หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
World University Rankings 2011-2012
 CalTech โค่น Harvard สุดยอดมหา'ลัยโลก      หลายๆคนคงจะใจจดจ่อกับอันดับมหาวิทยาลัยโลกของสำนักจัดอันดับมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง The Times Higher Education (THE) สำนักจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากประเทศอังกฤษ ประจำปี 2011-2012  ได้สร้างความแปลกใจแก่คนทั่วโลก โดยการเปิดเผยรายชื่อ มหาวิทยาลัยทั้ง 400 แห่งออกมา ซึ่งสุดยอดมหาวิทยาลัยโลกอันดับ อันดับที่ 1      ได้แก่ California Institute of Technology (CalTech) หรือสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย ด้วยคะแนนรวม ร้อยละ 94.8 โดย อันดับที่ 2       เป็นของสองสถาบันชื่อดังที่นั่งอยู่ตำแหน่งเดียวกันเป็นปีแรกอย่าง Harvard University (มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)  อันดับที่ 3       Stanford University (มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด) ด้วยคะแนนรวม ร้อยละ 93.9  อันดับที่ 4         University of Oxford (มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด) ด้วยคะแนนรวม ร้อยละ 93.6  และอันดับที่ 5 ได้แก่ Princeton University (มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน) ด้วยคะแนนรวม ร้อยละ 92.9 ซึ่งในปีนี้นับเป็นครั้งแรกของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ THE ตั้งแต่ปี 2004 ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลอย่าง Harvard University เสียแชมป์เป็นครั้งแรก http://www.keyeducation.co.th
เคล็ดไม่ลับสำหรับการขอวีซ่าแคนาดา
 เพิ่งพาน้องๆ ที่สมัครเรียนกับ Key Education ไปยื่นวีซ่าไปเรียนที่แคนาดามา แล้วก็เห็นว่ามีอุปสรรคเล็กๆน้อยๆบางอย่างในการทำเรื่่อง จึงคิดว่าคงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนที่ต้องการจะไปเรียนต่อที่แคนาดา แล้วไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปทำเรื่องที่สถานกงสุลบ่อยๆให้หงุดหงิดรำคาญใจ                    ก่อนอื่นเลย เรื่องที่ต้องรู้ก่อนคือ สถานกงสุลแคนาดาอยู่ที่่ ถนนพระราม9 ตรงข้ามสวนลุม และอยู่ติดกับตึกอื้อ จือ เหลียง โดยมีชื่อตึกว่า ตึกอับดุลราฮิม (แต่ไม่ต้องหาชื่อตึกให้วุ่นหรอก เพราะชื่อตึกนั้นตัวเล็กมาก กว่าจะเห็นก็แทบจะเลยอยู่แล้ว... ตอนไปก็หาตั้งนานเหมือนกัน ทางที่ดีหาตึกอื้อ จือ เหลียง แล้วเลี้ยวเข้าตึกติดกันเลย โดยที่ตึกอื้อ จือ เหลียง นั้นจะถึงก่อน) สถานกงสุลแคนาดาอยู่ที่่ชั้น 15 ก่อนขึ้นไปก็จะต้องแลกบัตรเพื่อใช้ในการผ่านประตูไปที่ลิฟท์ ส่วนตัวลิฟท์เองก็จะมีการแบ่งชั้นว่าชั้นไหนต้องขึ้นฟากไหน          เฮ้อ... กว่าจะเข้าไปที่กงสุลได้ก็แทบแย่ แต่พอขึ้นไปแล้วเขาก็จะให้เราฝากมือถือไว้ข้างที่เคาเตอร์ด้านหน้า ก่อนจะรับบัตรคิว สแกนกระเป๋า แล้วก็เข้าไปนั่งรอเขาเรียก         กงสุลแคนาดาเปิดทำการให้ยื่นเอกสารตั้งแต่ 7.30 - 10.00 น. และให้มารอฟังผลในเวลา 13.30 - 15.00 น. โดยจะเปิดทำการแค่วันจันทร์ถึงพฤหัสเท่านั้น โดยปกติแล้วเขาจะนัดฟังผลวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เรายื่นเอกสาร ตัวเอกสารการขอวีซ่านักเรียนก็จะมีต่อไปนี้ 1. ค่าธรรมเนียม 3750 บาท (แคชเชียร์เช็คหรือแบงค์ดราฟท์เท่านั้น) 2. แบบฟอร์การขอวีซ่านักเรียนที่ ต้องกรอกครบถ้วน 3. แบบฟอร์มเกี่ยวกับครอบครัว 4. หนังสือเดินทางพร้อมสำเนา 5. รูปถ่าย 1.37 * 1.77 จำนวน 4 ใบ โดยเป็นรูปถ่ายปัจจุบัน 6. จดหมายตอบรับจากสถาศึกษา ตัวจริงพร้อมสำเนา 7. transcrip ตัวจริงพร้อมสำเนา 8. จดหมายรับรองจากธนาคาร หรือสมุดบัญชีเงินฝาก (ของนักเรียนเองหรือผู้ปกครองก็ได้) ตัวจริง และต้องมีอายุเกิน 1 ปี 9. จดหมายรับรองจากนายจ้างของผู้รับผิดชอบทางการเงินของนักเรียน ที่ระบุรายได้ต่อเดือนชัดเจน หรือ หนังสือรับรองการจดทะเบียนการค้าในกรณีที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว (เอกสารตัวจริง) 10. หากเป็นนักเรียนทุนที่เป็น full scholarship ข้อ 9 ก็ไม่จำเป็นต้องยื่น แต่ต้องยื่นเอกสารที่ระบุจำนวนเงินทุน สาขาวิชา และสถานภาพของทุนที่ได้รับ โดยที่เอกสารต้องเป็นตัวจริงที่ได้จากโรงเรียน 11. หากอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ต้องมีเอกสาร custodianship declaration... ตัวนี้แนะนำให้ไปขอที่กงสุลแผนกวีซ่าแล้วไปที่แผนก consular เพื่อที่จะให้พ่อแม่ หรือผู้ปกครองเซ็นยินยอมต่อหน้าเจ้าพนักงาน และเสียค่าใช้จ่ายให้เขาไป 1500 บาท... แพงหน่อยแต่ชัวร์ หรือหากไม่อยากเสียเวลาไปรอคิวที่ consular ก็ให้พิมพ์จดหมายยินยอมให้ผู้ปกครองเซ็นแล้วไปที่สำนักกฏหมายที่ไหนก็ได้ให้เขาเซ็นเป็นพยาน แล้วอย่าลืมแปลเอกสารด้วยล่ะ         *** แผนก consular เปิดตั้งแต่ 9.00 - 12.00 จันทร์ถึงพฤหัส ***          *** tip*** ให้ไปขอบัตรคิวที่แผนก consular แล้ว หากคนเยอะ ก็ให้ไปขอบัตรคิวของแผนกวีซ่าเลย เขาจะจ่ายบัตรให้จนถึง 10 โมง แต่ถ้าคนมาก  เจ้าหน้าที่ก็จะรับเอกสารจนกว่าจำนวนคิวจะหมด                    เอกสารอีกตัวที่ต้องมีคือ หนังสือลงนามจากผู้ดูแลเราที่แคนาดา อันนี้ทางโรงเรียนปกติแล้วจะเป็นคนส่งมาให้ 12. หากมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต้องยื่นเอกสารจากสำนักงานตำรวจ เพื่อยืนยันว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม         ถ้าเอกสารผ่าน เขาก็จะให้เอกสารในการตรวจสุขภาพมา ในกรณีที่จะศึกษาต่อในแคนาดามากกว่า 6 เดือน                  ในการตรวจสุขภาพก็จะมีการเจาะเลือด (อันนี้เพิ่งไปโดนมา) x-ray ตรวจปัสสาวะ และ ตรวจร่างกายธรรมดาทั่วไป ซึ่งราคาก็จะต่างกันไปตามแต่ละที่         *** tip *** ในการจอดรถที่ตึก 1 ตราประทับจะเท่ากับ 1 ชั่วโมงที่ได้จอดฟรี ยกเว้นที่ black cayon จะได้ 2 ชั่วโมง ค่าจอดก็เบาๆ แค่ 30 บาท ต่อชั่วโมงเอง...         เวลาไปรอผลก็เดินเข้าไปได้เลย เขาไม่มีบัตรคิวให้ เพราะต้องนั่งรอเรียงตามลำดับก่อนหลัง         หากมีปัญหาในการยื่นวีซ่าและสมัครเรียนต่อแคนาดา ติดต่อได้ที่ Key Education คะ โทร 02 6567130         **** อ๋อ ทำใจทำอารมณ์ไว้หน่อยก็ดี พนักงานสถานทูตแคนาดางานเยอะ พนักงานก็เลยไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ แต่หากอยากไปรอไม่นานตอนยื่นเอกสารก็ให้ไปวันพฤหัส แต่ก็ต้องรอจนจันทร์กว่าจะได้รู้ผล แต่ถ้าอยากให้เรื่องวีซ่าแคนาดาเป็นเรื่องง่าย ติดต่อ Key Education ได้คะ เราเชี่ยวชาญเรียนต่อ และทำวีซ่านักเรียนแคนาดา******* http://www.keyeducation.co.th
iPhone 4S อาจเปิดตัวในไทยช่วงวันที่ 14-16 ธันวาคมนี้
iPhone 4S อาจเปิดตัวในไทยช่วงวันที่ 14-16 ธันวาคมนี้   อัพเดทสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ iPhone 4S ในประเทศไทย โดยแหล่งข่าวของ thaimacupdate ได้ให้ข้อมูลกับทางเราว่าค่ายมือถือค่ายหนึ่งเตรียมจัดงานเปิดตัวสินค้าบางอย่างในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งก็พอจะคาดเดากันได้ว่าน่าจะเป็น iPhone 4S โดยกำหนดการเรื่องวันที่นั้นยังไม่แน่นอนเป๊ะๆ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างวันพุธที่ 14 ถึงวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ส่วนราคาเรายังไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่าน่าจะไม่ต่างกับตอนเปิดตัว iPhone 4 เท่าไร               อย่างไรก็ตามขอออกตัวเอาใว้ก่อนว่ากำหนดการเปิดตัวสินค้าของ Apple มักจะถูกคอนเฟิร์มอีกทีตอนใกล้ๆ แล้วเท่านั้นซึ่งหากมีเหตุการณ์สุดวิสัยใดๆ ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทางแหล่งข่าวก็ยืนยันมาเองแล้วว่ามีแน่ๆ ภายในเดือนธันวาคมแน่นอน ส่วนจำนวนเครื่องก็น่าจะเยอะพอสมควรหากดูจากความสามารถในการผลิตมาขายที่ประเทศอื่นๆ แต่ก็อาจจะโดนลูกกั๊กตามสเต็ป Apple ที่เลือกจะปล่อยวันละไม่กี่เครื่องนั่นเอง   ความเห็นของผมในตอนนี้สำหรับคนที่อยากจะซื้อ iPhone 4S น่าจะชะลอและรอดูเครื่องอย่างเป็นทางการกันได้แล้วถึงแม้ว่าเครื่องหิ้วตอนนี้ราคาจะอยู่ที่ 24,xxx-25,xxx แต่เชื่อว่าเครื่องอย่างเป็นทางการนั้นทั้ง 3 ค่ายผู้ให้บริการคงจะงัดเอาโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษดีๆ มาเสนอกันอย่างเมามันส์นั่นเอง  http://hitech.sanook.com/    
อยากเรียนต่อต่างประเทศ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ดูคำแนะนำจากพี่ๆได้ค่ะ
1.หาข้อมูลของสถาบัน - หาข้อมูลของมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนวิชาที่เราต้องการ เลือกสถาบันที่น่าเชื่อถือ มีการจัดอันดับ หรือได้รับการรับรอง - หาข้อมูลของเมืองและประเทศ ว่าน่าอยู่เหมาะกับเราหรือเปล่า ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ สภาพความเป็นอยู่ ชอบอยู่ในเมืองหรือชอบชนบท...กรณีต้องการหารายได้เสริมต้องศึกษาข้อบังคับของแต่ละประเทศว่ากำหนดห้ามหรือไม่ หรือหากทำงานได้ สามารถทำได้กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อ “dekriannok.com” มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านซึ่งทุกท่านจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศทั้งสิ้น และพร้อมจะแนะนำให้ข้อมูลที่จำเป็น รวมถึงช่วยเหลือในทุกขั้นตอน 2. การเตรียมการสมัครสอบ ในการสมัครเรียน ทางมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการดูผลวัดความรู้ภาษาอังกฤษว่าเราอยู่ในระดับใด - สอบภาษาอังกฤษ TOEFL สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ และ IELTS สำหรับประเทศอังกฤษ และออสเตรเลีย - สอบความรู้ด้านอื่น รวมถึงสอบ GMAT สำหรับด้านบริหาร และสอบ GRE สำหรับด้านอื่นๆ บางสาขาไม่จำเป็นต้องสอบ บางมหาวิทยาลัยมีสถาบันภาษาของตัวเอง ซึ่งเราสามารถเรียนภาษาที่นั้นและสอบเข้าเรียนต่อโดยตรงได้เลย โดยไม่ต้องสอบ IELTS หรือ TOEFL อีกรอบ 3. เลือกสถาบันและลงทะเบียน หากได้สถาบันที่ถูกใจแล้ว ก็ลงทะเบียนเรียน พร้อมส่งใบสมัครและเอกสารไปที่สถาบัน ควรทำให้เร็วที่สุด เพราะหากกระชั้นชิดอาจได้วีซ่าไม่ทันวันเดินทาง 4. การเตรียมเอกสาร ควรเตรียมเอกสารตั้งแต่เริ่มคิดที่จะสมัครเรียนต่อ เนื่องจากบางเอกสารอาจจะต้องใช้เวลานาน โดยเอกสารหลักๆที่ต้องมี - ทรานสคริปต์ (transcript) เป็นใบผลการเรียนจากทางมหาวิทยาลัย ฉบับทางการ เป็นภาษาอังกฤษ ใส่ซองมหาวิทยาลัยและปิดผนึกตรามหาวิทยาลัยที่หน้าซอง ขอได้จากสำนักทะเบียน เกรดเฉลี่ยสูงอาจจะสร้างความตื่นเต้นให้มหาวิทยาลัยต่างประเทศ แต่เกรดเฉลี่ยต่ำก็ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นแรงดึงดูด - จดหมายแนะนำ (letter of recommendations) จดหมายแนะนำจากทางอาจารย์หรือหัวหน้างาน อย่างน้อย 3 ฉบับ (บางที่เอา 2) - เอกสารรับรองทางการเงิน (financial statement) เอกสารรับรองจากทางธนาคารว่าเรามีเงินเพียงพอที่จะเรียนต่อได้ แนะนำว่าอย่างน้อยควรจะมีเงินมากกว่าค่าหลักสูตรและค่ากินอยู่ตลอดหลักสูตร และฝากมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือน (อย่ากังวลหากไม่ตรงเงื่อนไข หลักการพิจารณาขึ้นกับเอกสารประกอบอย่างอื่นด้วย) - statement of purpose เป็นจดหมาย 1 หน้า เป็นจดหมายที่เราเขียนให้แก่ทางมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงเลือกมาเรียนที่นี่ (เขียนในทำนองว่าทำไมมหาวิทยาลัยควรจะรับเราเข้าศึกษา) - อื่นๆ อาจจะเป็นประกาศนียบัตรต่างๆ ที่เราได้มาและเกี่ยวข้องกับที่เราจะสมัคร พี่ๆ dekriannok.com จะช่วยเหลือน้องๆในทุกขั้นตอนการสมัครค่ะ 5. ขั้นตอนหลังจากได้รับการตอบรับ ส่วนใหญ่จะเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง - สถาบันจะออกเอกสารตอบรับมาให้ เพื่อนำไปขอวีซ่า ในประเทศไทย ควรขอแต่เนิ่นๆ เพราะบางประเทศ Student Visa ใช้เวลาการขอว่า 4 สัปดาห์ - หลังได้วีซ่าแล้วก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน เตรียมตัวว่าจะไปถึงวันไหน อาจจะไปถึงก่อนซัก 1-2 อาทิตย์เพื่อปรับตัวก่อนเริ่มเรียน หรือถ้ากะจะไปเที่ยวก่อนอาจจะไปก่อนหน้านั้นได้  http://www.dekriannok.com/article/unknow-begin.html
วิธีการเลือกที่เรียนต่อต่างประเทศ
ปัจจุบันหลายครอบครัวนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอก รวมถึงการศึกษาในหลักสูตรระยะสั้นไม่กี่เดือน เหตุผลเพื่อต้องการให้บุตรหลานมีความเข้าใจภาษาอังกฤษ และวิชาการ อีกทั้งยังเป็นการหาประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นเกี่ยวกับการเลือกสถาบันการศึกษาที่มีอยู่มากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาตั้งแต่การเลือกประเทศ ความแตกแต่งของระบบการศึกษา ภาษาและวัฒนธรรม ดังนั้น ”dekriannok.com” จึงมีสิ่งควรรู้บางประการมานำเสนอที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ก่อนเลือกส่งบุตรหลานไปเรียนต่อ 1. ความพร้อมด้านการเงิน แต่ละประเทศจะมีอัตราค่าครองชีพที่สูงต่ำต่างกันไป แม้ในประเทศเดียวกันแต่ต่างเมือง ต่างรัฐ ก็อาจมีค่าครองชีพที่ต่างกันอย่างมาก ดังนั้นก็วางแผนการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร อันรวมถึงค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทาง และสันทนาการอื่นๆ จำเป็นต้องรวมอยู่ในบัญชีรายจ่ายที่ต้องเตรียมพร้อมไว้แต่แรก และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยขณะที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ ก็อาจจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เราอาจต้องเผื่อเงินไว้อีกก้อน หากเราไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพและอุบัติเหตุไว้ตั้งแต่ก่อนการเดินทาง ประโยชน์ข้อสำคัญของการเตรียมเงินสำรองในบัญชีเงินฝาก คือ เป็นหลักประกันในการขออนุมัติวีซ่าด้วย 2. ความพร้อมของผู้ศึกษา แม้ความพร้อมทางการเงินจะเป็นปัจจัยต้นๆ ในการส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของผู้ศึกษา ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านภาษา ซึ่งผู้ศึกษาต่อสามารถที่จะสอบวัดความรู้โดยข้อสอบแต่ละสถาบันจัดให้ แต่ทั้งนี้ความสามารถด้านภาษาจะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากผู้ศึกษาต่อตัดสินใจเรียนภาษาในต่างประเทศกับเจ้าของภาษา การปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ต่างออกไป ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ศึกษาต้องเตรียมใจไว้เผชิญ แต่ด้วยกระแสความนิยมศึกษาต่อต่างประเทศ 3. ชื่อเสียงของสถาบัน ความน่าเชื่อถือของสถาบันอาจต้องให้การบอกเล่าปากต่อปากจากผู้เคยศึกษา แต่ปัจจุบันมีการจัดอันดับของสถาบันการศึกษา ตั้งแต่ระดับโลก ทวีป ประเทศและบางครั้งมีการจัดอันดับแบบแยกเป็นสาขาวิชาอีกด้วย ซึ่งการจัดอันดับจะคำนึงถึงคุณภาพของอาจารย์ ผลงานของทั้งนักเรียนและอาจารย์ อัตราส่วนของอาจารย์ต่อรักเรียน เป็นต้น ในส่วนของการเลือกเรียนภาษากับสถาบันสอนภาษา อาจจะต้องคำนึงถึงการได้รับรองคุณภาพจากบางหน่วยงาน เช่น รับรองคุณภาพจาก British Council หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ เป็นต้น การเลือกเรียนภาษากับสถาบันที่น่าเชื่อถือก็เป็นอีกการลงทุนเพื่ออนาคตของผู้ศึกษาต่อ เพราะมีหลายมหาวิทยาลัยให้สิทธิรับรองการเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากผู้เรียนสอบได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ http://www.dekriannok.com/article/choose-study.html
เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ยาก แค่ใจสู้ไม่ถอย เจาะใจแชมป์ภาษาฯรุ่นเยาว์
       ถึงแม้ว่าผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษของเด็กไทยจะยังคงอยู่ในอันดับท้าย ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กเอเชียในประเทศอื่นๆแต่เยาวชนไทยก็สามารถพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้หากไม่ท้อถอย คอยหาตัวช่วยในการเพิ่มพูนพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะจากหนังสือ ซีดี เพลง ภาพยนตร์ นิตยสาร รวมทั้งกิจกรรมการแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษต่างๆที่เปิดตัวขึ้นเพื่อท้าทายเยาวชน ให้ก้าวออกมาพัฒนาตัวเองอย่างสนุกสนาน ล่าสุด "โครงการแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษ" หรือ Enconcept E-Mania Tournament 2010/11 ครั้งที่ 3 รอบชิงชนะเลิศ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี จากโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษเอ็นคอนเส็ปท์ อี แอคเคเดมี่ นำโดยครูพี่แนน อริสรา ธนาปกิจ รอบชิงชนะเลิศ โดยมีเยาวชนผู้เป็นแชมป์จาก 5 ภูมิภาคในประเทศไทย ผู้ฝ่าด่านการแข่งขันในรอบแรกและรอบสองจากผู้เข้าแข่งขันร่วมหมื่นคนทั่วประเทศ จนเหลือเพียง 10 คนสุดท้ายในรุ่นจูเนียร์ และซีเนียร์ เพื่อประลองความเป็นเลิศคว้าแชมป์ระดับประเทศ พร้อมโล่เกียรติยศจากกระทรวงศึกษาฯ และเงินทุนการศึกษาไปครอง        ซึ่งการแข่งขันรอบสุดท้ายเป็นรูปแบบเกมโชว์ภาษาทั้ง “ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน” ผู้เข้าแข่งขันต้องแข่งกันกดไฟสัญญาณเพื่อตอบคำถาม ซึ่งในการแข่งขันรอบนี้มีเหล่าเอ็ดดูเทนเนอร์มากความสามารถจากเอ็นคอนเส็ปท์ฯ มาเป็น commentator เฉลยคำตอบที่ถูกต้องไปพร้อมกับให้ความรู้แก่ผู้เข้าแข่งขัน และผู้ชมซึ่งมีทั้งเยาวชนทั่วไป และกองเชียร์ของแต่ละภูมิภาคที่รวมตัวมาให้กำลังใจเพื่อนบนเวทีอย่างสนุกสนาน คึกคัก อีกด้วย         ผลการแข่งขันสิ้นสุดลง ผลปรากฏว่า "นุ่น" ศิริลักษณ์ เจริญสุข นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน เป็นผู้คว้าแชมป์ระดับจูเนียร์ เปิดใจว่า "นุ่นรู้สึกดีใจมากที่ผ่านเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งรอบแรกจะเน้นเกมคำศัพท์เล่นผ่านคอมพิวเตอร์ เปิดให้เข้าไปเล่นกี่ครั้งก็ได้เพื่อทำคะแนนที่ดีที่สุด จนถึงรอบเก็บตัวซึ่งชอบมากที่สุด ได้เข้าแคมป์ รู้จักพี่ ๆ ได้เที่ยวด้วย เพื่อน ๆ ที่ผ่านเข้ารอบมาก็มาแชร์กันได้ติดต่อคุยกันใน facebook ได้เพื่อนเพิ่มขึ้น ปกติหนูเป็นคนขี้กลัว ตื่นเต้น ไม่ชอบพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ แต่การแข่งขันในรอบสุดท้ายนี้ทำให้เรากล้าขึ้น ได้ฝึกควบคุมตัวเอง ฝึกสติด้วยคะ ”                   ด้าน "ภูมิ" ภูดิศ จันทยานนท์ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แชมป์เก่าผู้หวนกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในปีนี้ ในรุ่นซีเนียร์ บอกว่า “ปีนี้ยากกว่าปีที่แล้ว ผมเตรียมตัวค่อนข้างมาก อ่านหนังสือ ท่องศัพท์ ตอนอยู่บนเวทีก็ยังตื่นเต้น ก่อนขึ้นเวทีต้องนั่งทำสมาธิ รู้สึกภูมิใจมากครับที่ชนะสองปีซ้อน ผมคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เรามีโอกาสได้ใช้เรื่อย ๆ การมีความรู้ภาษาอังกฤษจะทำให้เราสามารถนำไปใช้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่สนุกมาก เพราะเป็นการแข่งขันผ่านการเล่นเกม ซึ่งเป็นเรื่องที่วัยรุ่นก็เล่นกันอยู่แล้ว เราก็แค่เปลี่ยนมาเล่นเกมที่ให้ทั้งความรู้ และความสนุกไปด้วย อยากให้ทุกคนลองเข้ามาสมัครดูนะครับ เพราะไม่ว่าจะชนะหรือไม่ เราก็ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นกลับไปแน่นอนครับ”                ส่วนน้องเล็ก อย่าง "บิว"กานต์นิธิ ไตรต้นวงศ์ นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร รองชนะเลิศอันดับ 2 ในรุ่นจูเนียร์ เล่าว่า “ผมเป็นนักเล่น cross word ออกแนวต่อคำศัพท์มากกว่า จึงเริ่มอ่านหนังสือเพิ่มเพื่อเป็นตัวช่วย การแข่งขันบนเวทีวันนี้สอนให้เรารู้จักการวางแผนและมีสมาธิมากกว่านี้ สอนให้เราไม่สะเพร่า ก่อนตอบคำถามต้องคิดให้เยอะขึ้น อย่ารีบร้อน แต่ที่ประทับใจสุด ๆ คือการแข่งขันในรอบภูมิภาค รู้สึกท้าทาย สนุก ไอดอลของผมคือครูพี่แนน กับครูพี่เมย์ เป็นครูที่ช่วยให้ผมเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น และยังคอยหากิจกรรมที่ทำให้เราได้แสดงออกด้านทักษะภาษาอังกฤษอีกด้วย”                ทิ้งท้ายด้วย "ฟ้า" ขวัญชนก พิริยะกิจบูลย์ ชั้น ม.6 โรงเรียนเบญจะมะมหาราชา ตัวแทนผู้เข้าแข่งขันรุ่นซีเนียร์ เล่าว่า “เป็นการใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์คะ พอสมัครแล้วก็รู้สึกว่าเราต้องอ่านคำศัพท์เพิ่มขึ้น ทำให้ได้ฝึกทักษะ พัฒนาตนเองไปด้วย ทั้งการศึกษาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และร้องเพลง Memolody กิจกรรมนี้ให้ประสบการณ์ กระตุ้นให้เราต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก ประทับใจที่สุดตอนรอบเก็บตัวเข้าแคมป์ ได้ไปทำกิจกรรมในพิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซ่ สนุกมาก ขอบคุณพี่ ๆ ที่มีกิจกรรมดี ๆ ทำให้ได้เจอเพื่อน และได้ประสบการณ์ดี ๆ”                 "ครูพี่แนน"อริสรา ธนาปกิจ รองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมเอ็ดดูเทนเนอร์แห่งเอ็นคอนเส็ปท์ฯ ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ปลื้มใจมากที่เห็นเยาวชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรม Enconcept E-mania Tournament เพิ่มมากขึ้นทุกปี กิจกรรมนี้เราออกแบบขึ้นเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์วัยรุ่นที่ชอบเล่นเกมออนไลน์ โดยในแต่ละปีเกมการแข่งขันจะมีพัฒนาการทั้งด้านความสนุกและท้าทายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงขอเชิญชวนเยาวชนไทยทุกคนลองสมัครเข้าร่วมดู เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่สามารถใช้เกมการแข่งขันนี้ในการทดสอบระดับทักษะทางภาษาอังกฤษของตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็สามารถเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากการแข่งขันในแต่ละช่วง ซึ่งจะทำให้เยาวชนมีความรู้รอบตัวทางด้านภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นโดยอัตโนมัติอีกด้วย” ขอขอบคุณบทความจาก http://www.manager.co.th/campus/viewnews.aspx?NewsID=9540000059508
สาเหตุที่คนไทยสปีกอิงลิชไม่เก่ง
เวลาฝรั่งเข้ามาถามทาง หรือขอข้อมูล เราทำอย่างไร...? คำตอบคือ....หันไปมองหน้าเพื่อนแล้วทำตาปริบ ๆ, ทำเป็นไม่ได้ยิน, เดินหนี, ภาวนาให้ฝรั่งเดินไปถามคนอื่น  คนไทยส่วนใหญ่เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก แถมเรียนต่อในมหาวิทยาลัย บ้างก็ไปเรียนเพิ่มกับสถาบันสอนภาษา แต่พอถึงเวลาต้องพูดกับฝรั่งทีไรก็เกิดอาการ “ใบ้กิน” นะจังงัง ไปเสียทุกที จนน่าสงสัยว่าเรียนภาษาอังกฤษมาก็เยอะ ทำไมถึงพูดไม่ได้ นักภาษาศาสตร์ มาช่วยกันไขปริศนาแห่งการฝึกพูดภาษาที่สอง อาทิ ภาษาอังกฤษว่า “ทำอย่างไรถึงจะพูดได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา?” ในงานเปิดตัวแคมเปญ “Guaranteed Results” ของสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท                     มร.เบนจามิน ลี ทอมสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท กล่าวว่า การ เรียนภาษาที่สอง อย่างภาษาอังกฤษไม่ได้อาศัยแค่การท่องจำคำศัพท์ หรือไวยากรณ์ แต่เรียนเพื่อให้สามารถใช้ภาษาได้จริง ๆ เหมือนการสอนเด็กแรกเกิดให้หัดพูด ขั้นแรก เด็กจะต้องฟังก่อน จากนั้นเริ่มพูดซ้ำคำต่าง ๆ ที่ได้ยิน และค่อย ๆ พูดประโยคที่ยาวขึ้น โดยเรียนรู้กฎต่าง ๆ เป็นเรื่องสุดท้าย เด็กจะเรียนรู้ ผ่านการสังเกตและฝึกหัด ไม่ใช่การจำคำศัพท์และกฎ จึงอยากให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อภาษาอังกฤษเสียใหม่ หากอยากเก่งภาษาก็จะต้องฝึกฝน อย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับฝึกหัดเล่นกีฬา ต้องสร้างทักษะ ไม่ใช่มองภาษาอังกฤษว่าเป็นวิชาเหมือนประวัติศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์                                     ด้าน มร. เควิน แอล บอยด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอีกท่านหนึ่ง บอกว่า การ วิจัยด้านภาษา ศาสตร์ทั่วโลก ชี้ว่า ระบบการเรียนรู้ที่ได้ผล ควรเลียนแบบการฝึกพูดภาษาพื้นเพ ของมนุษย์ ไม่ใช่แค่การจดจำคำศัพท์ ประโยค หรือกฎต่าง ๆ แต่ควรฝึกให้สมองสามารถใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกวันนี้ ได้มีการคิดค้นรูปแบบการเรียนรู้ตามธรรมชาติของคน เรียกว่า “natural acquisition process” หรือ “ขั้นตอนการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ” กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การฟัง การทำซ้ำ ช่วยให้พูดคุยประโยคที่ยาวขึ้น ทำให้มีความมั่นใจที่จะพูดมากขึ้น และฝึกสมองให้ใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าเป็นทักษะประเภทหนึ่ง          ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์บอกว่า ถึงเวลาที่คนไทยจะเอาชนะความกลัว และหันมาฝึกฝนภาษาอังกฤษในแนวทางที่ส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจและกล้าพูด แทนการท่องจำกันเสียที.   ขอขอบคุณบทความจาก http://www.baanmaha.com/community/thread25489.html
จะไปเรียนต่อต่างประเทศ วางแผนอย่างไรดี
น้อง ๆ ที่เพิ่งจบมาคงกลุ้มกับการมองหางานพอสมควร เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันกันสูงมาก จนปริญญาตรีกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว หันไปทางไหนใคร ๆ ก็จบปริญญาโทกัน  แล้วคราวนี้จะเอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นดี…คิดไปคิดมา มีแต่การไปเรียนต่อเมืองนอกนี่แหละ ที่ดูมีภาษีดีกว่าเพื่อนเพราะทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับในต่างแดนจะทำให้เรามีบุคลิค ทัศนคติ และมุมมองที่ต่างไป ที่สำคัญจะทำให้เราได้เปรียบเรื่องภาษา ซึ่งส่งเสริมให้เราได้งานที่ดีต่อไปได้ แม้ว่าการไปเรียนต่อเมืองนอกจะฟังดูเก๋มาก แต่การใช้ชีวิตที่นั่นในระยะยาว จริง ๆ แล้วโหดเอาการอยู่ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้คุณกลับมามือเปล่าได้ จึงควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจก่อนไปนะคะ                         ความพร้อมด้านการศึกษาของเรา การไปเรียนต่อปริญญาโท เกรดและสาขาที่เราจบมานั้นสำคัญมาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีระดับมาตรฐาน และเงื่อนไขการรับผู้เข้าศึกษาต่อต่างกัน บางแห่งมีคอร์สอนุปริญญาโทไว้ปรับพื้นสำหรับผู้ที่คะแนนไม่ถึง หรือจบไม่ตรงสายก่อนที่จะเริ่มเรียนจริง แต่นั่นหมายความว่าเราต้องเสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ฉะนั้นต้องดูเกรด และสาขาที่เราจบมาเป็นหลักว่าจะเลือกเรียนที่ใดได้บ้างค่ะ อยากไปจริงใช่ไหม หากคิดจะไปเรียนต่อเมืองนอก มีแค่ความ “อยาก” คงจะไม่พอ แต่ต้องมี “ความตั้งใจจริง” ด้วย เพราะการไปที่นู่นชีวิตในช่วงแรกต้องมีตะกุกตะกักกันบ้าง ต้องทำใจไว้เลยค่ะ ว่าเราต้องเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้ เพื่อปรับตัวกันไป บางเรื่องที่คิดว่าง่ายในเมืองไทย ก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากในเมืองนอกได้ หากยังลังเลสองจิตสองใจตั้งแต่ก่อนไป เชื่อว่าจะหมดความอดทนได้ง่าย ๆ แนะนำว่าให้ศึกษาข้อมูลประเทศที่เราอยากไปเรียนให้มากที่สุดก่อน ลองชั่งใจว่าหากเราไปอยู่ที่นั่นจริงจะไหวไหม ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาสถาบันแนะแนวด้านการเรียนต่อโดยเฉพาะค่ะ เพราะบางมีเราอาจจะไม่มีเวลาหาข้อมูล หรือได้ข้อมูลที่ไม่จริงก็เป็นได้ค่ะ เงิน เตรียมงบในกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมใน 2 เรื่องหลัก คือ ค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ แน่นอนว่าถ้าเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาเอกชน ย่อมมีค่าใช้จ่ายแพงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐ แต่มหาวิทยาลัยรัฐส่วนใหญ่จะสมัครเข้าเรียนได้ยากกว่า และค่าครองชีพของแต่ละเมืองก็มีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก จึงต้องหาข้อมูลให้ดีเพื่อเปรียบเทียบงบค่าใช้จ่าย แต่สถาบันแนะแนวบางแห่งจะเตรียมข้อมูลเรื่องที่พักนักศึกษาทำให้เราได้ที่พักราคาที่เหมาะสม ซึ่งสะดวกและประหยัดด้วยค่ะ ภาษา เมื่อเลือกประเทศและมหาวิทยาลัยที่สนใจได้แล้ว ควรไปสอบวัดระดับควมรู้ทางภาษาเก็บไว้ และดูว่าเราผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้สำหรับเรียนต่อปริญญาโทหรือไม่ เช่น ประเทศอเมริกาจะใช้คะแนน TOFEL อย่างต่ำ 550 คะแนน ถ้าเป็นประเทศนิวซีแลนด์จะใช้ IELT ที่ 650 คะแนน และหากเป็นประเทศจีนจะใช้คะแนนการวัดความรู้ภาษาจีน HSK ในระดับสูงเป็นต้น หากเรายังไม่ผ่านเกณฑ์ภาษาที่กำหนด ก็ต้องดูตามงบประมาณที่มีอยู่ว่าควรจะเรียนภาษาเพิ่มในเมืองไทยหรือที่มหาวิทยาลัยที่เราจะไปเรียนต่อ เพราะส่วนใหญ่มีคอร์สรองรับ แต่จริง ๆ แล้วในประเทศไทยก็มีสถาบันที่เปิดสอน TOFEL IELT และ HSK หลายแห่งที่ต่างชาติให้การยอมรับค่ะ  การเตรียมเอกสารการสมัครเรียน  มาถึงขั้นตอนการรวบรวมเอกสารกรอกใบสมัครให้ครบเพื่อยืนยันคุณสมบัติตาม ที่เค้ากำหนด โดยทั่วไปเอกสารหลัก ๆ ใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ มีดังนี้                     australia Transcript ตัวจริงพร้อมทั้งประทับตรารับรองจากมหาวิทยาลัย ใบสมัคร ที่ดาวโหลดมา หรือของที่สถาบันตัวแทนของมหาวิทยาลัย Resume เกี่ยวกับประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน (เมืองนอกนิยมให้ผู้สมัครเรียนปริญญาโทมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว 2 ปีขึ้นไป) Letter of Recommendation อย่างน้อย 2   ฉบับจากอาจารย์ (ในกรณีที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำงาน) และจากหัวหน้างานของเรา (ในกรณีที่เคยฝึกงานที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาบ้างแล้ว) Financial Documents รวมถึงเอกสารจากธนาคาร เช่น Bank statement หรือสมุดบัญชีเงินฝากของผู้ที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงินให้กับเรา ตอนนี้ใครที่สนใจไปศึกษาต่อเมืองนอกคงเห็นภาพแล้ว ว่าการไปเรียนต่อทั้งทีนั้นไม่ได้หมูเลยจริง ๆ เราควรมีข้อมูลมากพอ เพื่อตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทางที่สะดวกและดีที่สุด คือการขอคำแนะนำจากสถาบันแนะแนวการเรียนต่อที่ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับของสถาบันต่างชาติ ซึ่งเปิดให้บริการอยู่ทั่วประเทศ เราสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวการเลือกเมือง หรือสถาบันและสาขาที่จะไปศึกษา แต่ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ก็สามารถให้ช่วยดำเนินการเรื่องเอกสารที่ค่อนข้างยุ่งยากได้ นอกจากนี้บางสถาบันจะเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการทำวีซ่า การหาที่พัก และคอร์สปรับพื้นฐานทางภาษา ไว้ให้พร้อมในแพคเก็จเดียวทำให้สะดวกสบายไปหลายเปลาะเลยค่ะ หวังว่าข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่การเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอกไม่มากก็น้อยนะคะ ขอขอบคุณบทความจาก http://blog.th.88db.com/?p=1639
อยากไปเรียนปริญญาโทและเอกที่อเมริกา ต้องเริ่มต้นอย่างไร
มีคนเขียนถามมาเยอะว่า ถ้าจะไปเรียนฮาร์วาร์ดต้องทำอย่างไร หรือถ้าจะไปเรียนต่อเมืองนอกต้องทำอย่างไรบ้าง ทำให้ม่อนรู้สึกว่าอยากเขียนกระบวนการให้เห็นเพื่อผู้อ่านจะได้รู้วิธีการเตรียมตัวได้ถูกต้องค่ะ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะเขียนจริงๆคงยาวมาก เอาเป็นว่าวันนี้เอาoverviewไปก่อนแล้วกันนะคะว่าถ้าอยากไปเรียนปริญญาโทหรือเอกที่อเมริกา   เราต้องทำอย่างไร อันดับแรกเลยก็ต้องหาข้อมูลก่อนค่ะว่าเราอยากไปเรียนที่ไหน ชอบมีคนถามว่าสมัครอย่างไร มีสาขาอะไรบ้าง จริงๆแล้วข้อมูลพวกนี้หาได้ง่ายมากเลยค่ะ googleช่วยคุณได้ แค่ใส่ชื่อมหาวิทยาลัยเข้าไปมันก็ออกมาแล้วค่ะ เราก็เข้าไปดูในdepartment หรือ school ที่เราอยากเรียน อย่างเช่น Harvard University ถ้าเราเข้าไปในเวปเขาก็จะเห็นเป็นเวปรวมของมหาวิทยาลัย ก็ต้องเข้าไปดูใน school ว่ามีอะไรบ้าง มันก็จะมี Education school, Design school, Law school , Medical school เป็นต้นนะคะ เราก็คลิกเข้าไปในคณะนั้นๆแล้วเข้าไปดูโปรแกรมหรือสาขาที่เราสนใจ  บางสาขาอาจจะไม่ได้แยกเป็นschool ออกมา แต่เป็นdepartmentแทน เช่น Economics, Arts, History, Philosophy ซึ่งสาขาเหล่านี้มักจะอยู่ใน Graduate School of Arts and Science ค่ะ   ข้อควรทราบคือ ในเมืองไทยเราใช้facultyเป็นคำว่า คณะ แต่ที่อเมริกาจะใช้คำว่า school หรือ department ค่ะ พอหาสาขาที่อยากเรียนได้แล้ว เราก็ดูrequirementค่ะว่าต้องจบอะไรมา คะแนนเท่าไหร่ ถึงจะสมัครได้ จากนั้นก็เข้าไปดูapplication process ของแต่ละคณะซึ่งก็จะไม่เหมือนกันค่ะ           วิธีสมัคร ส่วนมากจะต้องมีเอกสารเหล่านี้ค่ะ          Transcripts          TOEFL          GRE, GMAT หรือคะแนนสอบต่างๆแล้วแต่คณะจะกำหนดค่ะ          Letters of Recommendation เป็นจดหมายจากอาจารย์หรือนายจ้างที่เราเคยทำงานให้ค่ะ          Statement of Purpose มักจะให้เขียนถึงประวัติตัวเอง ว่าทำไมเราอยากเรียนที่นี่ สาขานี้ ว่าง่ายๆก็คือ เขียนให้เขาเห็นว่าทำไมควรจะรับเราน่ะค่ะ  จากนั้นก็ส่งเอกสารให้ครบตามdeadline ก็เป็นอันเสร็จสิ้นค่ะ รอผลได้เลย  ยกเว้นแต่บางสาขาวิชาที่อาจจะมีการเรียกสอบสัมภาษณ์ด้วย ถ้าเราอยู่เมืองไทย เขาก็จะสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรืออินเตอร์เนทค่ะ จริงๆก็มีแค่นี้เองค่ะ ไม่ซับซ้อนอะไรมาก แต่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวเยอะ เพราะแค่สอบให้ครบก็ใช้เวลาพอสมควรแล้ว ถ้าใครคะแนนไม่ดีต้องสอบหลายครั้งก็เสียเวลาอีกค่ะ และการเขียนstatement of purposeที่ดี ก็ต้องใช้เวลามากเหมือนกัน ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆค่ะ อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคิดก็คือว่าเราต้องการขอทุนด้วยหรือเปล่า  ที่อเมริกาจะมีทุนเต็มให้ปริญญาโทน้อยมากๆ ส่วนมากจะให้เป็นทุนบางส่วน เราก็ต้องขวนขวายหาจากหลายๆแหล่งเพิ่มเติมเอาเองค่ะ ก่อนจะสมัครก็ควรจะดูในเวปของคณะด้วยว่า สาขาที่เราจะเรียนต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ส่วนมากในเวปจะมีการประเมินเอาไว้ให้แล้วค่ะ ทุนก็หาได้จากเวปของมหาวิทยาลัยนั่นแหล่ะค่ะ ต้องนั่งอ่านเอาเองว่ามีอันไหนที่เราสมัครได้บ้าง ถ้าจะสมัครทุนส่วนมากจะต้องสมัครก่อนหรือพร้อมกับที่สมัครเรียนนะคะ ถ้าช้าก็อดค่ะ           คิดว่าคงช่วยให้ผู้อ่านได้ภาพรวมของการสมัครเรียนต่อที่อเมริกานะคะ ถ้าอยากให้เขียนเรื่องไหนเพิ่มก็คอมเม้นท์ไว้ได้ค่ะ หรือจะส่งมาทางหน้าติดต่อครูม่อนก็ได้ค่ะ จะพยายามทยอยเขียนตอบให้นะคะ     ขอขอบคุณบทความจาก http://www.kru-mon.com/?p=283     Australia Worantex (Thailand) British Council Cp education Vakom Overseas Education Knowledge Plus IDP Education Eduworld University of Wollongong Ekthana EdNet Advice For You Topuplearning YESthailand UNIVERSITY OF CANBERRA Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel Exit Education   United Kingdom Worantex (Thailand) British Council Knowledge Plus Vakom Overseas Education Eduworld CP Education EdNet Advice For You Hamilton Topuplearning Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel Thai Study Abroad Exit Education   USA Worantex (Thailand) British Council Vakom Overseas Education Knowledge Plus IDP Education Eduworld CP Education Ekthana EdNet Advice For You YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel Exit Education   Canada Worantex (Thailand) britishcouncil Vakom Overseas Education Knowledge Plus Eduworld EdNet Advice For You YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant STA Travel Exit Education Keyeducation   New Zealand Cp education Knowledge Plus Vakom Overseas Education britishcouncil Eduworld EdNet Advice For You Topuplearning YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel Exit Education   India GotoBangalore YESthailand STA Travel   Switzerland Ekthana Vakom Overseas Education IEW Education Hamilton Thai Study Abroad Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel   Japan Jeducation YESthailand Thai Study Abroad Keyeducation STA Travel Exit Education   Singapore Eduworld Vakom Overseas Education CP Education IEW Education EdNet Thai Study Abroad Apex Education Consultant Keyeducation STA Travel Exit Education   Netherlands Knowledge Plus Nuffic Neso Thailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) STA Travel   Germany YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant STA Travel   Italy YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) STA Travel   Ireland British Council Target Education EdNet Thai Study Abroad STA Travel   France Advice For You YESthailand Thai Study Abroad OEG (Overseas Ed Group) Apex Education Consultant STA Travel   Spain Ekthana Topuplearning Thai Study Abroad STA Travel   Hong Kong Anglo Phone Thai Study Abroad STA Travel   ข้อคิดก่อนตัดสินใจไปเรียนภาษาในต่างประเทศ
ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
เรียนคุณสมเกียรติ  ขอปรึกษาเรื่องการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศในช่วงเวลานี้ ซึ่งเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลกไม่ดี เราจะมีเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไรว่า ควรไปที่ไหน จะทำให้ประหยัดเงินหรือเปล่าคะ และก่อนไปเราควรหาข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศที่ไหน จึงจะได้ข้อมูลมากที่สุด เพื่อจะได้ตัดสินใจไม่ผิดพลาดคะ ช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณมาก คุณแม่น้องมิ้น                                Answer : ต้องบอกว่า เศรษฐกิจตกต่ำหรือเศรษฐกิจขาลงที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Econmic Down Turn ก็ดีที่มันทำให้ค่าเงินของหลาย ๆ ประเทศถูกลง มองเผิน ๆ ก็คงเป็นข้อได้เปรียบที่น่าฉวยจังหวะไปเรียนเมืองนอกช่วงนี้ แต่จริงๆ แล้วประเทศอื่น ๆ เขาแย่ เราก็แย่เหมือนกัน ค่าเงินบาทเราดันแข็งซะอีก เงินทองมันก็หายาก สรุปว่า ยังไงก็คงต้องบวกลบคูณหารความคุ้มค่ากันเต็มที่ก่อนตัดสินใจโกอินเตอร์อยู่ดีนะครับ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เดี๋ยวนี้ต้องอ่านข่าวประเทศหรือเมืองที่เราจะไปศึกษาด้วยว่า เรื่องการศึกษาบ้านเขามีกฎระเบียบอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบกับนักเรียนต่างชาติที่จะไปเรียนหรือไม่ ไม่งั้นอาจไปแล้วต้องเจออุปสรรคที่ไม่คาดคิดก็ได้             เช่น หากจะไปเรียนอังกฤษ ก็ต้องรู้ว่า ที่UK ตอนนี้กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง Student Visa สำหรับนักเรียนต่างชาติที่เข้มงวดมาก เขาจะเน้นตรวจสอบฐานะการเงินของนักเรียนมากขึ้น เช่น ต้องมีเงินในธนาคารที่เป็นชื่อผู้เรียนเองในจำนวนที่พอจ่ายค่าเทอมในปีแรก โดยยื่นหลักฐานให้ตรวจสอบ 28 วันก่อนสมัครเรียน นอกจากนี้ในแต่ละเดือนที่ต้องอยู่ในอังกฤษก็ต้องมีเงินสำรอง รวมทั้งค่าที่พักรวมกันเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 ปอนด์หรือประมาณ 53,000 บาท(ตลอดทั้งปี) รวมค่าเรียน ค่าที่พัก งานนี้คงล้านUp(ค่อนข้างมาก)แน่นอน งานนี้ดูทีท่าจะเน้นรับระดับเถ้าแก่น้อยจริงๆ            ส่วนที่อเมริกาก็ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงที่อาจเป็นพิษจากเศรษฐกิจแย่เช่นกัน เพราะบางรัฐปีนี้รัฐบาลกลางได้จำกัดงบประมาณที่เป็นเสมือนน้ำล่อเลี้ยงสำคัญไปสนับสนุนสถาบันอุดมศึกษา ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เริ่มได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีระบบการศึกษาใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ดังนั้นเจอปัญหาเข้าไปเต็ม ๆ งานนี้จะทำให้ม.ต่าง ๆ ลดขนาดห้องเรียน และมีข้อจำกัดในการรับนักศึกษามากขึ้นเช่นกัน เหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างบางที่เท่านั้น คงต้องตามข่าวกันอยู่เรื่อย ๆ ครับ            คำถามเกี่ยวกับการหาข้อมูลการศึกษา ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญและ หลัก ๆ ก็คือ 1.หาเองจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งเว็บไซต์และหนังสือเกี่ยวกับการศึกษา 2.ปรึกษากับคนที่เคยมีประสบการณ์ หรือหน่วยงานศึกษาต่อ 3.ไปหาข้อมูลในงานการศึกษานานาชาติ โดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้มักมีงาน  International Education Exhibition จัดกันหลายงานเสมอ…           เท่าที่ผมเองเคยไปมาหลายประเทศ อยากบอกว่า มาตรฐานไม่ค่อยต่างกันนัก โดยเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ซึ่งนอกเหนือจากอเมริกา อังกฤษ ก็ไม่ควรมองข้าม แคนาดา ออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์  เพราะค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าพอสมควร โดยเฉพาะหากเป็นระดับมัธยมปลายที่แดนกีวี นิวซีแลนด์นั้นต้องบอกว่า น่าเรียนและคุ้มค่าที่สุดแห่งหนึ่งทีเดียว แต่หากเป็นแคนาดา การเลือกไปในเมืองที่อยู่กลาง ๆ ของประเทศ แม้หน้าหนาวจะหนาวมากกว่าอเมริกา แต่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็น้อยกว่าพอสมควร…ขณะที่ออสเตรเลีย ไม่ได้มีแค่เมลเบิร์น หรือ ซิดนี่ย์ ทางฝั่งตะวันตกอย่าง เวสเทิร์น ออสเตรเลีย เช่นที่เมืองเพิร์ธ หรือ อันเดอเลชท์ ก็เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า แต่คุณภาพไม่ต่างเช่นกัน ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.interscholarship.com/fqa/3288
ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ได้รับเกียรติบรรยายที่ม.เคมบริดจ์ อังกฤษ
ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ( แถวหน้า คนที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ โรงเรียนนานาชาติ เดอะ รีเจ้นท์ (The Regent’s School) ได้รับเชิญจากคณะวิชาการศึกษา มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกในแขนงต่างๆ ไปบรรยายในหัวข้อ “ การศึกษาจะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาคอรัปชั่น ? “ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ริชาร์ด ฮิกกินสัน คณบดีและผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมและคอรัปชั่นในประเทศกำลังพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มาร่วมฟังพร้อมนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมาร่วมงาน ในการบรรยาย ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ได้ชี้ถึงบทบาทของการศึกษาองค์รวมที่จะต้องพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีคุณธรรมนำหน้าวิชาการในการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นในประเทศไทยและในประเทศกำลังพัฒนา โดยได้ระบุถึงองค์ประกอบ 3 ประการที่จำเป็นคือ 1. ความตั้งใจของผู้มีอำนาจในการปฏิรูปการศึกษา 2. พิมพ์เขียวที่ชัดเจนในการสร้างคุณธรรมในเยาวชนในแต่ละชั้นเรียนและ 3. การป้องกันมิให้รัฐบาลชุดที่เข้ามาใหม่มาทำลายพิมพ์เขียวสร้างคุณธรรมนั้น (www.regents.ac.th/cambridgetalk)   บุคคลในภาพ (แถวนั่งจากซ้าย ไปขวา ) 1. มร.ทิม เคลียรี่ ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยลอนดอนเมโทร , 2. มร.แอนดรู วัตสัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมการลงทุน , 3. ศ.ดร.ริชาร์ด ฮิกกินสัน คณบดีคณะวิชาการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญจริยธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ 4. ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ประธานกรรมการ โรงเรียนนานาชาติ เดอะ รีเจ้นท์, 5. มร.คีท โบลเตอร์ ประธานบานาร์ดิสตันฮอลล์   มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1209 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิชาอื่นๆมากมายของโลก เป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประกอบด้วย 31 คอลเลจ ระบบคอลเลจนี้มีลักษณะคล้ายหอพักของนักเรียน นักเรียนแต่ละวันจะไปเรียนร่วมกันกับคอลเลจในคณะ/สาขาต่างๆ แต่เมื่อกลับมาที่คอลเลชของตนเองก็จะมีอาจารย์ชำนาญเฉพาะวิชาซึ่งอยู่ในหอพักเดียวกันช่วยติว นักเรียนแต่ละคอลเลจจะแข่งขันกัน ทั้งด้านการเรียน และกิจกรรม, ทุกคอลเลจจะมีประเพณีของตัวเอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ของตัวเอง มีสีและสัญลักษณ์ของตัวเอง และ มีทรัพย์สินอาคารของตนเอง   PR Agency : บ.เบรนเอเซีย คอมมิวนิเคชั่น จก.(BrainAsia Communication ) Tel : 02-911-3282 Fax : 02-911-3208 Email : brainasia@hotmail.com
10 อันดับ หลักสูตรคอมพิวเตอร์ ค่าเรียนถูกที่สุดในอเมริกา
ทุกวันนี้สถาบันการศึกษาจำนวนมากพยายามขยายช่องทางเรียนรู้ผ่านระบบ จนถึงสถาบันที่จัดสอนเฉพาะหลักสูตรเรียนทางไกลโดยตรง ทุกวันนี้สถาบันการศึกษาจำนวนมากพยายามขยายช่องทางเรียนรู้ผ่านระบบ จนถึงสถาบันที่จัดสอนเฉพาะหลักสูตรเรียนทางไกลโดยตรง จึงยากที่จะตัดสินใจว่าควรเรียนที่ไหนดี มีการจัดอันดับสุดยอดสถาบันออนไลน์มาเป็นแนวทางให้เลือกง่ายขึ้น GetEducated.com เป็นกลุ่มวิจัยผู้บริโภคที่นำเสนอสุดยอดมหาวิทยาลัยออนไลน์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นการจัดอันดับค่าใช้จ่ายถูกที่สุดแต่น่าเชื่อถือที่สุดด้วย การจัดอันดับของ GetEducated.com ได้ทำการรวบรวมข้อมูลหลักสูตรออนไลน์จากทั่วประเทศสหรัฐครอบคลุมบัณฑิตวิทยาลัยออนไลน์ที่ได้รับการรับรองในระดับภูมิภาค 70 สถาบัน ซึ่งเปิดหลักสูตรปริญญาโทออนไลน์รวมทั้งสิ้น 142 หลักสูตร หลักสูตรเหล่านั้นประกอบด้วย สาขาคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรม เทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การออกแบบซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี การออกแบบคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ความปลอดภัยของเว็บ และสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของหลักสูตรปริญญาออนไลน์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งรวมค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาทางไกล มูลค่า 24,918 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 747,540 บาท 1. มหาวิทยาลัยออนไลน์อันดับหนึ่งที่มีค่าเรียนถูกที่สุดต้องยกให้ East Carolina University หลักสูตรปริญญาโทสาขาการจัดการเทคโนโลยี (Master of Science in Technology Management) วิชาเอกคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศนักศึกษาท้องถิ่นจ่ายค่าเรียนออนไลน์เพียง 4,860 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 145,800 บาท ส่วนนักเรียนต่างชาติจ่ายแพงกว่าเป็นธรรมดา คิดค่าเล่าเรียนราว 20,040 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 601,200 บาท 2. Columbus State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์ (Master of Science in Applied Computer Science) ค่าเล่าเรียน 7,956 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 238,680 บาท (ไม่ได้ระบุค่าเล่าเรียนของนักศึกษาต่างชาติ) 3. North Carolina State University Raleigh หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Master of Science in Computer Science) ค่าเล่าเรียน 8,610 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 258,300 บาท ค่าเล่าเรียนของนักศึกษาต่างชาติ 21,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 630,000 บาท 4. Minot State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาระบบสารสนเทศ (Master of Science in Information Systems) ค่าเล่าเรียน 8,994 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 269,820 บาท 5. Dakota State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาระบบสารสนเทศ (Master of Science in Information Systems) ค่าเล่าเรียน 10,313 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 309,390 บาท 6. Jacksonville State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ (Master of Science in Computer Systems & Software Design) ค่าเล่าเรียน 10,590 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 317,700 บาท 7. Indiana State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Master of Science in Electronics & Computer Technology) 11,462 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 343,860 บาท 8. Western Governors University (Utah) หลักสูตรปริญญาโทสาขาการรักษาความปลอดภัยสารสนเทศ (Master of Science in Information Security & Assurance) ค่าเล่าเรียน 11,740 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 352,200 บาท 9. Georgia Southern University หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Master of Science in Computer Science) ค่าเล่าเรียน 12,350 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 370,500 บาท 10. Dakota State University หลักสูตรปริญญาโทสาขาความปลอดภัยสารสนเทศ (Master of Science in Information Assurance) ค่าเล่าเรียน 12,375 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 371,250 บาท ขณะเดียวกันมีการจัดอันดับหลักสูตรออนไลน์ในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ค่าเรียนแพงที่สุดในสหรัฐด้วย หลักสูตรปริญญาโทสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศของ Carnegie Mellon University ค่าเล่าเรียนแพงที่สุดประมาณ 59,400 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 1,782,000 บาท ทั้ง 10 อันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่แสวงหาผลกำไร และ Western Governor’s University (Utah) เพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลและเปรียบเทียบรายชื่อ 140 สถาบันที่ติดอันดับปริญญาโทออนไลน์สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากเว็บไซต์ www.geteducated.com เพื่อแสวงหาช่องทางเหมาะสมที่สุดในการเรียนเสริมเพิ่มโอกาสทางการประกอบอาชีพในอนาคต นอกจากนี้ยังสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของแต่ละสถาบัน ที่มา การศึกษาวันนี้ photo credit : stateuniversity.com
ทำไมเลือกศึกษาต่อ ณ ประเทศแคนาดา
  แคนาดาเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูง ประเทศแคนาดาให้ความสำคัญต่อการศึกษามาก และมีสถานศึกษาชั้นหนึ่ง แคนาดาใช้จ่ายเงินต่อคนในด้านการศึกษามากกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม G-8 และเป็นประเทศอันดับที่ 3 ที่เป็นสมาชิกขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา (โออีซีดี) ปริญญาจากมหาวิทยาลัยในแคนาดาเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล และนักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษา จากมหาวิทยาลัยของแคนาดา มักจะประสบความสำเร็จ และความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน จัดเป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลก แคนาดาจัดอยู่ในอันดับ ท็อปเท็น ของประเทศที่น่าอยู่ที่สุดของโลกตั้งแต่ปี 1994  จาก    สหประชาชาติและหน่วยงานข้อมูลเศรษฐกิจ    ในการสำรวจนี้ แคนาดา ได้คะแนนสูงทางด้านการศึกษา, ประชากรอายุยืน (เนื่องจากระบบประกันสุขภาพชนิดครอบจักรวาล) และอาชญากรรมที่น้อยมาก   นอกจากนี้ เมืองใหญ่สุดของแคนาดา – แวนคูเวอร์, โตรอนโต และ มอนทรีออล ได้รับการจัดเป็นเมืองระดับโลกในการอาศัยและทำงานเนื่องมาจากความสะอาดและความปลอดภัย และ กิจกรรมวัฒนธรรม และ ชีวิตที่รื่นรมย์. มาตรฐานคุณภาพชีวิตสูง ชาวแคนาดามีมาตรฐานของคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในโลก ชาวแคนาดาเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์มีบ้านเป็นของตนเอง และ มีทรัพย์สินถาวร เช่น รถยนต์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ โทรศัพท์ และวิทยุ  ประเทศแคนาดามีระบบประกันสุขภาพและประกันสังคมที่แพร่หลายและมีมาตรฐาน. แคนาดาได้พัฒนาสื่อต่างๆ สิ่งบันเทิงและศิลปะอื่นๆ เป็นอย่างดี ชาวแคนดาต่างภูมิใจในระบบการกระจายเสียงที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่มีกิตติศัพท์ว่าขึ้นชื่อทั่วโลก ระบบดังกล่าวประกอบด้วยสถานีวิทยุ AM และ FM มากกว่า 1000 สถานี และสถานีโทรทัศน์ 719 สถานีที่พร้อมให้บริการมอบความบันเทิงและให้สาระแก่ผู้ชมและผู้ฟัง สิ่งแวดล้อมที่อบอุ่น แคนาดาเป็นประเทศของผู้อพยพ จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีและนโยบายส่งเสริมให้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ประชากรจากเกือบทุกเชื้อสายทั่วโลกอาศัยอยู่ในแคนาดา จึงเป็นผลให้แคนาดามีอาหารของชนหลายเชื้อชาติ และกิจกรรมสันทนาการของชนชาติจากวัฒนะธรรมที่หลากหลายนั้นๆ นอกจากนี้มีสโมสร กลุ่มย่อย และสมาคมของประชากรจากหลากหลายเชื้อชาติซึ่งสามารถเข้าร่วมได้อย่างง่าย อาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติ ที่สถานศึกษาสามารถช่วยเหลือนักศึกษาให้เข้าไปรู้จัก กับกลุ่มประชากรเหล่านี้ได้ ในย่านใจกลางเมืองใหญ่ๆ ทุกแห่งมีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ห้องแสดงภาพ และพิพิธภัณฑ์มากมาย นอกจากนี้เมืองต่างๆ ในแคนาดายังมีสวนสาธารณะ สวนดอกไม้และชายหาดสาธารณะ พร้อมทั้งกีฬาและสันทนาการชั้นเยี่ยมอีกด้วย สภาพแวดล้อมที่สวยงาม นักศึกษาที่มาศึกษา ณ ประเทศแคนาดา จะพบกับสภาพแวดล้อมที่สวยที่สุด และคงความงดงามตามธรรมชาติได้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แคนาดายังเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย และมีกิจกรรมกลางแจ้งมากมาย เริ่มจากชายฝั่งที่เขียวขจีของมณฑลบริติช โคลัมเบีย เทือกเขาร็อคกี้ขนาดใหญ่ที่มณฑล อัลเบอร์ต้า ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ของทุ่งหญ้าแพร์รี่ จนถึง “ดินแดนแห่งน้ำตาลเมเปิ้ล” ที่ทะเลสาบทั้งห้า และเซนต์ลอเรนซ์ ไปจนถึงแถบเชิงเขา และชายฝั่งอันงดงามของมณฑลในแถบฝั่งแอตแลนติค * คณะกรรมการดูแล สวนสาธารณะแห่งชาติ และ สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการศึกษา แคนาดามีชื่อเสียงในเรื่องของความปลอดภัย มีความสงบสุขในสังคม มีอัตราการก่ออาชญากรรมต่ำมาก และยังคงมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นศกที่ 1990. จากผลการรายงานจากกรมตำรวจในปี 1997 ถึงอัตราการก่ออาชญากรรมของชาวแคนาดาลดลง 5% เป็นเวลา 6 ปีติดต่อกันมา ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาให้การดูแลอย่างเข้มงวด โดยไม่มีการอนุญาติในการพกพาอาวุธแต่อย่างใด ประเทศแห่งเทคโนโลยีชั้นสูง แคนาดาเป็นผู้นำทางด้านต่างชาติในด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และมีชื่อเสียงทั่วโลกในด้านต่างๆ เช่น โทรคมนาคม การคมนาคม วิศวกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบิน การคมนาคมชุมชน ไมโครอีเล็คทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ซอฟท์แวร์ระดับสูง กระแสไฟฟ้าพลังน้ำ และพลังงานนิวเคลียร์ เลเซอร์ และออฟโตอิเล็คทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ กระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม วิทยาศาสตร์กายภาพ และอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อมทางทะเล จุดเด่นชองอุตสาหกรรมการโทรคมนาคมประกอบด้วย เคเบิล เทเลโกล๊บ แคนแทท 3 ซึ่งเป็นชนิดเดียวของโลกที่รองรับการสื่อสารความเร็วสูงมัลติมีเดียข้ามสมุทร   ความร่วมมือภาคีสเต็นเตอร์ ของบริษัทโทรศัพท์หลายแห่ง ได้ลงทุนถึง 8000 ล้านดอลลาร์ เพื่อที่จะให้เป็นวิวัฒนาการล่าสุดของเทคโนโลยี่บรอดแบนด์ถึง 80% ของบ้านที่พักอาศัยในแคนาดา แคนาดาเป็นประเทศแรกๆที่รู้ความต้องการเชื่อมโรงเรียนและห้องสมุดกับอินเตอร์เน็ตและโปรแกรมเน็ตของโรงเรียนได้รับการยอมรับทั่วโลก  แคนาดาเป็นประเทศแรกของโลกที่เชื่อมโรงเรียนและห้องสมุดกับถนนแห่งข้อมูล. ประเทศที่ใช้ 2 ภาษา แคนาดาเป็นประเทศที่มีภาษาราชการสองภาษาคือภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ประชากรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75) ของชาวแคนาดาที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสอาศัยอยู่ที่ควิเบค ซึ่งตั้งอยู่่ทางตะวันออกของประเทศ แต่ชุมชนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสก็มีอยู่ทั่วไปในประเทศ อ้างถึงการสำรวจประชากรในปี ค.ศ. 1991 ร้อยละ 82 ของประชากรชาวควิเบคใช้ภาษาฝรั่งเศษเป็นภาษาแม่ และร้อยละ 83 ของประชากรชาวควิเบคใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาพูดที่บ้าน ทั่วโลกคาดว่ามีมากกว่า 100 ล้านคนที่พูดภาษาอังกฤษ และมากกว่า 250 ล้านคน ที่พูดภาษาฝรั่งเศส  เนื่องจากแคนาดาเป็นชาติที่พูดสองภาษา เรามีโปรแกรมภาษาทั้งอังกฤษ (ESL) และฝรั่งเศส (FSL) หลากหลาย สำหรับนักเรียนที่อยากเรียนภาษาใดภาษาหนึ่งหรือทั้งสองภาษา    http://www.studycanada.ca/thailand/whycanada.htm
การอนุมัติวีซ่านักเรียนแคนาดา
  การดำเนินการขอวีซ่าขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่า และระยะเวลาของการศึกษา ซึ่งนักศึกษาจะต้องมีวีซ่าดังนี้้ • วีซ่า study permits อนุญาติการเป็นนักศึกษา • ต้องมีทั้งวีซ่า และใบอนุญาติการเป็นนักศึกษา • หรือ วีซ่าระยะสั้น student on visitor visa  น้อยกว่า 6 เดือน การขอวีซ่าแต่ละประเภท ขึ้นอยู่กับโปรแกรมการเรียน และระยะเวลาของการเรียน: • การเรียนภาษาอังกฤษน้อยกว่า 6 เดือน  ไม่จำเป็นต้องมี study permits แต่ต้องขอ student on visitor visa • ทุกโปรแกรมอื่นๆ จำเป็นต้องมีวีซ่าการอนุญาติการเป็นนักศึกษา study permits หมายเหตุ: การขอวีซ่า ซึ่งดำเนินการโดยกองตรวจสัญชาติ และคนเข้าเมืองของแคนาดา สถานทูตแคนาดา ชั้น 15 ตึกอ้บดุลราฮิม ตรงข้ามสวนลุม นักศึกษาสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการดำเนินการสมัครขอวีซ่านักเรียนโดยการเข้าชมเว็บไซต์ ของ กองตรวจสัญชาติ และคนเข้าเมืองของแคนาดาได้ที่ www.cic.gc.ca หรือ www.thailand.gc.ca .  สำหรับข้อมูลการท่องเที่ยว www.canada.travel   http://www.studycanada.ca/thailand/visa.htm
MBBS แพทย์แผนจีน
  แพทย์แผนจีนปัจจุบันกองประกอบโรคศิลป์ได้รับรองการแพทย์แผนจีนให้เป็นสาขาวิชาชีพแพทย์เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถสอบใบประกอบโรคศิลป์ได้ ถึงปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนในประเทศจีนที่ผ่านการรับรองอยู่ 33 แห่ง ขออนุญาตแนะนำมหาวิทยาลัยนี้เป็นการเริ่มต้น Liaoning University of Traditional Chinese Medicine (LNUTCM) ก่อตั้งเมื่อปี 1958 ตั้งอยู่ที่เมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง และมีวิทยาเขตที่ต้าเหลียนด้วย ปัจจุบันมีนักศึกษาอยู่ 14,000 คน มีนักศึกษาต่างชาติจบการศึกษาที่นี่ไปแล้วกว่า 5,000 คน  ความเพียบพร้อมด้านวิชาการ วิทยาลัย 16 แห่ง  32 สาขาวิชา  พิพิธภัณฑ์ 1 แห่ง ห้องสมุด 3 แห่ง ศูนย์วิจัย 6 แห่ง โรงพยาบาลในเครือระดับ AAA  - 3 แห่ง การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือกับ 70 มหาวิทยาลัย ใน 20 ประเทศ หลักสูตรที่เปิดสอน ปริญญาตรีภาคอินเตอร์ เวลาเรียนปี ค่าเรียนต่อปีหยวน Combination of TCM&Western Medicine (MBBS) 6 16,000 Acupuncture&Massage 5 26,000 TCM 5 26,000 ปริญญาตรีภาคภาษาจีน เวลาเรียนปี ค่าเรียนต่อปีหยวน TCM 5 24,000 TCM เฉพาะด้านกระดูก 5 24,000 Combination of TCM&Western Medicine 5 24,000 Acupuncture&Massage 5 24,000 Acupuncture&Massage เฉพาะทางยาในการกีฬา 5 24,000 Pharmacy of TCM 4 24,000 Nursing 4 24,000 Veterinary Pharmaceutical Preparation 4 24,000 Pharmaceutical Engineering 4 24,000 Food Science and Engineering 4 24,000 Marketing in Pharmacy TCM 4 24,000 Marketing 4 24,000 Public Administration ด้านสาธารณสุข 4 24,000 ค่าสมัคร 820 หยวน รายวิชา Basic Theory of TCM Diagnostics of TCM Pharmacy of TCM Prescription of TCM Chinese Medical History Academic Debates in Theories of TCM The four classsic writings Emergency Medicine All the subjects in clinics in TCM Acupuncture Massage Medical Paleography Human Anatomy Physiology Biochemistry Pathology Pharmacology Basic Theory of Diagnostics Internal Medicine Chirurgery Phylaxiology Medicine Ethics Sanitary codes Clinical Practice เงื่อนไขเวลารับสมัคร สิ้นเดือนมิย และ สิ้นเดือนธค ของทุกปี จบชั้นมัธยมปลาย หลักสูตรอินเตอร์มีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดี หลักสูตรจีน HSK4 นักเรียนที่ผลการเรียนดีสามารถขอทุนได้ในปีถัดไป ให้สูงสุด 7,000 หยวนต่อปี  ห้องพักมีแอร์ ตู้เย็น ทีวี ห้องน้ำ โทรศัพท์ เน็ต ครัวรวม เครื่องซักผ้ารวม ห้องคู่ 750 หยวนต่อเดือน ห้องเดี่ยว 1,050 หยวนต่อเดือน         หลักสูตรแพทย์แผนตะวันตก MBBS ล่าสุดรายชื่อโรงเรียนแพทย์ต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง(มีอายุการรับรอง 5 ปี) 1. Tongji Medical College, Huazhong University of Sciences and Technology, Wuhan 7/2552  2. Zhejiang University, School of Medicine, Hangzhou 7/2552  3. Peking University Health Science Center, Beijing         10/2552  4. Dalian Medical University (DMU), Liaoning, Dalian 1/2553  5. China Medical University  7/53 6. Medical College , Jiangsu University 1 /54 7. Hebei Medical University 4/54 8. Medical School , Zhengzhou University ,  4/54 ที่มาข้อมูล: แพทยสภา click หมายเหตุ ดังนั้นผู้สมัครใหม่จะต้องทำเรื่องยื่นรับรองอีกครั้ง มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงได้เปิดสาขาด้านการแพทย์ โดยการรวม Zhejiang college of medicine ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1912 เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในปี 1945 ต่อมายังมีการรวมกับ Hangzhou University , Zhejiang Agricultural University และ Zhejiang Medical University อีกหลายครั้งจนเป็นมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในปัจจุบัน นับว่าเป็น 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของจีนมีสาขาวิชามากมายและยังเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศเอเชีย ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และผลงานตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อีกมากมาย ปัจจุบันมีนักศึกษาจากประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย อังกฤษ อเมริกา ปากีสถาน สิงคโปร์ ไทย ศึกษาอยู่ประมาณ 200 คน   คณะแพทยศาสตร์มีทั้งหมด 7 แผนก 1. Department of Clinical medicine แยกย่อยไปอีกสองแผนก 2. Department of Basic Medical Science 3. Department of Public Health 4. Department of  Stomatology 5. Department of  Nursing               นอกจากนี้ยังมีสถาบันที่ทำงานวิจัยในสาขาต่างๆ อีก ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการด้วย 1. Institute of Ophthalmology 2. Institute of Immunology 3. Institute of Cellular Biology 4. Institute of Pathology & Forensic Medicine 5. Institute of Social Medicine & General Medicine 6. Institute of Industrial Hygiene & Environmental Hygiene 7. Institute of Medical Nutrition & Food Hygiene 8. Institute of Infectious Diseases 9. Institute of Hematology 10. Institute of Oncology 11. Institute of Pediatrics 12. Institute of Surgery 13. Institute of Cardiovascular Diseases 14. Institute of Brain Medicine 15. Institute of Emergency Medicine 16. Institute of Orthopedics 17. Institute of Obstetrics & Gynecology 18. Institute of Family Planning 19. Sir Run Run Shaw Research Institute of Clinical Medicine 20. Institute of Respiratory Medicine 21. Research Centers 22. Research Center for Brain Intelligence 23. Research Center for Stem Cell and Tissue Engineering 24. Research Center for Disease Models and Simulations สำหรับหลักสูตรนักเรียนแพทย์ภาคภาษาอังกฤษ เริ่มเปิดรับนักศึกษาต่างชาติเมื่อปี 2006 ในสาขา Clinical Medicine ใช้เวลาเรียน 5 ปี และฝึกงานอีก 1 ปี คุณสมบัติผู้สมัคร จบชั้นมัธยมปลายสายวิทย์ ผลการเรียนวิชา ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข ภาษาอังกฤษ อยู่ในเกณฑ์ 80% ขึ้นไป ไม่ต้องสอบเข้า และไม่ต้องใช้ผล IELTS , TOEFLS รับสมัครเดือนมีนาคม ถึง 15 มิถุนายน ของทุกปี ค่าเทอม 34,000 หยวนต่อปี http://www.joy2china.com/  
ดูดวง ปีชง ปี2555 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา
ปีชง ปี2555 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา (เผยแพร่ติดต่อกันเป็นปีที่ 13) (Turtlebiz ) ปีพ.ศ.2555 นี้เป็นปีมะโรง (มังกรน้ำ : ยิ่มซิ้ง)           ตามประเพณีการไหว้องค์ไท้ส่วยหรือไท้ส่วยเอี๊ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่(ตรุษจีน) ของทุกๆปี หรือที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนรู้จักกันดีในนามของ "เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา" เป็นเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละปี ซึ่งในความเป็นจริงในปัจจุบันนี้คนเข้าใจเกี่ยวกับองค์ไท้ส่วยน้อยมากจน กล่าวได้ว่าแทบไม่มีใครรู้ประวัติความของไท้ส่วยว่าเป็นใครมาจากไหน จนหลายคนรู้สึกหวาดผวาเมื่อได้ยินคำว่า "ชงไท้ส่วย" หรือหลายๆ คนเข้าใจเอาเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการลงโทษทัณฑ์ เป็นปีศาจร้าย หรือเป็นอะไรก็ตามที่จะต้องเอาอกเอาใจกราบไหว้อ้อนวอน           "ไท้ส่วย" เป็นอีกชื่อหนึ่งของดาวพฤหัสบดีในภาษาจีนโบราณ ซึ่งรวมความถึงเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ทำหน้าที่คุ้มครองให้คุณให้โทษแก่ดวง ชะตาทุกดวงในผืนพิภพแห่งนี้ และในศาสตร์เรื่องของฮวงจุ้ย ไท้ส่วยก็มีอิทธิพลอีกไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งในการประกอบกิจการใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ตกแต่งบ้าน สร้างบ้านคนจีนมักจะพึงซินแสในการหาฤกษ์ยามอันเหมาะสมและจะต้องหลีกเลี่ยงมิ ให้กระทบกับทิศทางที่สถิตของไท้ส่วยในปีนั้นๆ หากไม่แล้วก็จะต้องถูกลงโทษทัณฑ์ ต้องปะสบกับเคราะห์หามยามร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้           อย่างที่กล่าวมาแล้ว "ไท้ส่วย" ก็คือดาวพฤหัสบดี ซึ่งในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นประธานแห่งดาวศุภเคราะห์ทั้งมวล เป็นดาวแห่งคุณธรรม ความดี โชคลาภ โภคทรัพย์ เป็นดาวแห่งคุรุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งแสดงความรู้ความสามารถ เป็นดาวแห่งตุลาการ ความยุติธรรม และการแผ่ขยายอันไม่มีที่สิ้นสุด ในทางโหราศาสตร์ไทย ท่านว่าหากมีดาวบาปเคราะห์ใดที่ร้ายๆ เช่น ดาวอังคาร ดาวราหู หรือร้ายหนักๆอย่างดาวเสาร์ซึ่งเป็นดาวประธานแห่งบาปเคราะห์จะให้โทษแก่ ลัคนาแล้ว แต่ในดวงเดิมหรือดวงจรมีดาวพฤหัสบดีโคจรมาทำมุมที่ดีต่อลัคน์แล้ว ท่านว่า สามารถคุ้มครองและสลายภัยร้ายในดวงชะตาได้ แต่ในทางกลับกันหากในดวงชะตามีดาวพฤหัสบดีจรมาและให้โทษแล้วละก็ ดาวศุภเคราะห์ดวงไหนๆ จะกี่สิบดาวก็ไม่สามารถคุ้มภัยหรือปกป้องได้เลย           คติความเชื่อของจีนเอง ความหมายของดาวพฤหัสบดีก็ไม่ต่างไปจากข้างต้น ฉะนั้นไท้ส่วยเองก็เช่นเดียวกันในสมัยโบราณระบบโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์คือสิ่งที่แยกกันไม่ออก โชคเคราะห์ของบุคคลมีเทพเจ้าประจำดวงดาวเป็นผู้กำหนด ลัทธิเต๋าเป็นลัทธิหนึ่งเดียวที่ผสานความเชื่อทางเทววิทยา เทพและปีศาจ การบันดาลโชคและเคราะห์ ความดีความชั่ว ดำและขาว โหราศาสตร์และดาราศาสตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน           ไท้ส่วย ทั้ง 60 องค์คือการผสมผสาน และการตกผลึกทางภูมิปัญญาของจีนในสมัยโบราณ รวมถึงคติความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมกระทั่งปรัชญาการปกครองไว้อย่างยอดเยี่ยม โดยการคำนวณตามหลักของโป๊ยหยี่ซี้เถียวมาจากการคำนวณหาราศีบนเทียงถัง 10 ตัว มาผสมกับราศีล่าง (ตี่กี่) หรือ 12 นักษัตร ซึ่งไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า "หลักจับก๊ะจื้อ" นำมากำหนดเป็นรอบปีหมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่ออธิบายการก่อกำเนิดและเชื่อมโยงของกันและกันของทุกสรรพสิ่งตามทฤษฎี แห่งเต๋า           ปีทั้ง 60 ปีนี้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีโดยการใช้บุคลาฐิษฐาน หรือการใช้บุคคลทั้ง 60 คนมาแทนจำนวนปีทั้ง 60 นั้นเรียกว่า "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่มาที่ไปของแต่ละองค์รวมถึงประวัติความเป็นมา ได้มาจากบุคคลที่มีเกียรติศักดิ์และฐานันดรต่างกัน ต่างเวลาต่างสถานที่กัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ต่างก็ได้เป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ และทำคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงให้แก่แผ่นดินมีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ได้รับการสดุษฎีกล่าวขวัญในเกียรติคุณความดีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับ พันปี อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง แม้ภายหลังเมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ยังได้รับการสถาปนาอวยยศให้เป็น "เซียน" หรือเทพเจ้าที่คุ้มครองบ้านเมืองในสมัยนั้น           วีรบุรุษและขุนพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณทั้ง 60 ท่านนั้นจะได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้าแห่งดาวพฤหัสบดีผู้ซึ่งคุ้มครองดวง ชะตา หรือ "ไท้ส่วยเอี๊ย" นั้น เมื่อใดไม่ปรากฏชัด แต่อารามในลัทธิเต๋าทุกอารามต่างก็มีรูปปั้นของท่านเหล่านั้นสถิตอยู่เนิ่น นานแล้ว มีการกราบไหว้บูชาขอพรกันสืบเนื่องมาเป็นประเพณีนับพันปี ซึ่งทุกท่านต่างก็ได้รับการสถาปนาเป็น "ไต่เจียงกุง" หรือ "จอมทัพ" ทำหน้าที่คุ้มครองดวงชะตาชาวประชาทั้งมวล           ในรอบ 60 ปีนี้ จะมีเทพเจ้าไท้ส่วยประจำอยู่ในแต่ละปี ซึ่งจะมีชื่อเรียกขานต่างๆกัน ทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองดวงปี หรือที่เรียกว่า "เฝ้าปี" อยู่ ซึ่งจะถือว่าแต่ละองค์จะมีอำนาจให้คุณดลบันดาลความสุข โชคเคราะห์ทุกข์ภัยหรือให้โทษแก่ผู้ใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีเคราะห์หรือดวงชะตาอ่อน ทำอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่นสมหวัง ท่านก็จะช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัยบังเกิดแต่ความเป็นสิริมงคลมาสู่ตัวท่านและ ครอบครัว           องค์ไท้ส่วย ปี 2555 "แผ่ไท่ไต่เจียงกุง" สำหรับปีมะโรง พ.ศ.2555นี้ องค์ไท้ส่วยที่ลงมาสถิตเฝ้าปีมีพระนามว่า "แผ่ไท่ไต่เจียงกุง" เป็นชาวเมืองฟ่งเสียง (ปัจจุบันคือ อำเภอฟ่งเสียง มณฑลซ่านซี) ในสมัยราชวงศ์หมิง (พศ.1911 – 2187) ท่านเป็นคนรูปงาม มีการศึกษาสูง ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ขยันหมั่นเพียร ประหยัดมัธยัสถ์ และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ราชการสูง ในการดำเนินชีวิตของท่านจะนำคติพจน์ที่มีมาแต่โบราณมาเป็นแนวทางในการดำเนิน ชีวิตและเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ในชีวิตคู่ขุนพลแผ่ไท่ก็ได้รับการยกย่องว่าครองเรือนผาสุกโดยตลอดลอดฝั่ง ด้วยความรักและเมตตา แม้ว่าท่านจะพบว่าเจ้าสาวของท่านเป็นหญิงอัปลักษณ์ จากการหมั้นหมายแบบคลุมถุงชนในสมัยโบราณ ท่านก็มิได้แสดงอาการรังเกียจเจ้าสาวของท่านแต่อย่างใด และยังยืนยันในการหมั้นหมาย จนได้แต่งงานอยู่กินกันอย่างผาสุก        เหตุที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพบูชากราบไหว้ เพราะมีความเชื่อว่าเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยจะบันดาลความสุขความทุกข์ให้เกิดแก่ ใครนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเมตตาของท่าน หากใครมีเกณฑ์ชะตาที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น หากใครมีดวงชะตาที่ไม่ดีทำอะไรก็มีปัญหาติดขัด ก็อธิฐานขอพรจากท่านให้ช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีผู้คนไปกราบไหว้บูชาขอพร ให้อยู่เย็นเป็นสุขมีดวงชะตาที่ดีตลอดทั้งปี ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนจึงมีประเพณีในการไหว้ฝากดวงเพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย โดยเฉพาะ "ท่านที่เกิดปีชงกับองค์ไท้ส่วย ปีทับไท้ส่วย ปีร่วมชงไท้ส่วย ปีเฮ้งไท้ส่วย ปีไห่ไท้ส่วย ปีผั่วไท้ส่วย" ซึ่งจากเกณฑ์ทั้ง 6 รูปแบบ ต่างก็มีอิทธิพลร้ายต่อดวงชะตาทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยง่าย จิตใจไม่เป็นสุข งานการหยุดชะงัก การลงทุนเสียหาย ทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้างถึงกระทั้งอาจมีคดีความ ผิดหวังในความรัก หรืออาจจะหนักขึ้นถึงขั้นเลือดตกยางออก กระทั่งถึงแก่ชีวิต และปีเกิดที่ผู้เขียนได้เขียนว่าเข้าเกณฑ์ทั้ง 6 รูปแบบ ผู้เขียนได้เน้นเขียนให้เฉพาะหลักปีเกิด (เนื่องจากเป็นไท้ส่วยของบุคคลส่งผลกับดวงชะตามากที่สุด)           ซึ่งหากจะให้ละเอียดจะต้องเอา วัน เดือน ปีเกิด และเวลาตกฟากมาคำนวณดวงชะตาตามแบบโหราศาสตร์จีน (โป๊ยหยี่ซี้เถียว) เพื่อจะได้คำนวณว่าในดวงชะตาของท่านในปีนี้จะเข้าเกณฑ์ในรูปแบบไหนเกี่ยวพัน กับเรื่องอะไร เพื่อจะได้ตั้งสติคอยระวังป้องกันตัวมิให้เรื่องร้ายต่างๆ เกิดขึ้นได้กับตัวท่านเองหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการผ่อนหนักเป็นเบา  โดยเมื่อท่านทราบว่าในปีนี้ดวงชะตาของท่านตกอยู่ในเกณฑ์ใดรูปแบบใดรูปแบบ หนึ่งใน 6 รูปแบบท่านสามารถเดินทางไปไหว้สะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตากับองค์ไท้ส่วยเอี๊ย ด้วยตนเองต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยได้ที่ วัดจีนใกล้บ้านคุณที่มี "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" ประดิษฐานอยู่            ท่านที่มีปีเกิดที่ชงกับปีนี้ และควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วย" คือ ท่านที่เกิดปี ดังต่อไปนี้           1.ปีจอ (สุนัข)ชง(ปะทะ)โดยตรงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีมะโรงโดยตรง           2.ปีมะโรง(มังกร) ทับไท้ส่วย และยัง "เฮ้ง(เบียดเบียน)" กับปีมะโรงเองด้วย           3.ปีฉลู(วัว) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยัง "ผั่ว(แตกแยก)" กับปีมะโรงด้วย           4.ปีมะแม(แพะ) ปีร่วมชงไท้ส่วย           5.ปีเถาะ "ไห่(ให้ร้าย)" กับปีมะโรง           และท่านที่ห้ามไปเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วมพิธีทั้งงานมงคล(แต่งงาน) และอัปมงคล(งานศพ รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) แต่ถ้าหากไม่สามารถเลี่ยงได้ก็ขอให้ละเว้นการไปดูศพเวลาฝังศพ (เผาศพ) หรือแม้แต่การส่งศพ และควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย พร้อมทั้งเตรียมน้ำใส่กิ่งทับทิมไว้ด้วยสำหรับล้างหน้าก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากไปร่วมงานกลับมาแล้ว เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆ จะปะทะให้เจ็บป่วยได้คือ ท่านที่เกิดในปีนักษัตร ในรอบปีต่อไปนี้           1.ปีจอ ท่านที่เกิด ปี 2489 (อายุ 66 ปี) ปี 2513(อายุ 42 ปี) ปี2549 (อายุ 6 ปี)           2.ปีมะโรง ท่านที่เกิด ปี 2471 (อายุ 84 ปี) ปี 2531(อายุ 24 ปี)           3.ปีมะแม ท่านที่เกิด ปี 2462 (อายุ 93 ปี) ปี 2522 (อายุ 33 ปี)           4.ปีฉลู ท่านที่เกิด ปี 2480 (อายุ 75 ปี) ปี 2504(อายุ 51 ปี) ปี2540 (อายุ 15 ปี)           เพราะทั้ง 10 ปีนี้เป็น "ไท้ส่วยเฮี้ยบจี่จู้" แปลว่า "ไท้ส่วยตรงเจ้าพิธี" นอกจากจะนำพาสิ่งอัปมงคลทั้งหลายมาให้แล้ว ยังถือเป็น การหมิ่น และลบหลู่ต่อองค์ไท้ส่วยอีกด้วย           ถ้าหากท่านมีความจำเป็นต้องไปร่วมงานอัปมงคลต่าง ๆ (รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) วันที่ท่านควรหลีกเลี่ยงการไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวในปี 2555 มี 36 วัน ดังนี้           10 มค. 19 มค. 22 มค. 11 กพ. 23 กพ. 24 กพ.           10 มีค. 19 มีค. 22 มีค. 11 เมย. 23 เมย.           24 เมย. 9 พค. 18 พค. 21 พค. 10 มิย. 22 มิย. 23 มิย.           8 กค. 17 กค. 20 กค. 9 สค. 21 สค. 22 สค.           6 กย. 15 กย. 18 กย. 8 ตค. 20 ตค. 21 ตค.           5 พย. 14 พย. 17 พย.  7 ธค. 19 ธค. 20 ธค.           (หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความเป็นมงคลแก่ตัวท่าน)           โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2555 นี้ บ้านที่หน้าบ้าน หรือโต๊ะทำงาน หรือหัวเตียงหันไปทาง ทิศใต้(ทิศอัปมงคล) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "น้ำเต้าดูดทรัพย์" หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ(ทิศอัปมงคล ดาว7) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "พยัคฆ์คำราม เสริมโชคลาภบารมี" หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศอัปมงคล ดาว5) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "สิงโตมีปีก คุ้มภัย พิทักษ์ทรัพย์" และทิศเหนือ(ทิศอัปมงคล ดาว2) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "หอยสังข์ หยวนเปา ดอกบัว เสริมส่งโชคลาภ" เพื่อเป็นการแก้ไขทิศทางฮวงจุ้ยที่ไม่ดีให้ดีขึ้น ช่วยคุ้มครองปัดเป่าความทุกข์ บันดาลความสุขมาสู่ตัวท่าน และครอบครัวไปตลอดทั้งปี           วิธีบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 9 ดอก ไหว้พระประธานในวัดก่อน (ปักธูปกระถางละ 3 ดอก) จากนั้นจึงไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 3 ดอกวิงวอนขอพรท่าน ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตรายต่าง ๆ ที่ท่านอาจประสบพบเจอในปีนี้ จากหนักให้กลายเป็นเบา จากเบาก็ให้มลายสูญสิ้นไป           เครื่องบูชาเทพเจ้าไท้ส่วย มีดังนี้ (ถ้าไปทำพิธีที่วัดจีนใกล้บ้านคุณที่มี "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" ประดิษฐานอยู่ ทางวัดมักมีจัดบริการไว้ให้แล้วเป็นชุด : ให้เข้าไปซื้อในวัดถึงจะเป็นของวัดแท้จริง)           1. ธูป 3 ดอก ต่อ 1 ท่าน           2. เทียนแดง 1 คู่           3. หงิ่งเตี๋ย 12 คู่                                        4. ตั่วกิม 12 แผ่น (กระดาษทอง)           5. ทุกหลั่งจี๊ 12 แผ่น                                6. เป๋าอุ่งจี๊ 12 แผ่น           7. เผ่งอังจี๊ 12 แผ่น                                  8. กระดาษแดง (อั่งเถียบ) 1 แผ่น           9. ขนมจันอับ (จับกิ้มทึ้ง) 1 จาน อันประกอบด้วย....                     - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีขาว - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีชมพู - ฟักเชื่อม - ถั่วตัด - ข้าวพอง           10. ส้ม 4 ผล 1 จาน                     1. นำกระดาษแดงที่เขียน ชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด (และเวลาตกฟาก) วางลงบนกระดาษไหว้ ใช้หนังสติ๊ก หรือเชือกแดงมัดไว้                     2. จัดส้ม 4 ผล และขนมจันอับใส่จานจัดวางต่อหน้าองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย                     3. จุดเทียนแดงปักไว้ข้างๆ กระถาง จากนั้นจุดธูป 3 ดอก อธิษฐาน..... คำอธิษฐานขอพรไหว้เทพเจ้าไท้ส่วย           วันนี้ตรงกับวันที่...เดือน.....พ.ศ. ... ข้าพเจ้าชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่... ขออัญเชิญเทพเจ้า "แผ่ไท่ไต่เจียงกุง" โปรดเสด็จมารับเครื่องสักการบูชาทั้งหลาย เมื่อรับแล้วโปรดประทานพรให้ข้าพเจ้าและครอบครัวประสบแต่สรรพสิริมงคล มีความสุขความเจริญก้าวหน้าอุดมด้วยโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย สิ่งอัปมงคลทั้งหลายอย่าได้แผ้วพาน ขอให้สมความปรารถนาด้วยมงคลทั้งปวงเทอญ        4. ถ้าเป็นของตนเองให้หยิบชุดสะเดาะเคราะห์ที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 ปัดตั้งแต่ศรีษะลงมาจนสุดแขน 12 ครั้ง (หมายเหตุ ถ้าท่านไปไหว้แทนบุคคลอื่น ก็ไม้ต้องทำพิธีปัดตัว แต่ให้กระทำโดยปัดเสื้อของบุคคลนั้นแทน) ขณะปัดตัวให้กล่าวว่า "บังเกิดแต่สิ่งรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งอัปมงคลให้ปัดเป่าหายไป"       5. นำชุดสะเดาะเคราห์วางลงในกล่องรับฝากที่ทางวัดจัดไว้ให้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของเซ่นไหว้ต่าง ๆ ถวายให้วัดไม่ต้องนำกลับบ้าน (ของไหว้ที่รับประทานได้ ไม่ต้องเก็บกลับบ้านให้วางไว้ที่วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล) หมายเหตุ ท่านสามารถไปทำพิธีได้ทุกวันที่ท่านสะดวก (ควรเป็นช่วงเวลาเช้า ๆ ก่อนเที่ยง) และ            -ผู้หญิงขณะมีประจำเดือนไม่ควรทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้งดเว้นไปก่อน            -เจ้าชะตาปีมะโรง และเจ้าชะตาปีจอ ขณะนำชุดกระดาษไหว้มาปัดตัว ต้องให้ผู้มีอาวุโสกว่าเราปัดให้เท่านั้น           ช่วงปีใหม่ และตรุษจีน ปี2555 ควรหาโอกาสไปไหว้เทพเจ้าต่างๆ ตามแต่ที่จะเสริมปีนักษัตรตนเอง ตามศาลเจ้าหรือวัดจีนต่างๆ หรือทำบุญ 9 วัดตามความสามารถและความสะดวกที่จะสามารถทำได้ และหาวัตถุมงคลหรือเครื่องรางที่เป็นสิริมงคลมาเสริมดวงชะตาโดยตั้งไว้ที่ บ้าน(ที่ทำงาน) หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) เพื่อเป็นการแก้ชง ปรับดวงชง หรือเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนักษัตรที่ชงทั้ง 5 ปี 1.ปีจอ(หมา) (ชง : ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีมะโรงโดยตรง              เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์ร้ายที่สุดในบรรดา "ฆาตดวงชะตา" ทั้งหลาย เป็นเกณฑ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงครั้งใหญ่ในชีวิต รวมทั้งในเรือนชะตาของท่านยังมีกลุ่มดาวอัปมงคลโคจรเข้ามาก่อกวนสร้างความ เสียหาย โดยเฉพาะดาวร้าย "ซุ่ยภ่อ" ที่จะทำให้เกิดเคราะห์ภัยบาดเจ็บได้ กับดาวเสียทรัพย์ "ต้าห้าว" ที่จะสร้างปัญหารุมเร้าจนทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์ เงินทองรั่วไหล จึงต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยง รวมทั้งต้องละเว้นการพนันเสี่ยงโชคอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีดาวลูกกรง "หลันกัน" และดาวหางเสือดาว "เป้าเหวย" เข้ามาคุกคามเพ่งเล็ง จึงต้องพยายามอยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าไปยุแหย่ท้าทายมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นหรือกระตุ้นให้เกิด ปัญหาใดๆ และต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้อยู่ในทำนองคลองธรรม อย่าริอาจทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะนำพาความเดือนร้อนมาสู่ตนเองอย่างไม่รู้จักจบสิ้น วัตถุปีหมานำโชค 2012 จี้ปีหมานำโชค 2012             ฉะนั้นจึงควรหาทางป้องกันแก้ไข ขจัดภัย สลายเคราะห์ ปรับเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี โดยการจัดตั้ง "วัตถุปีหมานำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีหมานำโชค 2012" เพื่อปกป้องคุ้มครองให้ชาวปีจอแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภสดใส มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี           โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีจอในปี 55 นี้จะประกอบไปด้วย สุนัขเทพ ซึ่งมีความสง่างามของรูปร่างหน้าตา และขนที่หัวคล้ายสิงโตยืนเชิดอกอย่างองอาจกล้าหาญ กำลังจ้องมองไปข้างหน้าทำให้เหล่าภูตผีปีศาจร้าย และสิ่งอัปมงคลต่างๆ เกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนขาคู่หน้ายืนเหยีบกลองศึกสลักหัวเสือที่ดุร้ายไว้ และด้านข้างของกลองทั้งสองข้างยังสลัก ยันต์ 8 ทิศพร้อมสัญลักษณ์ หยิน-หยางไว้ เพื่อป้องกันภัย และข่มขวัญเหล่าปีศาจสิ่งอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา นอกจากนี้ยังมี กระต่าย(นักษัตรคู่สมพงศ์) คู่หนึ่งถือถุงทองอยู่ด้านหน้าเพื่อคอยกระตุ้นเปิดรับโชคลาภ เสริมส่งความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับเจ้าชะตาชาวปีจออีกด้วย หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลยได้ดังนี้ ปีขาล (เสือ) เสริมดวงเรื่องการงาน ปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องความสุข           "พระยูไล" องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2555"จี้พระยูไล" จี้องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และควรไปกราบสักการะองค์เทพ "พระยูไล" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "พระยูไล" หรือ "จี้พระยูไล" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ) 2. ปีมะโรง(มังกร) ทับไท้ส่วย และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีมะโรงเองด้วย เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์เรื่องคดีความ บางสิ่งที่ทำแล้วคิดว่าดีแต่กลับเป็นผลร้าย           ในปีนี้ทั้งปีห้ามเป็นนายประกันให้ใคร นอกจากต้องรอบคอบเรื่องกฎหมายคดีความแล้ว การเข้าใจผิดระหว่างพี่น้องเพื่อนฝูงก็มีโอกาสกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตต้อง ระวังให้มากด้วยเช่นกัน รวมทั้งในเรือนชะตาของท่านมีดาวอัปมงคลหลายดวงเพ่งเล็งอยู่ โดยเฉพาะดาวกระบี่คม "เจี้ยนฟง" คอยจ้องทำร้ายให้บาดเจ็บเลือดตกยางออก การงานการค้าไม่เจริญก้าวหน้า และต้องระวังอุบัติเหตุเคราะห์ภัยต่างๆ ให้ดี ฉะนั้นท่านจะต้องเตรียมการให้พร้อมแต่เนิ่นๆ ควรเฟ้นหามาตรการต่างๆ หรือเสาะหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ เพื่อเป็นที่ปรึกษาในยามที่เกิดปัญหารุมเร้าเข้ามา ซึ่งคนเหล่านั้นอาจจะช่วยท่านขจัดอุปสรรคและแก้ปัญหาต่างๆได้ ไม่ควรปล่อยปละละเลยปัญหาเอาไว้ เพราะมันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทำให้แก้ไขได้ยากลำบาก สิ่งสำคัญท่านต้องใช้สติปัญญาในการคิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆให้ละเอียดถี่ถ้วน พร้อมทั้งมีความอดทนมุมานะอุตสาหะในการทำงาน อย่าละทิ้งไปกลางคัน ก็จะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ (อ่านดวงปีมะโรง 2555 คลิ๊กที่นี่!)    วัตถุปีงูใหญ่นำโชค 2012จี้ปีงูใหญ่นำโชค 2012            ฉะนั้นจงอย่าประมาท หากคิดป้องกันแก้ไขกลับร้ายให้เป็นดี จึงควรจัดตั้ง "วัตถุปีงูใหญ่นำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีงูใหญ่นำโชค 2012" เพื่อสลายพลังร้าย ขจัดต้านภัย เสริมส่งให้การงานการค้ารุ่งเรือง โชคลาภเงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเภทภัย อยู่เย็นเป็นสุข โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีมะโรงในปี 55 นี้จะประกอบไปด้วยนักษัตร 4 ปีรวมตัวกันอยู่ในท่วงท่าเตรียมพร้อม เพื่อจะคอยปกป้องคุ้มครองและเสริมส่งให้เจ้าชะตามะโรงมีความสุขความเจริญ รุ่งเรือง           โดยมีมังกรเทพ ตัวแทนของเจ้าชะตาปีมะโรงหมอบอยู่อย่างสงบสบายท่ามกลางเงินทองจำนวนมากมาย ทางขวามีมิตรแท้อย่างเจ้าหนูที่คอยดักช่วยแก้ไขพลิกสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ กลับกลายเป็นดี พร้อมทั้งอุ้มน้ำเต้าวิเศษมาช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ และดูดซับกักขังสิ่งอัปมงคลพลังร้ายที่จะกล้ำกรายเข้ามาคุกคามอีกด้วย ส่วนด้านซ้ายก็มีสหายลิงที่มีปัญญาเลิศล้ำมาช่วยให้มีชัยต่ออุปสรรคทั้งหลาย ทั้งปวง พร้อมทั้งช่วยให้หลบหลีกเคราะห์ภัยต่างๆ และยังอุ้มลูกท้อมาช่วยเสริมส่งให้เจ้าชะตาปีมะโรงมีสุขภาพแข็งแรงปราศจาก โรคภัยและมีอายุยืนยาว นอกจากนี้ยังมีไก่ชนที่เก่งกล้าแข็งแรงอยู่ด้านบน เตรียมพร้อมที่จะจิกทำลายศัตรูที่แผ้วพานเข้ามา เพื่อป้องกันไม่ให้เข้ามาทำร้าย อีกทั้งยังมีก้อนทองคำอยู่บนหลังไก่ ซึ่งสื่อความหมายถึงนอกจากจะเฝ้าระวังคุ้มครองแล้ว ยังนำพาโชคลาภเงินทองมาให้กับเจ้าชะตาปีมะโรงอีกด้วย หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีมะโรงเฉพาะเรื่อง ดังนี้ ปีมะโรง, ปีมะเส็ง เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีชวด (หนู) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีวอก (ลิง) เสริมดวงเรื่องความรู้ซึ่งกันและกัน ปีระกา (ไก่) เสริมดวงเรื่องการเงิน           "องค์ลื่อต่งปิง" องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2555 "จี้องค์ลื่อต่งปิง" จี้องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2555  และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และควรไปกราบสักการะองค์เทพ "องค์ลื่อตงปิง" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "องค์ลื่อตงปิง" หรือ "จี้องค์ลื่อตงปิง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ) 3.ปีฉลู(วัว) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีมะโรงด้วย           ในเรือนชะตาของคนปีฉลูในปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดี เนื่องจากมีดาวมงคลหลายดวงเปล่งประกายสดใสอยู่ในเรือนชะตา โดยเฉพาะดาวมงคลแห่งความร่ำรวย "ฟู่ซิง" กับดาวคุณธรรมแห่งสวรรค์ "เทียนเต๋อ" และดาวอานม้า "ปั่นอาน" ส่งผลให้โชคชะตาในปีนี้สดใสกว่าปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งมีความเจริญรุ่งเรือง มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนคอยช่วยเหลือชี้แนะให้ประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านการงาน หรือการค้าล้วนราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนาม แต่เนื่องจากในความโชคดีนั้นก็ยังมีเคราะห์ภัยซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ อันเนื่องจากการแทรกแซงคุกคามของดาวร้ายที่โคจรเข้ามา โดยเฉพาะดาวภัยเพราะปากที่ชื่อม้วนลิ้น "เจวี่ยนเสอ" กับดาวทุกข์ลาภ "พี๋ม๋า" และดาวหม้าย "กว่าซู่" รวมทั้งดาวสระน้ำเค็ม "เสียนฉือ" จึงต้องระมัดระวังคำพูดคำจาที่อาจไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของผู้อื่น โดยพลั้งเผลอไม่ได้ยั้งคิด ส่งผลให้คนที่อยู่ใกล้ไม่สบอารมณ์เกิดความเกลียดชังท่านจนเป็นเหตุทำให้เสีย การเสียงาน (ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ "ผั่ว(แตกแยก)" ประจำปีด้วย) ทำให้บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ดีเสียหายได้           นอกจากนี้ต้องระวังดูแลสุขภาพของตนเองและผู้อาวุโสในครอบครัวให้ดีเป็นพิเศษ อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด อีกทั้งต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี อย่าทำสิ่งไม่ถูกต้องพึงระมัดระวังการคบหาสมาคมกับผู้อื่น และไม่ควรเที่ยวกลางคืนดื่มสุราเคล้านารี เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ดวงชะตาที่ดีของท่านกลับกลายเป็นตรงกันข้ามได้ วัตถุปีวัวนำโชค 2012จี้ปีวัวนำโชค 2012           ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้ง "วัตถุปีวัวนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีวัวนำโชค 2012" เพื่อสลายพลังร้าย ขจัดเคราะห์ภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเภทภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีฉลูในปี 55 นี้จะประกอบไปด้วย วัวกระทิงเทพ ที่มีทั้งความสง่างาม ดุดันและแข็งแกร่งสื่อถึงสุขภาพที่แข็งแรงมีความบึกบึนแข็งแกร่งที่กำลัง พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อไขว้คว้าโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยในปีนี้ นอกจากนี้ที่ปากกระทิงยังคาบเหรียญทองมามากมาย อีกทั้งยังมีโอ่งบรรจุก้อนทองคำจนล้นเหลือ ส่วนด้างล่างก็มีนักษัตรคู่สมพงศ์ได้แก่ ปีชวดคือหนูสองตัวที่คอยกระตุ้นเปิดรับโชคลาภด้วยการขะมักเขม้นช่วยกันขน สมบัติทองคำ เพื่อให้เพื่อนฉลูที่ในปีนี้โชคค่อนข้างสดใสมีความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งร่ำ รวยยิ่งขึ้นตลอดปี หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีฉลูเฉพาะเรื่อง ดังนี้ ปีชวด (หนู) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะเส็ง (งูเล็ก) เสริมดวงเรื่องการงาน ปีระกา (ไก่) เสริมดวงเรื่องความสุข             "องค์ซักบ่อเซียน" องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2555"จี้องค์ซักบ่อเซียน" จี้องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ  "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และควรไปกราบสักการะองค์เทพ "องค์ซักบ่อเซียน" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "องค์ซักบ่อเซียน" หรือ "จี้องค์ซักบ่อเซียน" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ) 4.ปีมะแม(แพะ) ปีร่วมชงไท้ส่วย ท่านที่เกิดปีมะแมปีนี้มีดาวมงคลดาวพระจันทร์ "ไท่อิน" และดาวสวรรค์ยินดี "เทียนสี่" โคจรเข้ามา           เสริมส่งสร้างบรรยากาศในเรื่องความรักความสัมพันธ์ของท่านกับผู้อื่นให้มี ความสดชื่นก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ จนประสบความสำเร็จได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีดาวอัปมงคลแทรกแซงเข้ามาคุกคามสร้างปัญหา โดยเฉพาะดาวร้ายชื่อมอดม้วยมลาย "ฉูเป้า" และดาวเกี่ยวให้สะดุด "โกวเจียว" ปรากฏขึ้นจึงต้องระวังเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ดูแลสุขภาพและอาหารการกินให้ถูกสุขลักษณะรวมทั้งความปลอดภัยต่างๆ ในการดำเนินชีวิตประจำให้ดี นอกจากนี้ยังมีดาวกับดักมรณะ "กวงโซ่" มาซ้ำเติมทำให้หน้าที่การงานธุรกิจการค้าติดขัดเสียหาย การงานไม่ก้าวหน้ายอดขายตกต่ำ และต้องระวังกับดักหลุมพรางของคู่แข่งปรปักษ์ให้ดี มิเช่นนั้นอาจล้มลุกคลุกคลานพ่ายแพ้จนหมดรูปได้ วัตถุปีแพะนำโชค 2012จี้ปีแพะนำโชค 2012           ฉะนั้นเพื่อเป็นความไม่ประมาท จึงควรจัดตั้ง "วัตถุปีแพะนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีแพะนำโชค 2012" เพื่อขจัดพลังร้ายของดาวอัปมงคลให้หมดสิ้นไปพร้อมทั้งเสริมส่งให้การงานการ ค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นโชคลาภให้สดใส เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัยตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีมะแมในปี 55 นี้จะประกอบไปด้วย ม้าเทพคู่ (ซึ่งเป็นนักษัตรที่ถูกโฉลกสมพงศ์กับเจ้าชะตาปีมะแมมากที่สุด) ซึ่งมีลักษณะพิเศษเป็นม้าที่ปราดเปรียวแข็งแรงกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า อย่างมั่นอกมั่นใจที่จะเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่างๆ ให้จงได้ จึงหมายถึงความเจริญก้าวหน้ามีชัยอย่างก้าวกระโดด และมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จมีชัยชนะ นอกจากนี้ระหว่างทางที่ก้าวกระโดดไปนั้นยังนำพาถุงทองที่บรรจุทรัพย์สมบัติ ล้ำค่ามากมายกลับมาด้วย ยิ่งกว่านั้นยังมี พระจันทร์ดาวมงคลประจำปีของเจ้าชะตาปีมะแม คอยส่องแสงนำทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางจนประสบความสำเร็จด้วยความปลอดภัยอีก ด้วย หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีมะแมเฉพาะเรื่อง ดังนี้ ปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องความร่ำรวย ปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องการเงิน           "พระไภษัชยคุรุ" องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2555"จี้พระไภษัชยคุรุ" จี้องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และควรไปกราบสักการะองค์เทพ "พระไภษัชยคุรุ" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "พระไภษัชยคุรุ" หรือ "จี้พระไภษัชยคุรุ" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ) 5.ปีเถาะ(กระต่าย) "ไห่(ให้ร้าย)" กับปีมะโรง ในปีนี้ดวงชะตาของท่านยังตกอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สู้ดีนัก           เนื่องจากถูกครอบงำจากดาวอัปมงคลหลายดวงที่โคจรเข้าสู่เรือนชะตา โดยเฉพาะดาวป่วยไข้ "ปิ้งฝู" และดาวหกร้าย "ลิ่วห้าย" จึงต้องระวังเรื่องสุขภาพและการเจ็บป่วย รวมทั้งเรื่องธุรกิจการค้าต้องใส่ใจเป็นพิเศษ (ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ "ไห่(ให้ร้าย)" ประจำปีด้วย) ฉะนั้นปีนี้ยังคงต้องระมัดระวังให้มาก ด้านหน้าที่การงานจะมีอุปสรรคปัญหาถาโถมเข้ามา แต่ก็ควรพยายามดำเนินการแก้ไขด้วยความสุขุมรอบคอบจึงจะสามารถทำให้เหตุการณ์ ต่างๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้ ท่านต้องอดทนต่อความเหนื่อยยาก อีกทั้งต้องทุ่มเทสติปัญญา ในการฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ให้ผ่านพ้นไป ต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ จึงจะสามารถพลิกสถานการณ์ กลับร้ายให้กลายเป็นดี นอกจากนี้สุขภาพของท่านในปีนี้ก็ไม่สู้ดีนัก ท่านควรเอาใจใส่ดูแลตนเองให้ดี อย่าปล่อยให้ตนเองเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ จนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อีกทั้งยังต้องระวังหลุมพรางที่มีผู้ไม่หวังดีขุดดักรอท่านเอาไว้ จงอย่าได้ผลีผลามไปติดกับ จนทำให้ท่านต้องเสียการงาน และอนาคต แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่มีดาวมงคลหอหยก "ยู่ถาง" โคจรเข้ามาช่วยเหลือเสริมส่งผ่อนหนักให้เป็นเบา วัตถุปีกระต่ายนำโชค 2012จี้ปีกระต่ายนำโชค 2012           ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ จึงควรจัดตั้ง "วัตถุปีกระต่ายนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีกระต่ายนำโชค 2012" เพื่อเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองหลั่งไหลเข้ามา มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีเถาะในปี 55 นี้จะประกอบไปด้วย หมูป่าเทพ ที่แข็งแรงสง่างามกำลังอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพื่อปกป้องคุ้มครองให้กับ เจ้ากระต่าย (ซึ่งเป็นนักษัตรที่มีความปราดเปรียวเฉลียวฉลาดและถูกโฉลกกับหมู่ป่าซึ่ง เป็นตัวแทนของนักษัตรปีกุนที่สมพงศ์กัน) ที่นั่งอยู่บนหลังซึ่งแบกตะกร้าสมบัติมาอย่างล้มหลาม และที่มือยังคว้าเอาเห็ดหลินจือซึ่งเป็นยาสมุนไพรอายุวัฒนะมาช่วยเสริมส่ง ให้มีสุขภาพแข็งแรงอีกด้วยส่วนด้านล่างข้างตัวหมูป่าก็มีทั้งถั่วลิสง ดอกไม้มงคลและเหรียญกับก้อนทองโปรยปรายอยู่ซึ่งสื่อความหมายรวมกันถึง การมีทายาทลูกหลานสืบทอด มีโชคลาภมั่งคั่งร่ำรวยเงินทอง หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีเถาะเฉพาะเรื่อง ดังนี้ ปีมะแม (แพะ) เสริมดวงเรื่องความสุข ปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีจอ (สุนัข) เสริมดวงเรื่องความคิด           "พระกษิติครรภ์" องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2555"จี้พระกษิติครรภ์" จี้องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2555  และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และควรไปกราบสักการะองค์เทพ "พระกษิติครรภ์" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "พระกษิติครรภ์" หรือ "จี้พระกษิติครรภ์" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ) 6.ปีชวด(หนู) ในปีนี้มีดาวนายพล "เจียงซิง" โคจรเข้ามาอยู่ในเรือนชะตา           จะช่วยเสริมส่งเรื่องอำนาจบารมี หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้าให้เจริญรุ่งเรือง แต่น่าเสียดายที่มีดาวอัปมงคลเบียดบังเข้ามาทำให้ด่างพร้อย โดยเฉพาะดาวผมสยาย "พีโถว" และดาวเสือขาว "ไป๋หู่" ที่สร้างความเสียหาย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ ต้องดูแลเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังต้องระวังอันตราย อาจถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว วัตถุปีหนูนำโชค 2012จี้ปีหนูนำโชค 2012           ฉะนั้นจงอย่าประมาทชะล่าใจ ควรหาวิธีเสริมส่งดาวดีนายพล "เจียงซิง" ให้มีอานุภาพแก่กล้ายิ่งขึ้น เพื่อขจัดพลังร้ายของดาวอัปมงคลให้สูญสลายหมดสิ้นไป โดยการจัดตั้ง "วัตถุปีหนูนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีหนูนำโชค 2012" เพื่อสลายพลังร้าย ขจัดเคราะห์ภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรืองโชคลาภเงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเภทภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีชวดในปี 55 นี้ประกอบไปด้วย หัวช้างคู่พร้อมงา ที่สง่างามสื่อถึงอำนาจบารมี เปี่ยมด้วยโชคลาภวาสนาตั้งตระหง่านอยู่บนหลังค้างคาวโชคลาภที่จะนำโชคลาภมา สู่เจ้าชะตาชาวปีชวดทั้งหลายในปีนี้ นอกจากนี้เหนือขึ้นไปบนหัวช้างยังมีก้อนทองก้อนใหญ่ปรากฏอยู่ ซึ่งสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งร่ำรวย อีกทั้งยังมีอักษรมงคล "สวัสติกะ" และหัวหนูเจ้าชะตาปีชวดอยู่ด้วย           ฉะนั้นเมื่อสิ่งมงคลทั้งหลายเหล่านี้มา ประสานรวมกันเป็นวัตถุมงคลที่วิเศษมีพลังอานุภาพที่สูงส่ง ก็สามารถที่จะช่วยขจัดเคราะห์ภัยอันตรายต่างๆ ให้สูญสลายไปได้ พร้อมทั้งเสริมส่งกระตุ้นให้เกิดโชคลาภ มีความสดใสเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีฉลู (วัว) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะโรง (งูใหญ่) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีวอก (ลิง) เสริมดวงเรื่องความสุข           "พระสมันตภัทร" องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2555"จี้พระสมันตภัทร" จี้องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "พระสมันตภัทร" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "พระสมันตภัทร" หรือ "จี้พระสมันตภัทร" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 7.ปีขาล(เสือ) ปีนี้ดวงชะตาของท่านยังไม่ค่อยสดใส เนื่องจากมีดาวอัปมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาคุกคามรังควาน           โดยเฉพาะมีดาวหมาสวรรค์ "เทียนโก่ว" ดาวแห่งการสูญเสีย "เตี๊ยวเคอะ" และดาวสวรรค์ร้องไห้ "เทียนคู" ซึ่งส่งผลทำให้มีคู่แข่งทางการค้าถูกอิจฉาริษยา มีปรปักษ์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ธุรกิจการงานประสบอุปสรรคปัญหา จึงต้องต่อสู้ด้วยความขยันและอดทน ทำสิ่งใดต้องระมัดระวังให้รอบคอบอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด นอกจากนี้พึงใส่ใจระวังเรื่องสุขภาพ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวท่านและสมาชิก ในครอบครับ โดยเฉพาะสุขภาพความเป็นอยู่ของผู้อาวุโสต้องระวังดูแลเป็นพิเศษ หากเจ็บไข้ได้ป่วยต้องรีบพาไปหาหมอเพื่อทำการรักษาโดยเร็ว อย่าปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด            ด้านหน้าที่การงาน และธุรกิจการค้าปีนี้มักมีอุปสรรคและย่ำอยู่กับที่ไม่เจริญก้าวหน้า จึงต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียรกระตือรือร้นให้มากขึ้น เสาะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ หรือเดินทางติดต่อทำธุรกิจการค้าในที่ต่างๆ ให้กว้างไกลขึ้นจึงจะประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากในเกณฑ์ชะตามีดาวมงคลม้าเดินทาง "อี้หม่า" คอยส่งเสริมช่วยเหลืออยู่ (อ่านดวงปีขาล 2555 คลิ๊กที่นี่!) วัตถุปีเสือนำโชค 2012จี้ปีเสือนำโชค 2012           ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท จึงควรจัดตั้ง "วัตถุปีเสือนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีเสือนำโชค 2012" เพื่อขจัดเคราะห์ภัย พร้อมทั้งเสริมส่งให้สุขภาพแข็งแรง การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีขาลในปี 55 นี้ประกอบไปด้วย "อูฐสวรรค์" เมื่อยามเดินทางไกลจะมีความเข้มแข็งอดทนอย่างมาก สามารถเดินทางในที่ธุระกันดารได้อย่างยาวนาน โดยดื่มน้ำเพียงครั้งเดียวก็สามารถอยู่ได้นานถึงหกวัน อีกทั้งยังมีสัญชาตญาณในเรื่องทิศทางดี จึงสามารนำพาเจ้าชะตาปีขาลให้เดินทางกลับบ้านด้วยความสวัสดีภาพ และยังถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ในการเสริมส่งการงานให้รุ่งเรืองเจริญก้าวหน้า มีโชคลาภสดใสอีกด้วย           ส่วน "แรดเทพ" เป็นสัตว์ใหญ่ลำดับสองรองจากช้าง มีความน่าเกรงขาม และประสาทรับกลิ่นกับประสาทหูที่ดีเยี่ยม จึงสามารถรู้ล่วงหน้าถึงภัยอันตรายต่างๆ ที่จะกล้ำกรายเข้ามา ฉะนั้นแรดจึงถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ในการป้องกันเคราะห์ภัยต่างๆ รวมถึงโจรขโมย และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ไม่หวังดีอีกด้วย ฉะนั้นเมื่อนำเอา "อูฐสวรรค์และแรดเทพ" มารวมอยู่ในวัตถุเสริมความมงคลเดียวกัน จึงมีอานุภาพสูงส่งในการคุ้มครองให้เจ้าชะตาปีขาลแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งโชคลาภ ยศถาบรรดาศักดิ์ หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้าให้เจริญก้าวหน้าตลอดปี หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีจอ (สุนัข) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องความร่ำรวย           "เจ้าแม่กวนอิม" องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2555"จี้เจ้าแม่กวนอิม" จี้องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "เจ้าแม่กวนอิม" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "เจ้าแม่กวนอิม" หรือ "จี้เจ้าแม่กวนอิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 8.ปีมะเส็ง(งูเล็ก) ท่านที่เกิดปีมะเส็งในปีนี้จะบังเกิดแต่สิ่งมงคลเข้ามามากมาย           แม้ว่าจะพบอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็สามารถคลี่คลายปรับเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ และจะผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ด้วยดี ในปีนี้หากท่านมีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นในการทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โอกาสจะประสบความสำเร็จสมดังใจปรารถนานั้นก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม ท่านจะมีผลงานที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน เนื่องจากปีนี้มีดาวมงคลพระอาทิตย์ "ไท้หยาง" โคจรเข้ามาเปล่งรัศมีเรืองรองอยู่ในเรือนชะตาของท่าน โชคชะตาจึงรุ่งโรจน์สดใส นอกจากนี้ยังมีดาวสวรรค์ยินดี "เทียนสี่" เข้ามาเสริมส่งในเรื่องความรักความสัมพันธ์อันดีกับเพศตรงข้าม ฉะนั้นปีนี้ท่านจึงค่อนข้างมีเสน่ห์ตรึงใจเพศตรงข้าม           แต่ในขณะเดียวกันก็มีดาวอัปมงคลสุรุ่ยสุร่าย "เทียนคง" โคจรเข้าฉุดรั้งดวงการเงินของท่าน จึงส่งผลให้เงินทองรั่วไหล เกิดการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง เงินทองไหลเข้ามาแล้วก็ไหลออกไปอย่างรวดเร็ว จึงต้องควบคุมดูแลการเงินให้ดี อีกทั้งยังมีดาวปล้นสะดม "เจี๋ยซา" เข้ามาคุกคามจึงต้องระมัดระวังอย่าเดินทางไปในที่เปลี่ยวโดยลำพัง เพราะอาจถูกปล้นชิงวิ่งราวและทำร้ายได้ นอกจากนี้ก่อนเข้านอนหรือออกจากบ้านควรปิดประตูใส่กลอนให้แน่นหนา เพื่อป้องกันโจรขโมยขึ้นบ้าน วัตถุปีงูเล็กนำโชค 2012จี้ปีงูเล็กนำโชค 2012           ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไขควรจัดตั้ง "วัตถุปีงูเล็กนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีงูเล็กนำโชค 2012" ที่มีอานุภาพในการเสริมส่งความรัก และหน้าที่การงานการค้าให้เจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภ ขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัย ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีมะเส็งในปี 55 นี้ประกอบด้วย "หงส์คู่" ซึ่ง หงส์ เป็นสัตว์สิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์ มีรูปร่างสวยงาม สะโอดสะองมีบุคลิกที่สุภาพอ่อนหวาน สามารถหยั่งรู้ความทุกข์สุขของมนุษย์ได้ นอกจากนี้ในด้านโหราศาสตร์จีน หงส์ ยังถูกจัดเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องดูแลรักษาทิศใต้ เพื่อให้โลกมนุษย์มีความสงบสุข           นอกจากนี้ยังสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าถึงความเป็นไปในโลกมนุษย์ ชาวจีนยังถือว่า หงส์ เป็นสัญลักษณ์แห่งพระอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่โลกมนุษย์และเป็นเครื่อง หมายแห่งคุณความดีอีกด้วย หงส์ ยังเป็นสัตว์มงคลที่สูงส่งมีความสง่างามคู่กับมังกรมาตั้งแต่โบราณ เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินีผู้มีความงามและบุญญาธิการ พร้อมทั้งมีความดีประจำตัว คือ มีคุณธรรม ความยุติธรรม ศีลธรรม มนุษยธรรม และสัจธรรม ซึ่งมนุษย์ทุกคนควรมีไว้ประจำใจก็จะเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง           ดังนั้นวัตถุเสริมความมงคลนี้จึงมีพลังอำนาจในการสลายอิทธิพลพลังร้ายของดาว อัปมงคลให้สูญสิ้นไป จึงแคล้วคลาดปลอดภัยจากเคราะห์ภัยต่างๆ พร้อมทั้งเสริมส่งให้ ความรักก้าวหน้าสมหวัง หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ธุรกิจการค้าราบรื่นรุ่งเรือง อีกทั้งกระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลมาเทมา มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีฉลู (วัว) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีระกา (ไก่) เสริมดวงเรื่องความสุข ปีวอก (ลิง) เสริมดวงเรื่องความคิด           "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2555"จี้ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" จี้องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "ไฉ่ซิ้งเอี้ยประทับเสือ" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "ไฉ่ซิ้งเอี้ยประทับเสือ" หรือ "จี้ไฉ่ซิ้งเอี้ยประทับเสือ" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 9.ปีมะเมีย(ม้า) ปีนี้มีดาวมงคลแปดองครักษ์ "ปาจั๊ว" โคจรเข้ามาอยู่ในเรือนชะตา           ส่งเสริมให้เกิดมีพลังความมุ่งมั่นในการทำงาน และประกอบธุรกิจการค้าจนประสบความสำเร็จ มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ สำหรับผู้ที่ทำงานประจำหรือรับราชการก็จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง อีกทั้งยังมีดาวสวรรค์ช่วยให้พ้นภัย "เทียนเจี่ย" และดาวเทพเจ้าช่วยแก้ไข "เจี่ยเสิน" โคจรเข้ามาคุ้มครองให้ทุกสิ่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่น่าเสียดายที่มีดาวอัปมงคลหลายดวงเบียดบังเข้ามาทำให้โชคชะตาของท่านด่าง พร้อย โดยเฉพาะดาวประตูมรณะ "ซั่งเหมิน" ดาวลูกกรง "ฉิวอี้" และดาวเลือดตกยางออก "เส่วเยิ่น" กับดาวผลุบโผล่ "ฝู่เฉิน" ที่จะแผ่อิทธิพลส่งผลร้ายทำให้อาจประสบเคราะห์ภัยที่ไม่คาดคิด จึงต้องระมัดระวังตัวเองและสมาชิกในครอบครัวให้ดี โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้อาวุโสต้องดูแลเป็นพิเศษ และต้องพยายามอย่าสร้างปัญหาที่เป็นการท้าทายผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ท่านต้องเดือดร้อนอย่างหนัก นอกจากนี้ยังต้องระวังการดำเนินชีวิตประจำวันให้ดี อย่าให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ เพราะในเกณฑ์ชะตาบ่งบอกว่าอาจมีภัยถึงขั้นเลือดตกยางออก รวมทั้งภัยอันตรายจากทางน้ำด้วย (อ่านดวงปีมะเมีย 2555 คลิ๊กที่นี่!) วัตถุปีม้านำโชค 2012จี้ปีม้านำโชค 2012            ฉะนั้นจงอย่าประมาท ควรหาวิธีป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ โดยการจัดตั้ง "วัตถุปีม้านำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีม้านำโชค 2012" เพื่อขจัดอิทธิพลร้ายของดาวอัปมงคลให้หมดสิ้นไป พร้อมทั้งเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัยตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีมะเมียในปี 55 นี้ประกอบด้วย "ปลาทองคู่" ชาวจีนเชื่อว่า ปลาทอง เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย มีกินมีใช้ไม่รู้หมด           นอกจากนี้หากมีปลาทองและดอกบัวอยู่ด้วยกัน ก็จะสื่อความหมายถึง ทองคำและหยกอยู่คู่กันด้วย ส่วนปลาทองคู่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญเติบโต และปลาทองยังอาจใช้เป็นตัวแทนของคนรักได้ด้วย กล่าวกันว่าการมอบปลาทองคู่ให้เป็นของขวัญพิเศษในวันแต่งงานปลาจะมีพลัง วิเศษด้านความคุ้มครองที่เข้มแข็งและช่วยกระตุ้นพลังงานชี่ (พลังด้านการเสริมส่งหน้าที่การงานและอาชีพของท่าน) ดังนั้นปลาทองมงคลจึงเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภอันยิ่งใหญ่และความสุขในชีวิต สมรสอีกด้วย และยังเชื่ออีกว่าถ้าบ้านเรือนใดเลี้ยงปลาทองอยู่ในบ้านก็จะเปรียบเสมือนมี ทองอยู่ในบ้าน เพราะการเลี้ยงปลาทองต้องมีน้ำ ซึ่งน้ำก็คือความร่มเย็นเป็นสุข และการไหลเวียนของน้ำก็จะส่งเสริมให้การค้าราบรื่น และท้ายสุดคือปลาทองจะนำความมั่งคั่งมาสู่คนเลี้ยง ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าผู้ใดเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านจะนำความร่มเย็นเป็นสุข เสริมสร้างอำนาจบารมี มีโชคลาภที่สดใส ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา           ดังนั้นวัตถุเสริมความมงคลนี้ จึงมีพลังมงคลที่สามารถสลายอิทธิพลพลังร้ายของดาวอัปมงคลให้สูญสิ้นไป ทำให้ท่านหลุดพ้นจากเคราะห์ภัยต่าง ๆ พร้อมทั้งเสริมส่งหน้าที่การงานให้เจริญก้าวหน้า ธุรกิจการค้าราบรื่นรุ่งเรือง กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลมาเทมา มีสุขภาพแข็งแรง หมดเคราะห์หมดภัย สวัสดีมีชัยตลอดปี หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีขาล (เสือ) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะแม (แพะ) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีจอ (สุนัข) เสริมดวงเรื่องความรัก           "องค์ไท้เสียงเหล่ากุง" องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2555"จี้องค์ไท้เสียงเหล่ากุง" จี้องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "องค์ไท้เสียงเหล่ากุง" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "องค์ไท้เสียงเหล่ากุง" หรือ "จี้องค์ไท้เสียงเหล่ากุง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 10.ปีวอก(ลิง) ปีนี้มีดาวมงคลสามพลับพลา "ซันไถ" โคจรเข้ามาเสริมส่งให้หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้าเจริญก้าวหน้าสำเร็จตามเป้าหมาย           แม้จะมีอุปสรรคคอยขวางกั้นก็สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ แต่น่าเสียดายที่มีดาวอัปมงคลหลายดวงเบียดบังเข้ามาทำให้ด่างพร้อยเสียหาย โดยเฉพาะดาวร้ายห้าปีศาจ "อู๋กุ่ย" ดาวคดีความ "กวันฝู" และดาวศัตรูที่ซ่อนเร้น "จื่อเป้ย" กับดาวปฐพีพิฆาต "ตี้ซา" ส่งผลร้ายทำให้อาจประสบเคราะห์ภัยที่ไม่คาดคิด จึงต้องระมัดระวังตัวไว้ให้ดี ต้องพยายามอย่าสร้างปัญหาที่เป็นการท้าทายผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ท่านต้องเดือดร้อน นอกจากนี้ยังต้องระวังความประพฤติของตนเองให้ดี รวมทั้งจัดการเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้องอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านกฎหมายและคดีความ จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก อีกทั้งต้องใส่ใจหน้าที่การงานและดูแลธุรกิจการค้าให้ดี เพราะเนื่องจากมีศัตรูที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่คอยจ้องจับผิดนินทาให้ร้าย จึงต้องเข้มแข็งอย่าเผยจุดอ่อนแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องการสัญจรขับขี่ยวดยานพาหนะบนท้องถนนให้ดีเป็น พิเศษ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด (อ่านดวงปีวอก 2555 คลิ๊กที่นี่!)   วัตถุปีลิงนำโชค 2012จี้ปีลิงนำโชค 2012           ฉะนั้นจึงควรหาวิธีป้องกันแก้ไข ขจัดภัย สลายเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเหตุร้ายให้เป็นดี โดยการจัดตั้ง "วัตถุปีลิงนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีลิงนำโชค 2012" เพื่อปกป้องคุ้มครองให้ชาวปีวอกแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภสดใส มั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีวอกในปี 55 นี้ประกอบด้วย "งูขาวคู่" ซึ่งเป็นสัตว์มงคลที่ชาวจีนสมัยโบราณบูชามากที่สุด           ทั้งนี้เนื่องจากหนังที่สวยงามเปรียบเสมือนแพรพรรณที่ล้ำค่า และความเชื่อในเรื่องความโชคดีต่างๆ ที่เกิดจากการบูชางูขาวนี้ นอกจากนี้การเคลื่อนไหวพุ่งฉกอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด และสายตาที่จ้องมองยังก่อให้เกิดความเชื่อในเรื่องญาณวิเศษของงูขาวว่า สามารถสะกดดึงดูดให้เหยื่อเดินเข้ามาหาอีกด้วย           นอกจากนี้ตัวงูขาวยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนนักษัตรปีมะเส็งซึ่งเป็นเพื่อน คู่สมพงศ์ถูกโฉลกกับชาวปีวอกที่สุด จึงสามารถเกื้อหนุนช่วยเหลือให้เจ้าชะตาชาวปีวอกประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ นอกจากนี้ที่ใต้งูขาวทั้งคู่ยังรองรับด้วยก้อนทองก้อนใหญ่ ซึ่งสื่อถึงโชคลาภความมั่งคั่งร่ำรวยเงินทอง ดังนั้นวัตถุเสริมความมงคลนี้ จึงมีอานุภาพในการเสริมส่งอำนาจบารมี คุ้มครองให้ชาวปีวอกพ้นเคราะห์ พ้นภัย ช่วยกระตุ้นเปิดโชคลาภ ส่งเสริมการงานการค้าให้เจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีชวด (หนู) เสริมดวงเรื่องการงาน ปีมะโรง (มังกร) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะเส็ง (งูเล็ก) เสริมดวงเรื่องความคิด           "เจ้าพ่อกวนอู" องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2555"จี้เจ้าพ่อกวนอู" จี้องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2555  และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "เจ้าพ่อกวนอู" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "เจ้าพ่อกวนอู" หรือ "จี้เจ้าพ่อกวนอู" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 11.ปี ระกา(ไก่) ปีนี้เรือนชะตาของท่านมีดาวมงคลคุณธรรมพระจันทร์ "ย่วยเต๋อ" ดาวหอหยก "ยู่ถัง" และดาวแห่งความสามัคคี "ซุ่ยเฮอะ" โคจรเข้ามา           ส่งผลให้การศึกษาเรียนรู้ดี หน้าที่การงานธุรกิจการค้าเจริญก้าวหน้า ได้รับผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ และได้รับการสนับสนุนจนมีเกียรติยศชื่อเสียงเกรียงไกร แต่ก็มีดาวอัปมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาแทรกแซงสร้างปัญหา โดยเฉพาะดาวมนต์ชั่วร้าย "สื่อฝู" กับดาวละลายทรัพย์ "เสี่ยวห้าว" และดาวทะเลสาบน้ำเค็ม "เสียนฉือ" ส่งผลทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย และอาจเกิดอุบัติเหตุเคราะห์ภัยจากการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงไม่ควรประมาท นอกจากนี้มีเกณฑ์ว่าจะประสบปัญหาเรื่องเงินทองรั่วไหล และการใช้จ่ายที่เกินตัว จึงควรหลีกเลี่ยงการเสี่ยงโชค เล่นการพนันต่างๆ มิเช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมให้ต้องเดือดร้อนหนักจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการ เงินได้ อีกทั้งต้องละเว้นการเที่ยวกลางคืนดื่มสุราเคล้านารี เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ดวงชะตาที่ดีของท่านกลับกลายเป็นตรงกันข้ามได้ (อ่านดวงปีระกา 2555 คลิ๊กที่นี่!) วัตถุปีไก่นำโชค 2012จี้ปีไก่นำโชค 2012           ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาท ควรหาวิธีป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ โดยการจัดตั้ง "วัตถุปีไก่นำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีไก่นำโชค 2012" เพื่อป้องกันสลายพลังพิฆาตของดาวอัปมงคล พร้อมทั้งเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญก้าวหน้า ตำแหน่งลาภยศสูงส่ง มีโชคลาภเงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีระกาในปี 55 นี้ประกอบด้วย ค้างคาว กวาง ลูกท้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทน เทพฮกลกซิ่ว ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวจีนที่ยึดถือกันมาตั้งแต่โบราณว่า ความสุขสมบูรณ์ในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีองค์ประกอบ ที่สำคัญสามประการด้วยกัน คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย ความเจริญก้าวหน้า และการมีสุขภาพดีอายุยืนยาว ซึ่งความหมายทั้งสามประการนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของ ค้างคาวที่บินคาบเหรียญมาเป็นพวง ซึ่งสื่อถึงความมั่งคั่งร่ำรวย           ส่วนกวางที่สง่างามยืนอยู่ท่ามกลางก้อนทองมากมาย ก็สื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง มีบารมีสูงส่ง และลูกท้อ ผลไม้ทิพย์ในความเชื่อของชาวจีน ก็สื่อถึงการมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาว ฉะนั้นวัตถุเสริมความมงคลนี้ จึงมีอานุภาพช่วยส่งเสริมให้เจ้าชะตาชาวปีระกามีความสุขสมปรารถนา บุญบารมี มั่งคั่งร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีฉลู (วัว) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะเส็ง (งูเล็ก) เสริมดวงเรื่องการงาน ปีมะโรง (มังกร) เสริมดวงเรื่องความรัก           "เจ้าแม่ทับทิม" องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2555"จี้เจ้าแม่ทับทิม" จี้องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "เจ้าแม่ทับทิม" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "เจ้าแม่ทับทิม" หรือ "จี้เจ้าแม่ทับทิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี 12. ปีกุน(หมู) ปีนี้มีแต่ดาวมงคลหลายดวงเปล่งประกายสดใสอยู่ในเรือนชะตา           โดยเฉพาะดาวมหามงคล "หงหลวน" (นกคู่แห่งรัก) และดาวดอกไม้จักรพรรดิ "จื่อเวย" กับดาวคุณธรรมมังกร "หลงเต๋อ" โคจรเข้ามาเปล่งรัศมีสดใสอยู่ในเรือนชะตา ส่งผลให้มีสิ่งมงคลที่น่ายินดีเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความรักความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะพัฒนาก้าวหน้ามีสีสันสดใสนับ เป็นปีแห่งความรักที่หวานชื่นจนน่าอิจฉา หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ มีชัยต่ออุปสรรคทั้งปวง จนได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง มีอำนาจวาสนา ส่วนผู้ที่ทำธุรกิจการค้าก็จะได้รับความช่วยเหลือค้ำจุนจากผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะจากผู้ใต้บังคับบัญชาจนประสบความสำเร็จ ได้รับผลตอบแทนกำไรอย่างงดงาม แต่เนื่องจากในความโชคดีนั้นก็ยังมีเคราะห์ภัยซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ อันเนื่องจากการแทรกแซงคุกคามของดาวร้ายตัวฉกาจสมญานามว่า ทำลายให้พ่ายแพ้ "เป้าป้าย" ที่โคจรเข้ามาคอยซุ่มดักรอหาโอกาสทำลายให้ท่านต้องพ่ายแพ้ล้มครืนลงทันที           ดังนั้นจึงต้องระวังคู่แข่งปรปักษ์ให้ดี และต้องหมั่นเอาใจใส่เรื่องยอดขายการผลิตอย่าให้ผิดพลาด รวมทั้งเรื่องสัญญาซื้อขายต่าง ๆ ให้ละเอียดรอบคอบ ไม่เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังสดใสอาจล้มครืนเสียหายเกินกว่าจะแก้ไข ธุรกิจก็จะติดขัดหยุดชะงัก ทำให้ถูกคู่แข่งแย่งชิงโอกาสไป และทำให้ท่านต้องเสียท่าพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน นอกจากนี้ต้องใส่ใจอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เพราะในเกณฑ์ชะตาบ่งบอกว่าอาจเกิดอันตรายขึ้นได้จากอิทธิพลพลังร้ายของดาว อัปมงคลเทพแห่งหายนะ "หวันสึน" จึงไม่ควรประมาท (อ่านดวงปีกุน 2555 คลิ๊กที่นี่) วัตถุปีหมูนำโชค 2012 จี้ปีหมูนำโชค 2012            ฉะนั้นหากคิดป้องกันแก้ไข และเสริมส่งให้ดาวมงคลของท่านมีพลังแก่กล้ายิ่งขึ้น เพื่อขจัดอิทธิพลพลังร้ายของดาวอัปมงคลให้สูญสลายหมดสิ้นไป พร้อมทั้งส่งเสริมนำพาให้ความรัก และโชคชะตารุ่งโรจน์สดใส จึงควรจัดตั้ง "วัตถุปีหมูนำโชค 2012" หรือพกพาติดตัว(ติดรถ) "จี้ปีหมูนำโชค 2012" โดยวัตถุเสริมความมงคลสำหรับคนปีกุนในปี 55 นี้ประกอบด้วย "นกคู่แห่งรัก (หงหลวน)" ที่เชื่อกันว่ายามใดที่นกหงหลวนปรากฏขึ้นในเรือนชะตา เจ้าชะตาผู้นั้นก็จะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งดีงามต่างๆ ทั้งเรื่องความรัก และโชคลาภต่าง ๆ ไว้ได้ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความรักความสักพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้ครองคู่แต่งงาน ในครอบครัวมีบรรยากาศของความปรองดองสมัครสมานสามัคคีกัน จนนำไปสู่ความสำเร็จเจริญก้าวหน้า มีเกียรติยศชื่อเสียง โชคลาภเงินทองจึงหลั่งไหลเข้ามากอย่างต่อเนื่อง           นอกจากนี้บนหลังของนกมงคลทั้งคู่ยังมีรูปหัวใจที่เติมเต็มไปด้วยก้อนทอง และดอกไม้ทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความรักที่มีหัวใจเดียวกันที่จริงใจมั่นคงไม่พราก จากกัน บนรากฐานของความโชคดี มั่งมีศรีสุขอย่างเพียบพร้อม และเมื่อสิ่งมงคลทั้งหลายเหล่านี้มาประสานรวมพลังสิ่งที่ดีงามต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นวัตถุเสริมมงคลที่มีอานุภาพในการเสริมส่งดวงชะตาคนปีกุนในปี 55 ให้มีความรักความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคง มีโชคลาภล้นเหลือ ธุรกิจการงานเจริญก้าวหน้า สุขภาพแข็งแรง มีความสุขตลอดปี หรือจะหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงเฉพาะเรื่องไปเลย ได้ดังนี้ ปีขาล (เสือ) คบแล้วพารวย หรือมีบุตรเกิดปีนี้จะทำให้พ่อแม่รวยหรือหารูปเสือมาไว้ที่บ้าน ทางทิศตะวันออกจะเสริมดวง ปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องการเงิน ปีมะแม (แพะ) เสริมดวงเรื่องความคิด           "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2555 "จี้องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" จี้องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2555 และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปกราบสักการะองค์เทพ "ตั่วเหล่าเอี้ย" หรือถ้าไม่สะดวกที่จะเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์เทพ "ตั่วเหล่าเอี้ย" หรือ "จี้ตั่วเหล่าเอี้ย" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี           ถ้าท่านไม่สามารถไปไหว้เทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามที่แนะนำได้ก็ให้ไปไหว้พระ ประธานในวัดหรือเทพเจ้าที่คุณเคารพบูชาที่ศาลเจ้าใดก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้านคุณ โดยนำเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณ ไปวางไว้เบื้องหน้าของคุณแล้วอธิฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาดังนี้           ข้าพเจ้าขอกราบบูชา "..........(ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปสักการะที่วัดหรือศาลเจ้า)" ขอพระองค์จงช่วยประทานอำนาจบารมีแด่ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2555 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรคแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2555 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ           หากวัดหรือศาลเจ้านั้นมีเทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณก็ให้ไปอธิษฐานขอพรจากองค์เทพนั้นโดยตรงโดยอธิฐาน ดังนี้           ขอกราบบูชา และต้อนรับ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2555 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2555 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ           ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มที่ดวงชะตาชีวิตจะสดใสขึ้นในปี 2555 เพื่อเป็นการเสริมส่งให้ดวงชะตาของท่านพุ่งสุดขีดไม่ถูกบั่นทอนลง และท่านมีเกณฑ์ชงทั้ง 5 ปีที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น (หลังจากที่ท่านไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงที่วัดจีนเรียบร้อยแล้ว) ให้ท่านทำบุญดังนี้ (ถ้าเป็นได้ให้ทำทั้งปี 2554 และปี 2555 ตลอดทั้งปี)      1. ปล่อยนกปล่อยปลาเท่าอายุ      2. ทำบุญสังฆทานทุก 2 เดือน      3. ถือศีล กินเจ ทุกเดือน (เดือนละกี่วันก็ได้ตามสะดวก)      4. ทำบุญซื้อโลงศพ      5. นั่งสมาธิหมั่นทำบุญตักบาตร      6. ไหว้พระ 9 วัด   &n
คำถามที่นักเรียนจะไปเรียนต่อนอกสอบถาม
คำถามที่นักศึกษาถามมากที่สุด ถาม : ก.พ. คืออะไร ตอบ : ย่อมาจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการศึกษาของนักเรียนทุนรัฐบาลฝ่ายพลเรือนที่ส่งไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ถาม : สำนักงาน ก.พ. ทำหน้าที่อย่างไร ตอบ : ทำหน้าที่ในการพิจารณาคุณวุฒิของผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ เพื่อบรรจุเข้ารับราชการ และเพื่อใช้เป็นแนวทางการเลือกสถานศึกษาที่ได้มาตรฐาน สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการรับราชการ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการรับรองคุณวุฒิจากต่างประเทศของ ก.พ. ถาม : IELTS ต่างจาก TOEFL อย่างไรบ้าง? ตอบ : -  IELTS (International English Language Testing System) เป็นข้อสอบมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษของประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย เพื่อใช้ในการคัดเลือกนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของสถาบันการศึกษาประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย IELTS จะเน้นทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน  -  TOEFL (Test of English as a Foreign Language) เป็นข้อสอบมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษของสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้คัดเลือกนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษากับสถาบันการศึกษาของประเทศอเมริกา และแคนาดา ถาม : ผลสอบ   TOEFL และ  IELTS จะใช้ได้นานเท่าไหร่ ? ตอบ : 2 ปี  (ถ้าสอบ IELTS ไปแล้วจะต้องเว้น 3 เดือนถึงจะมีสิทธิสอบได้อีก  1 ครั้ง)      ถาม : ถ้าไม่สอบ IELTS แต่สอบ TOFEL แทนได้ไหม ? ตอบ: ได้ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับประเทศและสถาบันที่เราต้องการสมัคร เพราะบางสถาบันไม่สามารถใช้แทนกันได้ ถาม : ถ้าไม่มีผลภาษาอังกฤษ TOFEL หรือ  IELTS จะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศก่อนได้ไหม? ตอบ : ได้ โดยสมัครเรียนภาษาอังกฤษก่อน อย่างน้อยที่สุดประมาณ 20 สัปดาห์ แล้วสอบภาษาอังกฤษให้ผ่านตามที่สถาบันกำหนดแล้วค่อยสมัครเรียนคอร์ดอื่นต่อไป ถาม: จบ International Program มาแต่ไม่อยากสอบ IELTS หรือ TOEFL สามารถไปเรียนในต่างประเทศโดยตรงได้ไหม? ตอบ: สำหรับนักเรียนที่จบหลังสูตร International programs บางสถาบันการศึกษาในต่างประเทศสามารถรับพิจารณานักเรียนเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้เลยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันนั้นๆ คลิกเข้าลิ้งค์ inter เข้าได้เลย ถาม : ระหว่างเรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทยกับเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศอย่างไหนจะดีกว่ากัน? ตอบ : การที่ไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ นักเรียนมีโอกาสฝึกภาษาอังกฤษมากกว่าอยู่ในเมืองไทย เนื่องจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา เช่น ดูโทรทัศน์ พูดคุยกับเพื่อนต่างชาติรวมถึงชาวออสเตรเลียด้วย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า ถ้านักเรียนต้องการประหยัดเงิน นักเรียนอาจจะเตรียมภาษาอังกฤษจากเมืองไทยมากที่สุด พยายามสอบภาษาอังกฤษผ่านตามที่สถาบันกำหนด ก็จะได้ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษนาน ถาม : หลักสูตรภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นกี่ประเภท? ตอบ : *ภาษาอังกฤษทั่วไป *ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ *ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ *ภาษาอังกฤษเฉพาะสาขา เช่น Business, Tourism, TESOL  *ภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมสอบ TOEFL, IELTS, TOEIC ถาม : หลักสูตรภาษาอังกฤษเปิดสอนที่ไหนบ้าง? ตอบ : หลักสูตรภาษาอังกฤษเปิดสอนในสถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น โรงเรียนสอนภาษาของเอกชน, วิทยาลัย, วิทยาลัยอาชีวศึกษา (TAFE / Polytechnic), และมหาวิทยาลัย ถาม :      ถ้าไม่มีผลภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS จะต้องภาษาอังกฤษระยะเวลานานเท่าไหร่? ตอบ :     ขึ้นอยู่กับพื้นฐานภาษาอังกฤษว่าดีแค่ไหน ถ้าพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ดีเลย คงจะต้องเรียนภาษาอย่างน้อย 1 ปี ถ้าพื้นฐานดีอาจจะเรียนภาษาประมาณ 10-20 สัปดาห์ ถ้ามีผลสอบ IELTSประมาณ 4.5 หรือ   TOEFL 450 ก็สามารถเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ (ENGLISH FOR ACADEMIC PURPOSE) ซึ่งอยู่ในระดับกลางจนถึงระดับสูง โดยไม่ต้องไปเริ่มที่ GENERAL ENGLISH ถาม : ถ้าต้องการเรียนวิชาชีพในวิทยาลัยอาชีวศึกษา แต่ไม่มีผลภาษาอังกฤษจะสมัครได้ไหม? ตอบ : ได้ ก็สมัครเรียนภาษาอังกฤษไปก่อนประมาณ 20-40 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ถ้าสอบผ่านภาษาอังกฤษตามที่สถาบันกำหนดก็อาจจะเข้าเรียนต่อในสถาบันนั้นเลย ไม่ต้องสอบ IELTS เนื่องจากทางสถาบันวัดผลภาษาอังกฤษจากของตนเอง ถาม : ถ้าต้องการเรียนต่อในระดับอนุปริญญาตรี และระดับสูงกว่าในมหาวิทยาลัย ควรจะเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษประเภทไหน ตอบ : หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อระดับสูง (ENGLISH FOR ACADEMIC PURPOSE) ซึ่งจะเน้นทักษะในการเรียนระดับสูงในมหาวิทยาลัย ฝึกทักษะต่างๆ เช่น การจดบรรยาย การทำรายงาน การเข้าร่วมสัมมนา การพูดหน้าชั้นเรียน ถาม : จบ ม. 6 จากเมืองไทย ต้องการไปเรียนระดับปริญญาตรีที่ประเทศออสเตรเลียจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง? ตอบ : นักศึกษาจะต้องเข้าเรียนปีพื้นฐาน FOUNDATION 1 ปีก่อน และจะต้องสอบให้ผ่านถึงจะสมัครเรียนในระดับปริญญาตรีได้ ถ้าสอบไม่ผ่านอาจจะสมัครเรียนวิทยาลัยเอกชน หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษา เรียน 2 ปีก็ได้อนุปริญญาตรี แล้วค่อยสมัครเรียนปริญญาตรีอีกครั้ง เรียนอีก  2 ปี ก็จะได้ปริญญาตรี ถาม : วิทยาลัย TAFE คืออะไร? ตอบ : TAFE คือ วิทยาลัยเทคนิคและการศึกษาต่อเนื่องของออสเตรเลีย เป็นระบบการศึกษาของรัฐบาลทางด้านสายอาชีพและการฝึกวิชาชีพเพื่อออกไปตลาดแรงงานได้เร็วขึ้น  ถาม : หลักสูตรที่เปิดสอนในวิทยาลัย TAFE / POLYTECHNIC มีอะไรบ้าง ? ตอบ : หลักสูตรเปิดสอนตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรขั้นต้น (Certificate) จะใช้เวลาเรียน 6 เดือน ถึง 1 ปีจบ จนถึงอนุปริญญาตรี (Diploma / Advanced Diploma) ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี นอกจากนี้บางสถาบันจะเปิดสอนหลักสูตรต่อเนื่องในระดับปริญญาตรีด้วย ถาม : ถ้าต้องการเรียนต่อในวิทยาลัย TAFE / POLYTECHNIC นักศึกษาต้องมีผลสอบภาษาอังกฤษหรือเปล่า? ตอบ : นักศึกษาจะต้องมีผลภาษาอังกฤษ IELTS ประมาณ 5.5 หรือ TOEFL ประมาณ 530-550 ถาม : ถ้าเรียนจบ DIPLOMA จาก วิทยาลัย TAFE สามารถเรียนต่อระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า? ตอบ : ได้ และได้รับการยกเว้นบางวิชา หรือสามารถโอนหน่วยกิตจากวิทยาลัย TAFE ได้ ซึ่งนักศึกษาสามารถเข้าเรียนปี 2 ของระดับปริญญาตรีได้เลย ในสาขาเดียวกับสาขาที่เรียนในวิทยาลัย  TAFE ถาม : ในการสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โท  ต้องการอะไรบ้าง? ตอบ : ผลการเรียน (TRANSCRIPT) GPA ไม่ควรต่ำกว่า 2.5ผลภาษาอังกฤษ TOEFL ประมาณ 550-580 หรือ IELTS 6-6.5บางสาขาต้องการประสบการณ์ เช่น MBA จะต้องมีใบผ่านงาน หรือ REFERENCE จากที่ทำงานและจากอาจารย์หลักสูตร MBA บางสถาบันจะต้องมีผล GMAT ถาม : ถ้าพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ดี จะต้องเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษนานเท่าไหร่  ก่อนเข้าเรียนระดับปริญญาโท ? ตอบ : อาจจะต้องเรียนภาษาอังกฤษประมาณ 1 ปี และจะต้องหมั่นฝึกทักษะทั้ง 4 ทักษะให้มากที่สุด ( ฟัง พูด อ่าน เขียน ) ถาม : ถ้ามีผลภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ที่สถาบันต้องการ เช่น TOEFL 540 หรือ IELTS 6 จะสมัครเรียนปริญญาโทได้หรือไม่ ? ตอบ : ได้ โดยให้สถาบันตอบรับแบบมีเงื่องไข คือ สถาบันรับนักศึกษาแล้ว แต่นักศึกษาจะต้องสอบภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์ที่สถาบันกำหนด อาจจะให้ไปเรียนภาษาอังกฤษก่อนประมาณ 10-20 สัปดาห์  (ขึ้นอยู่กับผลภาษาอังกฤษที่มีอยู่) ถ้าสอบผ่านก็เข้าไปเรียนได้เลย ถาม : หลักสูตรปริญญาโทเรียนกี่ปี และจะต้องมีประสบการณ์หรือไม่ ? ตอบ : โดยปกติจะเรียนประมาณ 1 - 2 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ สำหรับหลักสูตรปริญญาโท 1 ปีจบจะมีที่ประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และอเมริกา ถาม : ถ้าไม่มีประสบการณ์การทำงาน แต่ต้องการเรียน MBA จะเป็นไปได้หรือไม่ ? ตอบ : โดยส่วนใหญ่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยต้องการประสบการณ์ทำงานอย่างต่ำ 2 ปีขึ้นไป แต่ก็มีบางมหาวิทยาลัยที่สามารถรับนักศึกษาที่ไม่มีประสบการณ์หรือมีไม่ถึง 2 ปีได้   ถาม : หลักสูตรภาษาอังกฤษใด เหมาะสมกับนักศึกษาทึ่ต้องการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย (ปริญญาตรี โท เอก)? ตอบ : หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาต่อ (ENGLISH FOR ACADEMIC PURPOSE)หรือเรียกว่า "EAP" แต่นักศึกษาจะต้องมีผลภาษาอังกฤษ IELTS ประมาณ 4.5 ขึ้นไปหรือ TOEFL ประมาณ 450 ขึ้นไป ถาม : ถ้าจบปริญญาตรีสาขาอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวกับด้านธุรกิจ หรือบริหาร สามารถสมัครเรียน MBAได้หรือไม่? ตอบ : ได้ สำหรับประเทศออสเตรเลีย และประเทศอังกฤษ ส่วนประเทศอเมริกา นักศึกษาจะต้องเรียน Prerequisites ก่อน ซึ่งจะเรียนประมาณ 6 วิชา และจะต้องได้ผลการเรียนไม่ต่ำกว่า B จึงจะสามารถพิจารณาเข้าหลักสูตรปริญญาโทได้ ถาม : จะเรียน MBA จะต้องสอบ GMAT หรือไม่ ? ตอบ : บางสถาบันต้องการผล GMAT บางสถาบันไม่ต้องการ ถาม : การสอบ GMAT คืออะไร ตอบ : GMAT เป็นการวัดความสามารถทางด้านภาษาและคณิตศาสตร์ทั้งความถนัดในการเขียนเชิงวิเคราะห์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ ดังนั้นคะแนน GMAT จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สถานศึกษาในสหรัฐอเมริกาใช้ในการรับเข้าศึกษาระดับปริญญาโททางบริหารธุรกิจ นอกจากนี้บางสถาบันในประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ นิวซีแลนด์และแคนาดา ก็กำหนด GMAT เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งในการสมัครเรียนต่อ MBA เช่นกัน ถาม : การสอบ GRE คืออะไร ตอบ : GRE เป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่สถานศึกษาในสหรัฐอเมริกาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับเข้าศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับปริญญาโทขึ้นไป ยกเว้นสาขาบริหารธุรกิจที่ใช้ GMAT แบบทดสอบ GRE มี 2 ชนิดคือ General Test เป็นการสอบเพื่อวัดทักษะของผู้สอบในรูปคะแนนของความสามารถทางภาษาและ Subject Test เป็นการทดสอบเพื่อวัดความสามารถในสาขาที่เฉพาะเจาะจงลงไป ถาม : มีหลักสูตร MBA เรียนแค่ 1 ปี หรือไม่? ตอบ : มี ทั้งที่ประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และอเมริกา ถาม : หลักสูตร MBA แบ่งออกเป็นกี่ประเภท? ตอบ : 1. MBA แบบทั่วไป 2. EXECUTIVE MBA จะต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 5 ปี  3. MBA (INTERNATIONAL BUSINESS) บริหารการค้าระหว่างประเทศ  4. TECHNOLOGY MANAGEMENT หรือ ENGINEERING MANAGEMENT ถาม : ถ้าจบปริญญาตรีทางด้านบริหาร มีผลภาษาอังกฤษตามที่สถาบันกำหนดแต่ไม่มีประสบการณ์  จะสมัคร MBA ได้หรือไม่ ? ตอบ : นักศึกษาอาจจะทำงานก่อนสัก 1 ปีแล้วลองสมัครใหม่ หรือสมัครเรียน MASTER OF COMMERCE หรือ MASTER OF BUSINESS และเลือกวิชาเอกในสาขาวิชาที่เราสนใจ (เฉพาะด้าน) ถาม : ปกติจะมีภาคเรียนกี่เทอม เปิดรับรับนักศึกษาใหม่กี่ครั้ง ? ตอบ : สำหรับประเทศออสเตรเลีย ปกติจะมี 2 เทอมคือเริ่มเรียนตอนเดือน กุมภาพันธ์ และเดือนกรกฎาคม บางมหาวิทยาลัยจะเปิดตอนช่วงซัมเมอร์ คือเดือนพฤศจิกายน สำหรับประเทศอังกฤษ จะเปิด เดือนกันยายน บางมหาวิทยาลัยจะเปิด 2 รอบคือ มีเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับประเทศอเมริกา จะเปิด 3 รอบ คือ เดือนมกราคม มิถุนายน และตุลาคม  ถาม : หลักสูตรที่จบด้วย COURSEWORK และหลักสูตรที่จบด้วย RESERCH  แตกต่างกันอย่างไร ? ตอบ : หลักสูตรที่จบแบบ COURSEWORK เป็นหลักสูตรที่มีการบรรยายจากอาจารย์ มีคะแนนเก็บการสัมมนา ทำรายงานและการสอบ แต่หลักสูตรที่จบแบบ RESERCH  จะเป็นหลักสูตร  ที่ทำวิจัย ค้นคว้าอย่างเดียวไม่มีการเข้าเรียนแต่จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำในการทำวิจัย หลักสูตรแบบ RESEARCH จะยากกว่า COURSEWORK ผู้เรียนจะต้องเคยทำวิจัยมาก่อน ถ้าไม่เคยทำวิจัยมาก่อนก็จะต้องลงเรียนวิชาการทำวิจัยและพื้นฐานภาษาอังกฤษควรจะดี เพราะต้องต้องเขียนรายงานการวิจัยมาก ถาม : ถ้ามีผลการเรียน GPA ต่ำกว่า 2.5 ซึ่งทางสถาบันกำหนด จะมีโอกาสสมัครเรียน ต่อในระดับปริญญาโทได้หรือไม่ ? ตอบ : ถ้า GPA ต่ำกว่า 2.5 นักศึกษาควรจะมีผลภาษาอังกฤษดี เช่น มีผล IELTS 6.5 TOEFL 550  ขึ้นไป หรือบางสถาบันอาจจะให้เรียนระดับอนุปริญญาโท 1 ปี  (POSTGRADUATE  DIPLOMA) ถ้าผ่านตามที่สถาบันต้องการถึงจะเข้าไปเรียนระดับปริญญาโท ถาม : ระยะเวลาของการได้วีซ่านักเรียน จะให้วีซ่านานเท่าไหร่? ตอบ     สำหรับประเทศออสเตรเลีย และอังกฤษ วีซ่าจะให้ตามระยะเวลาของหลักสูตรที่เรียน เช่น เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นเวลา 1 ปี วีซ่าจะให้ประมาณ 1 ปีบวกอีก 1 เดือน ถ้าต้องการต่อวีซ่าก็สามารถต่อวีซ่าได้เลยที่ประเทศนั้น ๆ ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องมาต่อวีซ่าที่เมืองไทย นักศึกษาต่างชาติสามารถต่อวีซ่าได้ที่ IMMIGRATION OFFICE ซึ่งตั้งอยู่ตามเมืองหลวงของแต่ละรัฐ  แต่ละประเทศ สำหรับประเทศอเมริกา โดยส่วนมากจะได้วีซ่า 5 ปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ I-20 ของสถาบันที่เราจะไปศึกษา ถ้าหลังจากจบจากที่หนึ่งแล้ว จะไปเรียนต่ออีกที่หนึ่ง จะต้องขอ I-20 ใหม่เพื่อแจ้งกับ Immigration แต่ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าใหม่ ถาม ขณะที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ นักศึกษาต่างชาติสามารถทำงานได้หรือไม่? ตอบ สำหรับประเทศออสเตรเลียและประเทศอังกฤษ รัฐบาลอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติทำงาน PART-TIME ได้อย่างถูกต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่เกิน 20 ชม. ใน 1 สัปดาห์ และสามารถทำงาน FULL TIME ได้ในช่วงปิดเทอม สำหรับประเทศอเมริกา นักศึกษาต่างชาติจะทำงาน PART-TIME ได้ก็ต่อเมื่อเข้าเรียน http://www.studyoverseas.co.th/
การขอคืนภาษี
หากคุณต้องการได้รับภาษีคืน คุณต้องทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ กรอกรายละเอียด Tax Refund Application Form ให้ครบถ้วน กรอกรายละเอียด IRS tax forms: 2848, 8821 and 8822 กรอกรายละเอียด Customer Agreement and Power of Attorney หลังจากที่คุณกรอกรายละเอียดครบถ้วน กรุณาส่งข้อมูลหาเราได้ที่ อีเมล: info@smartworldasia.com หรือ แฟกซ์ 02-631-2701 x 111 กรุณาเข้าไปดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อทำการปริ้นเอกสารทั้งหมด Downloads และ ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ 2848 Power of Attorney and Declaration of Representative – มี 2 หน้า: หน้า 1: ในข้อที่ 6 กรุณาใส่ตัวอักษรขึ้นต้นของชื่อและนามสกุลของท่าน ลงในช่องที่มีสัญลักษณ์ กากบาท เช่น Lady Gaga เป็น LG หน้า 2: ในข้อที่ 9 กรุณาลงชื่อและใส่วันที่ (ว.ด.ป) ลงในช่องที่มีสัญลักษณ์ กากบาท 8821 - Tax Information Authorization Form - กรุณากรอกชื่อและวันที่ลงในแบบฟอร์มเท่านั้น 8822 - Change of Address Form - กรุณากรอกชื่อและวันที่เท่านั้นลงในแบบฟอร์มเท่านั้น Customer Agreement form - กรุณากรอกข้อมูลทั้งหมดลงในช่องว่าง Power of Attorney form - กรุณากรอกข้อมูลทั้งหมดลงในช่องว่าง เอกสารสำหรับยื่นเรื่องขอคืนภาษีมีดังต่อไปนี้ สำเนา Social Security Card (กรณีที่ไม่มี แต่จำเลขได้ ขอให้ระบุเลขมาด้วย) สำเนาหน้า J-1 visa สำเนา DS-2019 (ถ้ามี FICA tax) สำเนา Passport สำเนา W-2 form หรือ สำเนาต้นขั้ว last paycheck (ของทุกงานที่ทำตลอดช่วงเวลาเข้าร่วมโครงการ) ข้อมูลของท่าน - หากท่านได้มีการเปลี่ยนแปลง หมายเลขโทรศัพท์ หรือ เปลี่ยนอีเมล กรุณาแจ้งให้ทราบ สำเนา Book Bank ในประเทศไทย (สำหรับโอนเงิน refund ของน้องเข้าบัญชี) เลขที่บัญชีนี้สามารถกรอกให้ได้ ไม่จำเป็นต้องสำเนาก็ได้ ส่งมาทาง อีเมล มาที่ info@smartworldasia.com โดยการ scan เอกสารข้างต้นและแนบเอกสาร มาให้ หรือแฟกซ์มาที่ 02-631-2701 ext. 111. แบบฟอร์ม IRS ต้องทำการสแกนโดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ กรุณาตั้งค่าหน้ากระดาษที่จะสแกนเป็น American standard (Letter size): ยาว: 11 นิ้ว (279mm) กว้าง: 8.5 นิ้ว (216mm) ตั้งค่าของกระดาษในลักษณะขาวและดำ ตั้งค่า dpi ความละเอียดที่ 300 (จุดต่อนิ้ว) กรุณาเซฟข้อมูลในรูปแบบ ไฟล์ PDF หรือ JPEG ( ไฟล์ PDF จะดีกว่า) ขนาดของไฟล์ไม่ควรเกิน 2 Mb   http://www.smartworldasia.com/th/taxrefund
<< 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา