรียนในระดับปริญญาโท ดังนั้นคุณก็จะได้เรียนเกี่ยวกับการเขียนเรียงความและการทำบรรณานุกรมไปก่อน ทำให้คุณมีเวลาในการทำวิจัยมากขึ้นเมื่อคุณเข้าไปเรียนจริง โดยไม่ต้องมาเสียเวลาในการฝึกฝนทักษะเหล่านี้ นอกจากนี้ คุณยังได้ทำความคุ้นเคยกับชีวิตในต่างประเทศอีกด้วย เพราะปัญหา Cultural shock และ home sickness ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนนั้น อาจจะรบกวนคุณได้ ถ้าคุณไม่ได้ผ่านการเตรียมพร้อมมาก่อน _________________________________________________________________________________ บทสัมภาษณ์นักเรียนหลักสูตร Pre-Master's ชื่อ Eri Takayama หลักสูตร Pre-Master's Diploma in Business Studies คุณเรียนที่ไหน? ฉันเรียนที่ Greenwich University ในหลักสูตร Business Studies for International students ทำไมคุณถึงเลือกเรียน Pre-Master's? อย่างแรกคือฉันต้องการที่จะเรียน MBA ในสหราชอาณาจักร แต่ฉันไม่มีความมั่นใจพอที่จะเรียนต่อโดยตรง เนื่องจากระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของฉันไม่ค่อยดีนัก เมื่อตอนที่ฉันเริ่มต้นเรียนหลักสูตร Pre-Master's ฉันได้คะแนน IELTS 6.0 คะแนนซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับการยื่นสมัครเรียนต่อ แต่ว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการอย่างน้อย 6.5 คะแนน และหลักสูตร MBA ก็ต้องการถึง 7.0 คะแนน ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษเพิ่ม ถึงแม้ว่าฉันจะเตรียมตัวในการอ่านบทความมากมาย แต่ฉันก็ยังไม่เก่งในเรื่องของการแสดงความคิดเห็นหรือการเขียนเรียงความอยู่ดี ดังนั้นการเรียน Pre-Master's จึงเป็นเหมือนหนทางที่ช่วยเตรียมพร้อมในการใช้ชีวิตในสหราชอาณาจักรไปพร้อมๆกับพัฒนาทักษะในการเรียนและความเข้าใจ อะไรคือสิ่งที่สนุกที่สุดระหว่างการเรียนหลักสูตร Pre-Master's? ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการปฏิบัติจริงมากมาย อย่างเช่นการเขียนเรียงความ (essay) ซึ่งเหล่านี้ช่วยให้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นในการเรียน ในช่วงแรกเพียงแค่การเขียนเรียงความแต่สองสามบทความก็ทำให้ฉันตระหนกแล้ว เพราะฉันไม่รู้ว่าจะจัดการเนื้อหาที่มากมายหรือเขียนอย่างมีเหตุมีผลอย่างไร แต่ปัจจุบันฉันรู้สึกดีขึ้นมาก และมีความมั่นใจในการเขียน นอกจากนี้หลักสูตร Pre-Master's ยังทำให้ฉันได้พบปะกับเพื่อนชาวต่างชาติอื่นๆอีกมากมายจากหลากหลายประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้พบเจอคนใหม่ๆ ได้สร้างเพื่อนใหม่และได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังทำให้พวกเราได้คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบอังกฤษไปด้วยกันอีกด้วย ปัจจุบันคุณเรียนสาขาอะไรและหลักสูตร Pre-Master's ช่วยคุณในการเรียนสาขานี้อย่างไรบ้าง? ตอนนี้ฉันเรียนสาขา MBA หลักสูตรสองปี โดยฉันได้เรียนเกี่ยวกับวิชาพื้นฐานอย่าง business communication, marketing theories และ economics มาแล้วตอนเรียน Pre-Master's ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะฉันเข้าใจถึงพื้นฐานวิชาเหล่านี้แล้ว จึงทำให้ปัจจุบันฉันเรียน MBA ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก คุณมีคำแนะนำอะไรกับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการเรียนต่อ ณ สหราชอาณาจักร เกี่ยวกับการเรียน Pre-Master's หรือไม่? การเรียน Pre-Master's นั้น ไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน สำหรับฉัน ฉันพบว่ามันสร้างความมั่นใจและเสริมสร้างทักษะทางภาษาอังกฤษให้ฉันเพิ่มเติม ดังนั้นถ้าคุณต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษหรืออยากได้ความรู้พื้นฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขาที่คุณต้องการจะเรียนในระดับปริญญาโท ฉันก็แนะนำว่า Pre-Master's เหมาะสำหรับคุณ ---------------------------------------------------- http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/pre-masters/?campaign=292
MBA ในอังกฤษ
  MBA เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่เป็นที่นิยมมากที่สุดและเป็นที่ต้องการมากที่สุดของนักเรียนต่างชาติ ดังนั้นแล้ว MBA จึงถือว่าเป็นหลักสูตรที่คุ้มค่าในการพิจารณาถ้าคุณวางแผนที่จะไปเรียนต่อยังต่างประเทศหรือต้องการที่จะก้าวหน้าไปยังโลกของธุรกิจ โดยในบทความนี้ Marcelo Beltrame บรรณาธิการของเรา จะมาพูดถึงข้อมูลที่น่าสนใจและแนวทางในการเลือกหลักสูตรนี้กันค่ะ MBA ย่อมาจาก Master of Business Administration ที่เป็นหลักสูตรที่มีค่ามากสำหรับนักเรียนธุรกิจที่จะมองหาอนาคตที่สดใส โดย MBA คือหลักสูตรสำหรับผู้ที่รักในธุรกิจและผู้บริหารในหลากหลายสาขาของการจัดการ เช่น การตลาด,การเงิน,ทรัพยากรมนุษย์,บัญชี และอื่นๆอีกมาก ซึ่ง MBA จะเป็นประโยชน์ต่อใครก็ตามที่มองหาตำแหน่งเกี่ยวกับการจัดการ นอกจากนี้หลักสูตรนี้ยังทำหน้าที่เป็นบทบาทสำคัญในการเซ็นสัญญาระหว่างนักธุรกิจรุ่นใหม่และบริษัทระดับโลกอีกด้วย โครงสร้างหลักสูตร โดยทั่วไปหลักสูตรนี้จะเรียนที่ประมาณ 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษา) และด้วยความที่ได้รับความนิยม สถาบันการศึกษาหลายแห่งก็จะเขียนแจ้งเอาไว้ในโบชัวร์ของหลักสูตรอยู่แล้ว และยังทำให้ค่าธรรมเนียมในเรื่องนี้ก็แตกต่างกันไปอีกด้วย โดย MBA ในสหราชอาณาจักรมีราคาตั้งแต่ 5,500 ปอนด์ ถึง 68,000 ปอนด์ และเมื่อคุณคิดจะเลือกหลักสูตรนี้แล้ว อย่าลืมที่จะดูว่าสถาบันได้รับการรับรองหรือไม่ เพื่อรับรองได้ถึงมาตรฐานและคุณภาพของการศึกษา โดยการรับรองของสหราชอาณาจักรจะมาจาก AMBA (Association of MBAs) บางสถาบันในสหราชอาณาจักรก็อาจจะได้รับการรับรองระดับนานาชาตินอกจาก AMBA ก็ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณสงสัยว่าคุณควรจะเลือกสถาบันการศึกษาไหนดีนั้น คุณควรพิจารณาที่มาตรฐานการรับรองมากกว่าค่าเล่าเรียน ลองเข้าไปดูสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนเกี่ยวกับธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมากมายในสหราชอาณาจักรได้ที่นี่ คุณสมบัติในการสมัคร สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ต้องการนักเรียนจากสาขาใดก็ได้ ที่มีผลการศึกษาที่ดีในระดับปริญญาตรี และมีประสบการณ์การทำงานมาไม่น้อยกว่าสามปี โดยบางสถาบันก็อาจจะรับสมัครโดยไม่สนใจที่ปริญญา แต่สนใจที่ประสบการณ์หรือองค์ประกอบอื่นๆที่เป็นการยืนยันว่าคุณพร้อมที่จะเรียนหลักสูตรที่ท้าทายนี้ โดยสำหรับนักเรียนต่างชาติจะต้องทดสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษโดยได้คะแนนดังนี้ IELTS ได้คะแนนอย่างน้อย 6.5 คะแนน หรือ TOEFLได้คะแนนอย่างน้อย 580 คะแนน ข้อดีและข้อเสียของหลักสูตร จนถึงตอนนี้ คุณอาจจะสงสัยว่าหลักสูตร MBA นี้เหมาะสมกับคุณแล้วหรือยัง มาดูข้อดีและข้อเสียเกี่ยวกับหลักสูตรนี้เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกันค่ะ ข้อดี • MBA สอนเกี่ยวกับความรู้ในหัวข้อที่ลึกซึ้งกว่า • ความรู้ในสาขานี้จะช่วยให้คุณสามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย • สาขานี้จะช่วยให้คุณได้งานที่ดีขึ้น • คุณจะได้รับทักษะที่นำไปใช้งานได้จริง เช่น การเป็นผู้นำ การจัดการ และความมั่นใจในตนเอง • การได้รับ MBA จะเป็นสิ่งที่มีค่าในการสร้างความสัมพันธ์สำหรับโอกาสในการทำงานในอนาคต • MBA ไม่ได้เพียงแต่ทำให้คุณได้งาน แต่ยังมอบทักษะที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองเมื่อใดก็ได้ตามที่คุณต้องการ ข้อเสีย • หลักสูตรนี้มีราคาแพง และไม่มีอะไรมารับประกันว่าคุณจะได้รับงานที่มีเงินเดือนสูงเมื่อคุณจบการศึกษาออกไป • หลักสูตรนี้จริงจังและเครียด ไม่มีการยืดหยุ่นเหมือนกับหลักสูตรอื่นๆ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องทุ่มเทและเสียสละเวลามากในการเรียน • เป็นการยากที่จะทำความคุ้นเคยกับการเรียนรู้ธุรกิจในเชิงทฤษฎี เมื่อคุณได้ใช้เวลาในการทำงานจริงๆในเชิงปฏิบัติมาแล้ว MBA ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเดียว เพราะมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรนี้ก็จะเปิดหลักสูตร MSc (Master of Science) ในหัวข้ออื่นๆเกี่ยวกับธุรกิจด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าคุณสนใจที่จะเรียนเกี่ยวกับบริษัทระหว่างประเทศและวิธีการทำงานของมัน คุณควรเลือกเรียน Master's degree in International Business เป็นต้น แต่ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่าคุณควรเลือกเรียน MBA หรือไม่ คุณก็ควรจะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เคยเรียนหลักสูตรมาก่อน เพราะคนเหล่านี้จะเป็นที่ปรึกษาที่วิเศษสำหรับคุณ และคุณก็จะได้มีโอกาสที่จะรู้เกี่ยวกับหลักสูตรมากขึ้นและรู้ว่าพวกเขานำความรู้ที่ได้มาใช้ในการทำงานจริงอย่างไรบ้าง นอกจากนี้คุณก็สามารถไปสอบถามข้อมูลต่างๆได้ที่ที่ปรึกษาประจำมหาวิทยาลัยของคุณ หรืออาจารย์ของคุณก็ได้เช่นกัน ลองเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย เพื่อดูว่ามันสอดคล้องกับความต้องการของคุณหรือไม่ ถ้าคุณสนใจที่จะเรียนต่อในหลักสูตร MBA คุณจำเป็นต้องมีความอดทนและทำงานวิจัยตลอดเวลา ดังนั้นคุณจึงควรใช้เวลาในการหาหลักสูตรที่เหมาะกับคุณหรือสถาบันการศึกษาที่ตรงกับความต้องการจริงๆ เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับในอนาคตนั้นมันหนักหนาและยากลำบากกว่าประสบการณ์ที่คุณเผชิญในปัจจุบันอย่างแน่นอน ----------------------------------- http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/mba/?campaign=292
นักเรียนปริญญาเอกกับชีวิตนอกตำรา
  นักเรียนปริญญาเอก VS ชีวิตนอกตำรา นักเรียนปริญญาเอกพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตนอกตำราหรือไม่? ปัจจัยหลักที่นักเรียนต่างชาติส่วนมากจะตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาเอกในต่างประเทศ ก็เพราะกำลังมองหางานที่ให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุนและเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จ แต่ด้วยตลาดแรงงานที่หนาแน่น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ว่างสำหรับนักเรียนปริญญาเอกผู้ที่ใช้เวลาสามถึงสี่ปีของช่วงแรกในชีวิตการทำงานไปกับการเตรียมตัวเพื่อกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแทน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมตลาดแรงงานในปัจจุบันถึงได้ทำให้คุณท้อแท้ในการเรียนต่อในสาขาวิชาที่คุณสนใจ ทั้งๆที่สิ่งที่สำคัญที่จะเป็นประโยชน์คือการทำงานและต้องเตรียมตัวเป็นผู้ที่มีความสามารถรอบด้านเพื่อประสบความสำเร็จในตลาดงานระดับโลก ตลาดได้เปลี่ยนแปลงไป นักเรียนในปัจจุบันมองเห็นถึงความต้องการที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานในฐานะผู้ท้าชิงรุ่นใหม่ โดยมีหลักฐานในความคิดนี้เพิ่มขึ้น เช่น สาขามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีตลาดแรงงานที่แข่งขันสูงขึ้นและที่ว่างในมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าในสาขานี้ก็ลดลง ส่งผลให้การประกอบอาชีพใหม่ๆกลายเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องคำนึงถึง และด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้ที่จบการศึกษารุ่นใหม่ก็สามารถเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้าความท้าทายก่อนจบออกไปจากมหาวิทยาลัยได้ เช่น เว็บไซต์ versatilephd ที่เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยเหลือนักเรียนระดับปริญญาเอกในการคิดนอกกรอบและคิดถึงอนาคตหลังจากจบการศึกษา นอกจากนี้ ปัจจุบันยังเกิดการถกเถียงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างมหาวิทยาลัยและนักเรียนเพื่อคอยรับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตในเรื่องนี้อีกด้วย แต่ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งจะจ้างที่ปรึกษาทางอาชีพมาดูแลนักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษา ก็ยังมีวิธีอีกมากที่จะสามารถเปลี่ยนนักเรียนให้กลายเป็นนักทำงานมืออาชีพ วัฒนธรรมการคาดหวัง หนึ่งในกำแพงหรืออุปสรรคสำคัญที่นักเรียนจะพบเมื่อออกไปทำงาน ก็คือ การคาดหวังว่านักเรียนปริญญาเอกเหล่านี้เป็นผู้ที่เรียนมาเพื่อเป็นที่ปรึกษาทางด้านวิชาการระดับสูงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็มีนักเรียนปริญญาเอกบางคนค้นพบการทำงานที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญนี้ไปได้ และสิ่งนี้ก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้นักเรียนปริญญาเอกคนอื่นๆได้ว่าพวกเขาควรพิจารณาอาชีพใหม่ๆ ทักษะที่การเรียนปริญญาเอกมอบให้คุณ สิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งแรกที่หลักสูตรปริญญาเอกมอบให้คุณนอกเหนือไปจากการสร้างให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็คือ ความรู้ โดยทักษะที่ต้องเจอตลอดเวลาในการทำงานทุกๆวัน คือ การทำวิจัย, การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดต่างๆ, การรวบรวมงานวิจัยและการวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับประเด็นที่เป็นที่สนใจอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ, รู้วิธีการวางแผนและปฏิบัติโครงการระยะยาว เป็นต้น โดยในองค์กรมากมายมองเห็นว่านักเรียนปริญญาเอก ถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามากสำหรับการยกระดับมาตรฐานของบริษัท ดังนั้น ในโลกของการศึกษาที่กำลังพัฒนาต่อไปเนื่องไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้น สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงก็คือการนำเอาทักษะที่จำเป็นเพื่อยกระดับโอกาสทางอาชีพของคุณ และหลักสูตรปริญญาเอกและบัณฑิตศึกษา สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ให้คุณได้ ทางเลือกใหม่ของเส้นทางอาชีพสำหรับผู้ที่จบการศึกษา ไม่ว่าหัวข้องานวิจัยของคุณจะเป็นอะไร การจบการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาจะเปิดกว้างโอกาสของคุณในการทำอาชีพต่างๆมากมาย เช่น นักวารสารศาสตร์ , นักเขียน : ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อเฉพาะทางที่คุณสนใจ ที่ปรึกษาธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ : คุณสามารถช่วยธุรกิจได้จากบริษัททั่วโลก เพื่อให้พวกเขาเข้าใจการทำงานขององค์กรตัวเองมากขึ้น นักวิจัยในธุรกิจและอุตสาหกรรม ผู้ให้คำแนะนำทางด้านการศึกษา หรือ ผู้ช่วยเหลือสำหรับการศึกษาระดับสูง : การไม่ได้เป็นครูไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องละทิ้งงานด้านวิชาการโดยสิ้นเชิง นักวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มสิทธิมนุษยชน, NGO หรือองค์กรระหว่างประเทศ : เตรียมพร้อมให้ดีกับการเดินทางไปรอบโลกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรู้ของคุณพร้อมด้วยกระเป๋าหนึ่งใบ นักวางแผนและวิเคราะห์นโยบาย : คุณสามารถกลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจสำคัญๆที่เปลี่ยนแปลงโลกของเราได้ ------------------------------------------ http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/study-options/phd-students-ready-face-non-academic-life/?campaign=292
การเปลี่ยนแปลงตลาดงานใน ปี 2012
    การเปลี่ยนแปลงของตลาดงานสำหรับนักศึกษาจบใหม่ ใน ปี 2012 จากการรายงานข่าว ถึงแม้ว่าตลาดงานสำหรับนักศึกษาจบใหม่ในสหราชอาณาจักรกำลังจะขยายตัว แต่กลับเป็นผลดีสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานเท่านั้น แล้วนักเรียนต่างชาติจะสามารถเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง ในวันนี้ฮอทคอร์สจะมาให้คำแนะนำในเรื่องนี้ค่ะ รายงานล่าสุดของงานวิจัย High Fliers Research ได้ออกมาบอกว่า ทั้งๆที่เศรษฐกิจในอนาคตจะยังไม่แน่นอน แต่ก็ยังมีที่ว่างเพียงพอสำหรับนักศึกษาจบใหม่ในปี 2012 โดยนายจ้างคาดหวังว่าจะมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากปี 2011 ถึง 6.4% ซึ่งบางส่วนก็เป็นนายจ้างของบริษัทที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “หนึ่งใน 100 บริษัทที่ดีที่สุดที่คนอยากร่วมงานด้วย” ใบสมัครงานของนักศึกษาจบใหม่ในบริษัทชั้นนำกว่า 100 แห่งในปี 2012 นั้น ได้เพิ่มขึ้นกว่า 19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงคาดได้ว่าในปีนี้การแข่งขันในตลาดงานจะรุนแรงและเข้มข้นขึ้น รายงานจะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย โดยสาขาที่มีตำแหน่งงานว่างแบ่งเป็น สาขาบัญชีและงานบริการ มีความต้องการ 26% ธนาคารขนาดใหญ่และเพื่อการลงทุน มีความต้องการ 15.7% ร้านค้าปลีก 7.9% บริษัทไอทีและการสื่อสารโทรคมนาคมในฐานะบริษัทของรัฐที่มาพร้อมกับ Teach First scheme มีความต้องการ 11.4% นายจ้างกล่าวว่าพวกเขาได้รับใบสมัครจากนักศึกษาจบใหม่ในปีนี้เฉลี่ยประมาณ 19% ซึ่งบริษัทรับสมัครงานก็ได้รายงานว่าเป็นการเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าจากปริมาณปกติ ทำให้องค์กรที่มีชื่อเสียงจำนวนมากได้ปิดรับใบสมัครสำหรับตำแหน่งในปี 2012 ไปแล้ว นอกจากนี้ รายงานยังได้เตือนนักศึกษาจบใหม่ว่า โอกาสในการประสบความสำเร็จของพวกเขานั้นกำลังจะถูกจำกัดลง ถ้าพวกเขาไม่ผ่านการฝึกงานหรือไม่มีประสบการณ์การทำงาน ด้วยการเพิ่มขึ้นของใบสมัครในขณะนี้ ทำให้ผลสำรวจของบริษัทต่างๆแสดงออกถึงความต้องการจ้างงานว่าต้องการนักศึกษาจบใหม่ที่มีประสบการณ์การทำงาน 36% ของตำแหน่งงานว่างสำหรับนักศึกษาจบใหม่ในปีนี้ คาดว่าจะถูกแย่งไปโดยผู้สมัครที่มีประสบการณ์การทำงานระหว่างที่เรียนหนังสือ “นักศึกษาจบใหม่ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานอะไรมาก่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น มีความหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะได้ทำงานที่ได้เงินเดือนดีในบริษัทชั้นนำ” Martin Birchall, managing director of High Fliers Research กล่าว นักศึกษาต่างชาติจะเตรียมพร้อมกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? ความเป็นไปได้ที่จะมีประสบการณ์การทำงานและนำไปสู่งานที่ดีหลังเรียนจบนั้น ยังคงเป็นที่นิยมในบรรดานักศึกษาต่างชาติ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการหาประสบการณ์นั้น จะทำให้เรื่องยุ่งยากเพิ่มขึ้น ควรนึกอยู่เสมอถึงข้อดีของการเป็นนักศึกษาต่างชาติว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากในการนำเสนอตัวเองกับนายจ้าง การพูดได้สองภาษา, ประสบการณ์การทำงานในประเทศบ้านเกิดของคุณ และประสบการณ์การใช้ชีวิตในต่างเมืองนั้น ล้วนเป็นข้อดีที่จะดึงดูดความสนใจของนายจ้างได้ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญมากในการคำนึงถึงแนวโน้มความต้องการในปัจจุบันที่ต้องการประสบการณ์ด้านการทำงาน และการฝึกงานสามารถนำไปสู่การทำงานเต็มเวลาได้ในอนาคต ตรวจสอบรายละเอียดกับมหาวิทยาลัยของคุณเกี่ยวกับการฝึกงานที่คุณสามารถทำได้ก่อนที่จบการศึกษา คุณสามารถเข้าไปยังแผนกดูแลด้านการหางานของมหาวิทยาลัยของคุณ หรือพูดคุยกับผู้สอนเพื่อหาโอกาสว่าคุณสามารถไปฝึกงานที่ไหนได้บ้าง เว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์ : Milkround Graduate talent pool Student job Freelance student ---------------------------------------------- http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/latest-news/graduate-job-market-2012/?campaign=292
มหาวิทยาลัยอังกฤษจะเปิดสาขาในไทย
  ในวันนี้ฮอทคอร์สจะนำข่าวดีมาบอกเกี่ยวกับผู้ที่สนใจที่จะไปเรียนต่อที่สหราชอาณาจักรค่ะ เพราะอีกสองปีเราก็จะสามารถได้เรียนที่มหาวิทยาลัยของอังกฤษโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลอีกต่อไป เพราะว่ามหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรอย่าง The University of Central Lancashire กำลังจะเปิดวิทยาเขตในกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือว่าได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของสหราชอาณาจักรที่จะมาตั้งที่ประเทศไทยนั่นเองค่ะ โดย The University of Central Lancashire ได้ตกลงเซ็นสัญญากับนักลงทุนในประเทศไทยว่าจะมาเปิดวิทยาเขตในกรุงเทพฯในปี 2014 ซึ่งจะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษและมีทุกอย่างที่สมบูรณ์เหมือนกับมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ การมาตั้งวิทยาเขตของ The University of Central Lancashire ในครั้งนี้เป็นตัวอย่างล่าสุดของการทำมหาวิทยาลัยให้ก้าวไปสู่ในระดับสากล ด้วยการตั้งวิทยาเขตกระจายไปยังต่างประเทศ ที่ the University of Nottingham ได้เริ่มต้นทำมาก่อน ด้วยการไปเปิดวิทยาเขตที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกมากมายจากสหราชอาณาจักรและอเมริกาที่เข้ามาตั้งวิทยาเขตในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค เช่น Newcastle University และ the University of Nottingham ตั้งที่มาเลเซีย, University College London ตั้งที่กาต้าร์ เป็นต้น การประกาศแผนการตั้งวิทยาเขตในครั้งนี้ เป็นแผนการที่จะสร้างมหาวิทยาลัยใหม่ที่สามารถสร้างโอกาสในการเติบโตและเปิดรับนักศึกษาจากหลากหลายประเทศ โดยเหตุผลที่ The University of Central Lancashire เลือกประเทศไทยในการตั้งวิทยาเขต ก็เพราะว่าผลการสำรวจพบว่าประเทศไทยมีความต้องการหลักสูตรในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษาที่สูงมาก อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นเหมือนศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ดังนั้น ที่นี่เป็นเหมือนกุญแจสู่ความสำเร็จของการเติบโตในอนาคต ถึงแม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรอื่นๆที่มีเครือข่ายอยู่ในประเทศไทยอยู่มากมาย แต่ University of Central Lancashire ก็ถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มาตั้งวิทยาเขตอย่างสมบูรณ์แบบ โดยทางมหาวิทยาลัยคาดว่าจะมีนักเรียนประมาณ 5,000 คนภายในระยะเวลา 10 ปี มหาวิทยาลัยจะเปิดสอนหลักสูตรมากมาย เช่น การจัดการธุรกิจ, ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม, วิศวกรรมศาสตร์, ศิลปะและสื่อสร้างสรรค์ และ ภาษาศาสตร์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนที่สหราชอาณาจักร ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะว่าในอนาคตจะมีมหาวิทยาลัยอื่นๆมาเปิดวิทยาเขตในประเทศไทยอีกหรือไม่ ที่มา : BBC http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/latest-news/uk-university-to-open-campus-in-thailand/
สถาบัน agentcy ที่เป็นสมาชิกกับ TIECA
  สถาบันที่ได้รับรองจาก TIECA     สมาคมไทยแนะแนวการศึกษานานาชาติ (TIECA) THAI INTERNATIONAL EDUCATION CONSULTANTS ASSOCIATION (TIECA) ประวัติความเป็นมาของสมาคมฯ สมาคมไทยแนะแนวการศึกษานานาชาติ (สทศ.) เป็นองค์กรซึ่งพัฒนามาจากชมรมแนะแนวการศึกษา ต่อต่างประเทศ ซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อย่อว่า ECT (The Education Consultants Group of Thailand)  จัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของสมาชิกชมรมจำนวนเพียง 12 บริษัท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2533 เวลาผ่านไปเจ็ดปี สมาชิกของชมรมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การให้บริการที่เพียบพร้อมด้วยข้อมูลและ คุณภาพได้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ผนวกกับเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นจะเพิ่มเติมมาตรฐานให้กับการศึกษา ต่อต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สมาชิกชมรมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินการขอเปลี่ยนสถานภาพ ชมรมแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นสมาคมไทยแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ (สนต.) ในวันที่ 11 กันยายน 2540 โดยได้จดทะเบียนเปลี่ยนสถานภาพเป็นสมาคมทางวิชาชีพที่ได้รับการรับรองอย่าง ถูกต้องตามกฏหมาย และได้ยื่นเรื่องกับกระทรวงพาณิชย์ขอเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมไทยแนะแนวการ ศึกษานานาชาติ (สทศ.) ในเวลาต่อมา สมาคมไทยแนะแนวการศึกษานานาชาติมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Thai International Education Consultants Association หรือชื่อย่อว่า TIECA  ปัจจุบันสมาชิกของสมาคมฯ มีจำนวน 71 บริษัท ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผลงานและชื่อเสียงของสมาคมฯ  ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับทั้งในประเทศและระดับนานาชาติเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งจากองค์กรการศึกษาใน ต่างประเทศ และศูนย์แนะแนวการศึกษาของต่างประเทศที่มีที่ทำการในประเทศไทย นอกจากนี้สมาคมฯ  ยังเป็นสมาชิกของ Federation of Education and Language Consultant Associations (Felca)  ประกอบไปด้วยสมาชิกจากประเทศทั่วโลก และ WYSETC (World Youth Student & Educational Travel  Confederation) ทำให้สมาชิกของสมาคมฯ ได้รับข่าวสารข้อมูล การร่วมมือทางวิชาการจากต่างประเทศ อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ที่ทำการของสมาคมฯ  เลขที่ 503/30 อาคาร KSL ชั้น 18  ถนนศรีอยุธยา พญาไท ราชเทวี กทม. 10400  โทร. 0 2642 6114  แฟกซ์ 0 2642 6115  นโยบายและจุดมุ่งหมายของสมาคม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาในด้าน การศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ ในการพัฒนาประเทศ และส่งเสริมพัฒนาคุณภาพของประชากร เพื่อให้คำปรึกษาและแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศอย่างเป็นระบบ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและ วิธีการที่เหมาะสม เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของนักเรียน นักศึกษาไทยที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อเพิ่มเติมมาตรฐานให้กับวงการ การศึกษาต่อต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง    บริการที่จะได้รับจากสมาชิกสมาคมฯ ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันต่างๆ ระดับการศึกษา และที่ตั้งของสถาบันการศึกษา รายละเอียดของหลักสูตร ค่าเล่าเรียนและระเบียบการ ขั้นตอนการสมัครเรียน การเตรียมเอกการสมัครเรียนและขั้นตอนการขอวีซ่า คำแนะนำและข้อมูลด้านการเตรียมตัวก่อนการเดินทางและรายละเอียดของที่พัก  จัดหาที่พักและรับที่สนามบิน ให้คำแนะนำการใช้บริการธนาคารในต่างประเทศของแต่ละประเทศ จัดหาตั๋วเครื่องบินในราคานักเรียน การประกันสุขภาพระหว่างศึกษาต่อ สิทธิต่างๆ ที่พึงจะได้รับในฐานะนักศึกษานานาชาติ   ประโยชน์ที่จะได้รับ   นักศึกษา ผู้ปกครองจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อประกอบการพิจารณาเลือกสถาบัน การศึกษาได้เหมาะสมที่สุด สำหรับนักศึกษาแต่ละคน นักศึกษาได้รับความสะดวกในการติดต่อเกี่ยวกับการเดินทาง นักศึกษาจะได้รับการช่วยเหลือแนะนำอย่างต่อเนื่องระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ สมาคมฯ มีบทบาทหน้าที่ในการเป็นตัวกลางแก้ไขปัญหา และประสานงานระหว่างนักศึกษา สถาบัน และผู้ปกครอง ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแนะแนว สมาชิกสมาคมฯ ทุกบริษัทล้วนแต่เป็นผู้ที่อยู่ในวงการการศึกษาต่อต่างประเทศมานาน มีประสบการณ์  และผ่านปัญหาที่เด็กนักเรียนไทยประสบขณะเรียนอยู่ต่างประเทศ ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้สมาชิก สมาคมฯ ทุกคนสามารถเตรียมความพร้อมของนักเรียนไทยก่อนเดินทางได้อย่างดี และสามารถช่วยลด ขั้นตอนการสมัครเรียน พร้อมด้วยข้อมูลที่ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจากสมาชิกสมาคมฯ ได้รับการแต่งตั้งให้ เป็นตัวแทนจากสถาบันการศึกษาต่อต่างประเทศ และได้รับข้อมูล ข่าวสาร ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลาอย่างสม่ำเสมอ ความช่วยเหลือที่ต่อเนื่อง นักเรียนไทยส่วนใหญ่ยังต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม ระบบ การศึกษาที่แตกต่างจากเมืองไทย หลายคนประสบปัญหา เช่น เรื่องที่พัก เรื่องชั้นเรียน แม้ว่าสถาบัน การศึกษาส่วนใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่สถาบันคอยให้ความช่วยเหลือ ดูแลและแก้ปัญหาให้นักศึกษาไทย แต่  ปรากฎบ่อยครั้งว่า บริษัทสมาชิกสมาคมฯ ได้มีบทบาทอย่างมากในการแก้ปัญหาและประสานงานระหว่าง เด็ก สถาบันและผู้ปกครอง จนทำให้ปัญหาคลี่คลายลงได้้ หมดกังวลเรื่องการทุจริตเงินค่าเล่าเรียน สมาคมฯ ถือกฎเคร่งครัดในการคัดเลือกสมาชิก และกฎข้อหนึ่งที่สมาคมฯ ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ  ความซื่อสัตย์ สุจริตในการประกอบวิชาชีพนี้ เนื่องจากนักเรียนนักศึกษาและผู้ปกครองจำนวนมาก ให้ความไว้วางใจในการให้บริษัทสมาชิกเป็นตัวกลางในการส่งค่าเล่าเรียนไปยังสถาบันต่างประเทศ  สมาคมฯ จึงถือเป็นกฎข้อบังคับที่สมาชิก สมาคมฯ จะต้องซื่อสัตย์สุจริตในการให้บริการและ ดำเนินการทางวิชาชีพ ในอดีตได้มีการปกป้องสิทธิของนักเรียนไทยอย่างไร ภายใต้กรอบการดำเนินธุรกิจที่ยึดถือหลักซื่อสัตย์ สุจริต และคุณธรรม สมาคมฯ ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ ที่รักษาผลประโยชน์ทั้งของนักเรียน นักศึกษา และสถาบันการศึกษาที่สมาชิกเป็นตัวแทน โดยยึดหลัก เหตุผลและความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ในอดีตที่ผ่านมา หนึ่งในบริษัทสมาชิกยักยอกเงินค่าเล่าเรียนของ นักเรียน โดยไม่นำส่งสถาบัน สมาคมฯ (ขณะนั้นที่เป็นชมรม) ได้มีหนังสือแจ้งสถาบันการศึกษาต่างๆ  ถึงพฤติกรรมที่ไม่สุจริตของบริษัทนี้ และในที่สุดได้ให้สมาชิกท่านนั้นออกจากชมรมฯ  นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่นักศึกษาท่านหนึ่งซึ่งได้เสียค่าเล่าเรียนไปยังสถาบันในต่างประเทศแต่ไม่ ผ่านวีซ่าตามกฎเกณฑ์ เมื่อนักศึกษาไม่ได้รับวีซ่า สถาบันจะต้องคืนเงินค่าเล่าเรียนให้กับนักศึกษาโดย ไม่ล่าช้า แต่สถาบันแห่งนี้ไม่ได้ดำเนินการคืนเงินค่าเล่าเรียนให้ แม้จะได้ใช้ความพยายามติดตาม ทวงถามหลายครั้งแล้วก็ตาม ในที่สุดชมรมฯ ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังสมาคมฯ ที่สถาบันแห่งนี้เป็น สมาชิกอยู่ ได้มีการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด และสมาคมฯได้มีมติบังคับให้สถาบัน คืนเงินค่าเล่าเรียนแก่นักศึกษา และให้สถาบันแห่งนั้นพ้นจากสมาชิกภาพในฐานที่ผิดข้อบังคับ  ทุจริตเงินค่าเล่าเรียนของนักศึกษา และยังมีบ่อยครั้งที่สมาชิกสมาคมฯ ต้องช่วยเหลือติดตามขอคืน เงินค่าเล่าเรียนให้ ในกรณีที่นักศึกษามีเหตุจำเป็นเรียนไม่สามารถเรียนจนจบหลักสูตร กิจกรรมต่างๆ ที่สมาชิกของสมาคมฯ ได้ร่วมกันทำมีอะไรบ้าง 1. กิจกรรมเสริมด้านวิชาชีพแนะแนว • อมรมดูงานต่างประเทศ ในแต่ละปีสมาคมฯ จะได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาในประเทศต่างๆ  ไปเยี่ยมชมโรงเรียน สถาบันวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการเสริมความรู้ รับทราบความเป็นไปและ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของสถาบันการศึกษาในประเทศต่างๆ นำความรู้ข้อมูลทที่ทันสมัยเหล่านี้ กลับมาเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาที่กำลังจะเดินทางไปเรียนในการเยี่ยมชมสถาบันแต่ละครั้ง  นอกจากความรู้ที่สมาชิกแต่ละท่านได้นำกลับมาเพื่อประโยชน์ของนักศึกษาแล้ว สถาบันการศึกษาแต่ละ ประเทศที่มีนักศึกษาไทยกำลังศึกษาอยู่ยังมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้ รับทราบถึงปัญหา ทัศนคติ วิธีคิด ระบบการเรียนการสอน วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของนักศึกษาไทย สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อสถาบัน ในการให้ความช่วยเหลือ และดูแลนักศึกษาไทยเมื่อเดินทางไปถึง ในหลายๆ โอกาสของการเยี่ยมเยียน ที่สมาชิกได้พบปะนักเรียน นักศึกษาไทยที่กำลังประสบปัญหา และได้เข้าช่วยเหลือโดยไม่คำนึงว่า เป็นนักศึกษาที่สมาชิกส่งมาหรือไม่ ประเทศต่างๆที่สมาคมฯ ได้จัดให้สมาชิกไปเยี่ยมชมสถาบันมาแล้ว ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา แคนาดา และอังกฤษ • พัฒนาบุคลากร เจ้าหน้าที่แนะแนว ถือเป็นบุคลากรที่สำคัญที่สุดของวิชาชีพนี้ สมาคมฯ ได้มีการจัด ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่แนะแนวของบริษัทสมาชิกขึ้นเป็นประจำ โดยได้รับความช่วยเหลือและร่วมมืออย่างดี จากหน่วยงานการศึกษา สถานฑูต และหน่วยงานด้านวีซ่าของประเทศต่างๆ เป็นอย่างดี 2. กิจกรรมด้านวิชาการ • นิทรรศการการศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ผู้สนใจและนักเรียนได้พบ กับตัวแทนจากสถาบันโดยตรง เริ่มจากปี 2540 เป็นปีแรก สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมงานมาจากประเทศ ต่างๆ อาทิ อเมริกา อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย  มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ นอกจากนิทรรศการที่จัดขึ้นเอง สมาคมฯ ยังร่วมจัดนิทรรศการกับหน่วยงานการ ศึกษาของประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดาที่จัดเป็นประจำทุกปี • แนะแนวการศึกษาต่อนอกสถานที่ การแนะแนวนอกสถานที่เป็นบริการชุมชนที่สมาคมฯ ได้จัดทำตาม คำเชิญของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ในหลายๆ  โอกาสสมาชิกสมาคมฯ ได้เดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อร่วมงานวิชาการ และแนะแนวการศึกษาต่อ  ตามคำเชิญของสถาบันการศึกษาในต่างจังหวัด เช่นในปี 2544 สมาคมฯ ได้ร่วมงานนิทรรศการ แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปี  2545 ร่วมงานแนะแนวกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม • จัดทำคู่มือศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นประจำทุกปีสำหรับแจกตามสถาบันการศึกษา โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ห้องสมุด นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้สนใจทั่วไป 3. กิจกรรมช่วยเหลือสังคม  นอกจากกิจกรรมทางด้านวิชาชีพ และวิชาการที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว สมาคมฯ ยังถือเป็นภาระหน้าที่ ที่จะต้องมีส่วนคืนประโยชน์กลับไปยังสังคม ในปี 2544/45 สมาคมฯ ช่วยเหลือสังคมดังนี้ ช่วยเหลือในการจัดหาทุนการศึกษาให้กับ "โครงการหลวงและโครงการส่วนพระองค์ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี" บริจาคเงิน 100,000.00 บาท (หนึ่งแสนบาท) ให้แก่มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อพัฒนา  (The Education for Development Foundation) มอบทุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจำนวน 3 ทุนให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้คัดนักเรียน เพื่อรับทุนปี 2545 เข้าร่วมงาน “ปฏิรูปการศึกษาก้าวหน้าสู่ปีที่ 3” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ มอบทุนการศึกษา (TESOL) ให้ครู-อาจารย์ จำนวน 3 ทุน โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้คัดเลือกผู้รับทุน http://www.tieca.com
ทำงานหลังเรียนจบใน AUS
  การทำงานหลังเรียนจบสำหรับนักเรียนต่างชาติในออสเตรเลีย ดูเหมือนว่ายุคของการมองโลกในแง่ดีขององค์กรการศึกษานานาชาติในออสเตรเลียกำลังมาถึงแล้ว เมื่อล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงทางเลือกสำหรับการทำงานหลังเรียนจบสำหรับนักเรียนต่างชาติ โดยตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นไป นักเรียนต่างชาติที่จบจากสถาบันการศึกษาเอกชนสามารถเลือกขอวีซ่าที่อนุญาตให้ทำงานในประเทศได้ทันทีเมื่อพวกเขาเรียนจบ การเปิดกว้างสำหรับการทำวีซ่าสำหรับทำงานของนักเรียนต่างชาติในออสเตรเลียนั้น ได้ถูกประกาศโดย Chris Bowen MP รัฐมนตรีจากกองตรวจคนเข้าเมืองและพลเมือง โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวีซ่านักเรียน The Knight Review โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะอนุญาตให้ผู้ที่จบในระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าจากมหาวิทยาลัยเอกชน สามารถขอวีซ่าสำหรับทำงานได้มากที่สุด 2 ปีหลังจากเรียนจบ การขยายเวลาจากเดิมที่ 18 เดือนเป็น 2 ปีนี้ จะมีผลในปี 2013 โดยนักเรียนระดับปริญญาโทจากการทำวิจัยและนักเรียนปริญญาเอก (PhD) จะได้รับสิทธิพิเศษในการทำงาน 3 ปีและ 4 ปีตามลำดับ การตัดสินใจของรัฐบาลครั้งนี้ ก็เพื่อมองหาผลกระทบที่สำคัญของบทบาทของงานวิจัย ที่ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆให้เกิดขึ้นในเศรษฐกิจของออสเตรเลีย นาย Bowen กล่าวว่า “พวกเราพึงพอใจที่จะจัดการเรื่องการเพิ่มระยะเวลาในการทำงานหลังจบการศึกษา ออกไปสู่ผู้ที่จบระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า เพื่อเป็นเหมือนกับสิ่งที่ได้รับจากการเรียน นอกเหนือจากการแค่จบการศึกษา” นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศส่วนลด 5% ในการทำวีซ่านักเรียนอีกด้วย โดยลดจาก AUS$ 565 เหลือ AUS$ 353 http://www.hotcourses.in.th/study-in-australia/latest-news/post-study-work-visa-in-australia/
โรงเรียนเตรียมหมอชัด ๆ
    ว่ากันว่า ...   เด็กเตรียมฯ สายวิทย์ ส่วนใหญ่ต้องการเรียนแพทย์ เน้นที่ จุฬาฯ ก่อน แล้วค่อยไปที่ ศิริราช และที่ รามาฯ จะเป็นอันดับ 3   แต่ถ้าพลาดไปก็จะไปติดที่ คณะเภสัช   พวกที่ไม่อยากเรียนแพทย์ ก็จะไปสอบเข้าวิศวะ เน้น จุฬาฯ   จะมีเพียงส่วนน้อยที่หันไปเรียนบัญชี เศรษฐศาสตร์   และบางส่วนจะได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่เอามาให้ดูไม่ใช่เห็นว่านักเรียน ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นั้นเลอเลิศเหนือใคร แต่ต้องยอมรับว่าเก่งจริง ๆ น.ร. ห้องคิง 50 คน ติดแพทย์ 48 คน ติดทันตะ 1 คน วิศวะ 1 คน...ร.ร.เตรียมหมอชัด ๆ เลย ว่าไหม... ^^   เครดิต : pantip.com, @patchra_r และ http://www.thailandsusu.com
วีซ่าอังกฤษแบบใหม่สำหรับนักเรียนต่างชาติ
    วีซ่าอังกฤษแบบใหม่สำหรับนักเรียนต่างชาติ สหราชอาณาจักรได้ประกาศวีซ่ารูปแบบใหม่ในปี 2013 เพื่อกระตุ้นให้ “นักลงทุน”ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศต่อไปหลังจากเรียนจบ ในวันนี้ฮอทคอร์สจะมาให้รายละเอียดในเรื่องนี้กันค่ะ Damian Green ได้ประกาศถึงเรื่องวีซ่าใหม่สำหรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการชาวต่างชาตินี้ออกมา และอธิบายว่าจะใช้ระบบ contribution-based system แทนการใช้ระบบ point-based system ในปัจจุบัน จากการประกาศล่าสุดนี้ ส่งผลให้นักเรียนต่างชาติ ที่ทำหน้าที่จัดการในเรื่องกิจกรรมของผู้ประกอบการต่างๆในระหว่างที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร และต้องการที่จะอยู่ต่อหลังจากที่เรียนจบแล้วเพื่อพัฒนาความคิดและความรู้เพิ่มเติม ก็จะได้รับการสนับสนุนให้อยู่ต่ออีก 2 ปี ประเภทของวีซ่ารูปแบบนี้ จะมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2013 เป็นต้นไป และอาจจะมาแทนที่วีซ่าสำหรับการทำงานหลังเรียนจบ (หรือ the Post-Study work visa scheme) ที่อนุญาตให้ผู้ที่จบการศึกษาสามารถอยู่ในสหราชอาณาจักรต่อได้อีกสองปีเพื่อทำงานก็เป็นได้ โดยวีซ่าประเภทนี้จะปิดการสมัครในเดือนเมษายนปีนี้ (2012) Damian Green ได้กล่าวเพิ่มว่า เขาตั้งใจที่จะทำให้ระบบการเข้าเมืองนั้นมีความ “ยั่งยืน” และประกาศชัดถึงจุดประสงค์ที่ “ต้องการคุณภาพ มากกว่าปริมาณ” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาได้พยายามทำให้การอยู่ต่อของนักเรียนต่างชาติที่จบใหม่เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพื่อทำให้พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในประเทศต่อหลังเรียนจบ เพื่อทำงานและใช้ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับจากการเรียนให้เกิดประโยชน์ http://www.hotcourses.in.th/study-in-the-uk/latest-news/uk-new-visa-route-for-international-graduates/  
<< 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา