หน้าแรก เกี่ยวกับเรา ข้อมูลประเทศที่น่ารู้ สถาบันเอเจนย์ ข่าวและกิจกรรม ทุนการศึกษา บความน่ารู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เว็บไซต์เพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ ทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่างประเทศ  
บทความการศึกษา
สนใจเรียน IELTS, TOEIC คลิ๊กเลย
จับ 6 โจรปล้นบ้านปลัดคมนาคม ยึดคืน 16 ล้าน
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบสำนวนคดีคนร้ายก่อเหตุปล้นเงินสด บ้านพักของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ย่านวังทองหลาง เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 12 พ.ย. 2554 ที่ผ่านมา โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาเพิ่มอีก 4 ราย ประกอบด้วย นายวันญกฤต บุตรกันหา หรือ จ่อย อายุ 40 ปี นายบุญสืบ โจมจันทร์ หรือ สืบ อายุ 44 ปี นายวุฒิชัย พันธวารี หรือ วุฒิ อายุ 33 ปี และ นายสมบูรณ์ ริยะเทน หรือ บูรณ์ อายุ 40 ปี โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในครั้งนี้จริง ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องได้จำนวน 2 ราย รวมผู้ต้องหาทั้งหมดที่จับกุมตัวได้ 6 ราย ยึดของกลางเป็นเงินสดที่แก๊งคนร้ายขโมยไปได้จำนวน 16,523,000 บาท อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนทราบว่า จนถึงขณะนี้ ยังมีผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุหลบหนีไปได้อีกจำนวน 4 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ขออำนาจศาลออกหมายจับแล้วทั้งหมด โดยหนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีและถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะคลี่คลายคดีนี้ คือ นายวีระศักดิ์ เชื่อลี หรือ โก้ อายุ 36 ปี หัวหน้าแก๊ง ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่าในเวลา 12.00 น. วันนี้ นาย ชยธัช จันนะชัย หรือ เอก ซึ่งผู้ต้องหา ให้การว่าเป็นผู้วางแผน และให้ขโมยเงินจำนวน 165 ล้านบาท ออกมาจากบ้านพัก ได้ประสานขอเข้ามอบตัวแล้ว โดยหลังการแถลงข่าว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนทั้งหมดด้วย http://news.sanook.com/1073353/จับ-6-โจรปล้นบ้านปลัดคมนาคม-ยึดคืน-16-ล้าน/
การเตรียมตัวเข้าบ้านหลังน้ำลด
อุปกรณ์ป้องกันภัยที่จำเป็นมีดังนี้ : แว่นตาของช่าง, หน้ากากกรองฝุ่น, ผ้าปิดปากปิดจมูก, ถุงมือยาง, รองเท้าบู๊ต, ไฟฉาย, หมวกนิรภัย ***แต่งกายให้พร้อมครบชุดก่อนเข้าไปในตัวบ้านเพื่อความปลอดภัย อย่าประมาท และอย่าไปคนเดียว  ต้องมีคนไปรออยู่ด้านนอกด้วยเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดขึ้น 1. ก่อนเข้าไปในตัวอาคารบ้านเรือนให้เดินดูบริเวณรอบๆบ้านก่อน ให้สำรวจพิจารณาดูโครงสร้างที่อาจจะเสียหายเป็นอันตรายก่อนตัดสินใจที่จะเข้าไป โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ 2.สัตว์มีพิษต่างๆที่อาจหนีน้ำเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวบ้าน 3. สังเกตุดูรอยร้าว หรือ การบิดตัวของโครงสร้าง ก่อนตัดสินใจเข้าไปในตัวอาคารบ้านเรือน 4. ตรวจดูที่จัดเก็บถังแก๊ส มองหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะมีการรั่วซึม 5. ตรวจสอบการจ่ายไฟจากการไฟฟ้าให้แน่ใจว่า ไฟฟ้ายังไม่ได้จ่ายกระแสไปเข้าไปในบ้าน 6. เปิดประตูให้เกิดการถ่ายเทอากาศ อย่าเหยียบเข้าบ้านทันที ให้สังเกตพื้นบ้าน ลองค่อยๆใช้เท้าทิ้งน้ำหนัก เพื่อทดสอบก่อน 7. สังเกตดูเพดานว่าอมน้ำ แอ่นท้องช้าง หรือมีคราบน้ำอยู่หรือไม่ เพดานอาจพังทลายลงมาเมื่อมีการเคลื่อนไหวให้ระมัดระวัง 8. รื้อผนังบ้านที่ผุพังจากน้ำท่วมโดยเร็วที่สุด ให้อากาศผ่านเข้าไปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้โครงสร้างด้านในแห้งหายชื้นให้เร็วที่สุด   ***การถ่ายเทอากาศ จะลดการเกิดเชื้อรา และกลิ่นอับในบ้าน ก่อนที่จะรื้อผนังให้นำสื่งของที่อยู่ตามพื้นออกไปก่อน   ขอบคุณข้อมูล : Far East Peerless (Thailand) 1968 Co.,Ltd. กมลพรรณ (กอวัฒนา) นุชผ่องใส ขอบคุณภาพประกอบ : Photos.com
10 มหาลัยอังกฤษ ที่มีพื้นที่วิ่งเล่นมากที่สุด
สวัสดีชาว abroadcenter ทุกคนค่ะ พื้นที่ใช้ประโยชน์ในมหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะค่ะ นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้วนักเรียนก็ต้องการพื้นที่ในการพักผ่อนและทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดและเป็นการออก กำลังกายอีกด้วย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหราชอาณาจักรที่มีพื้นที่ให้นักเรียน นักศึกษาได้ทำกิจกรรมกันอย่างกว้างขวางเลยทีเดียว เราลองมาดู 10 อันดับ ของพื้นที่ในมหาวิทยาลัยที่น้องนักเรียนอังกฤษได้มีชีวิตชีวาจากอาณาบริเวณนอกห้องเรียนกันดีกว่าครับ ว่าจะมีที่ไหนบ้าง   อันดับที่ 10 University of Southampton  มหาวิทยาลัยเซาท์แธมตัน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยจาก 10 แห่งของอังกฤษที่มีพื้นที่ใช้ประโยชน์มากที่สุด โดยมหาวิทยาลัยมีพื้นที่วิ่งเล่นถึง 31 เฮกเตอร์ ชมรมกีฬา 65 ชมรม และ 120 กลุ่มสังคม อันดับที่ 9 Durham University นักเรียนสามารถเดินไปตามทางเดินของนักกีฬาเหรียญรางวัลโอลิมปิก Jonathan Edwards ในมหาวิทยาลัยเดอรัม โดยมหาวิทยาลัยมีพื้นที่วิ่งเล่นถึง 33 เฮกเตอร์ภายในมหาวิทยาลัย อันดับที่ 8 University College London แม้จะเป็นใจกลางเมืองหลวงของสหราชอาณาจักร มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนก็มีพื้นที่ 36 เฮกเตอร์ไว้สำหรับให้นักศึกษาวิ่งเล่น อันดับที่ 7 University of Warwick นักเรียนมีพื้นที่ 37 เฮกเตอร์ ในมหาวิทยาลัยวอริก เพื่อใช้ประโยชน์และวิ่งเล่น อันดับที่ 6 University of Leicester มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ มีคำขวัญภาษาละตินที่ว่า 'Ut Vitam Habeant' ซึ่งหมายความถึงพื้นที่ในมหาวิทยาลัยอันมีชีวิตชีวา ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ใช้สอยเพื่อนักศึกษา 37 เฮกเตอร์ของมหาวิทยาลัย นักศึกษาจะมีชีวิตที่ดีกับการเล่นกีฬา และมีค่าใช้จ่ายในสิ่งอำนวยความสะดวก 65 ปอนด์ อันดับที่ 5 University of Manchester มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยใน Russell Group ที่มีพื้นที่ถึง 41 เฮกเตอร์ให้นักศึกษาจำนวนกว่า 40,000 คน ได้ใช้สอย รวมถึงสถานที่พักของพวกเขาด้วย  อันดับที่ 4 Swansea University มหาวิทยาลัยสวอนซีมีพื้นบริเวณตึกหมู่บ้านนักกีฬา (Sports Village) ที่สร้างในปี 2006 ถึง 42 เฮกเตอร์ ไว้เป็นที่ให้นักศึกษาใช้ประโยชน์ อันดับที่ 3 University of Nottingham มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มีพื้นที่ 48 เฮกเตอร์ไว้เป็นพื้นที่วิ่งเล่นของเด็กนักเรียน ตามข้อมูลของ Higher Education Statistics Agency (HESA) ในปี 2009-2010 อันดับที่ 2 University of Ulster มหาวิทยาลัยอัลสเตอร์ เป็นพื้นที่วิ่งเล่นของศิษย์เก่าอย่าง Kate Hoey อดีตรัฐมนตรีกีฬามาก่อน  มันมีพื้นที่ถึง 50 เฮกเตอร์ในการใช้สอยของนักศึกษา อันดับที่ 1 University of Leeds มหาวิทยาลัยลีดส์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่ในการใช้สอยของเด็กนักเรียนมากที่สุดถึง 51 เฮกเตอร์ หรือประมาณพื้นที่สนามกีฬารักบี้สากลประมาณ 50 สนามทีเดียว ------------------------------------------------------------------------- ขอบคุณข้อมูล 
อันอาชีพโลกนี้มีหลายอย่าง เลือกถูกทางอนนคตจะสดใส
วันนี้ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย มีบทกลอนดีๆมาฝากคะ น้องๆที่กำลังอยู่ชั้นม.ปลาย และกลังตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนคณะไหนสาขาไหน ลองอ่านกันดูนะคะ ว่ามีมีอาชีพไหนที่ตรงกับตัวเราบ้าง จะได้เลือกเรียนและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น :)   อันอาชีพโลกนี้มีหลายอย่าง  เลือกถูกทางอนนคตจะสดใส จงศึกษางานทั้งหลายให้เข้าใจ  ว่างานไหนจะไปได้ให้คิดดู ขอให้คิดถึงปัญญาความสามารถ  ว่าฉลาดเรียนสิ่งใดไม่อดสู แม้ถนัดเรามีด้วยจักช่วยชู  ให้มุ่งสู่เป้าหมายได้สมใจ จะเป็นครูต้องเสียงดังพูดฟังชัด  หรือถนัดชี้แจงแถลงไข จะเป็นหมอต้องมีธรรมประจำใจ  จะต้องมั่งเกียจโรคทุกข์โศกคน เป็นตำรวจต้องเมตตาประชาราษฎร์  ไม่ขี้ขลาดปราบเหล่าร้ายให้ทุกหน เป็นทหารต้องทรหดอดทน  ต้องพลีตนเพื่อนปกป้องคุ้มครองไทย   เป็นนายช่างถนัดงานด้านศิลปะ  ต้องจินตนาการดีที่แจ่มใส เป็นนายช่างเครื่องยนต์และกลไก  ต้องฝักใฝ่ชอบประดิษฐ์คิดดัดแปลง เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง  ต้องเก่งเรื่องเคมีและสีแสง เป็นดาราต้องชอบงานการแสดง  รู้จักแสร้งแสดงท่าได้น่าชม เป็นพ่อค้าธุรกิจชอบคิดค้า  ต้องสรรหาบริการดีที่เหมาะสม จะเป็นนักปกครองดีมีคนชม  ต้องไม่ข่มขู่ประชาจนน่ากลัว เป็นแม่บ้านงานคล่องต้องสันทัด  ปรนนิบัติไม่ชิงชังทั้งลูกผัว เป็นพยาบาลงานโรคภัยต้องไม่กลัว  คนดีชั่วไม่รังเกียจนึกเกลียดชัง   จะทำงานด้านเกษตรประเทศไทย  ต้องสนใจพัฒนาไม่ล้าหลัง จะเป็นนักอักษรศาสตร์ปราดเปรื่องดัง  ก็ต้องนั่งอ่านค้นคว้าวิชาการ จะเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ปราดเปรื่อง  ต้องเก่งเรื่องการค้นคว้าหาหลักฐาน จะเป็นนักโบราณคดีที่ชำนาญ  ต้องเก่งด้านการขูดค้นจนรู้ดี จะเป็นนักคณิตศาสตร์ฉลาดล้ำ  ต้องจดจำสูตรทั้งหลายได้เร็วรี่ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรี  เรื่องดีดสีตีเป่าต้องเข้าใจ หากใจชอบทำงานด้านสงเคราะห์  เราต้องเหมาะที่จะช่วยด้วยเสื่อมใส จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการวิจัย  ต้องอาศัยสถิติพิจารณา   อยากจะเป็นนักประพันธ์ที่ฝันเฟื่อง  ต้องปราดเปรื่องเรื่องชีวิตคิดสรรหา อยากจะเป็นนักเภสัชจัดเรื่องยา  ต้องรู้ค่ายาที่แท้แก้โรคภัย อยากจะเป็นนักจัดรายการชาญฉลาด  ต้องสามารถจูงใจคนจนหลงใหล อยากเป็นนักภาษาศาสตร์ปราดเปรื่องไกล  ต้องฝักใฝ่เรื่องภาษาวาจาคน แม้อยากจะทำงานด้านป่าไม้  ต้องกล้าตายผจญภัยในไพรสณฑ์ อยากเป็นแพทย์ที่ช่ำชองฟันของคน  ต้องไม่บ่นว่าคนนี้เหม็นขี้ฟัน อยากเป็นหมูเส้นสายกายบำบัด  ต้องสันทัดบีบนวดใครไม่เดียดฉันท์ อยากทำงานที่เก่งกาจราชทัณฑ์  ต้องไม่หวั่นนักโทษใดใจทมิฬ   อยากเป็นนักธรณีที่ปราดเปรื่อง  ต้องเก่งเรื่องแร่ – น้ำมันและชั้นหิน อยากทำการงานใดในเครื่องบิน  ต้องบ้าบิ่นขึ้นเวหาท้าความตาย อยากทำงานบริหารของเราต้องคล่อง  เสนอสนองทุกคนไปไม่ขาดหาย อยากทำงานด้านบัญชีมีมากมาย  ในเราไซร้ต้องยึดถือความซื่อตรง จะทำงาน  น.ส.พ.ขอเตือนจิต  จะต้องคิดถึงจรรยาอย่าลืมหลง จะเป็นนักสำรวจตรวจป่าดง  อย่าลุ่มหลงว่าที่ไหนภัยไม่มี จะเป็นพวกสัปเหร่ออย่าเห่อยศ  ต้องทรหดไม่ขยาดขลาดกลัวผี จะเป็นเลขานุการงานต้องดี  ทั้งเร็วรี่ปรนนิบัติผู้จัดการ   จะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง  ต้องรู้เรื่องการทำกินทุกถิ่นฐาน จะเป็นนักเทคโนโลยีที่ชำนาญ  ศาสตร์ทุกด้านต้องประยุกต์ได้ทุกทาง จะเป็นนักประชาสัมพันธ์ผู้สันทัด  ต้องเจนจัดสัมพันธ์ประชาอย่าเมินหมาง จะเป็นแชมป์นักกีฬาอย่าละวาง  ต้องเสริมสร้างบำรุงกายให้แข็งแรง จะเป็นช่างเสริมสวยรวยลูกค้า  เรื่องสนทนาต้องคุยได้หลายแขนง เป็นกรรมกรต้องปราดเปรียวด้วยเรี่ยวแรง  ที่แข็งแกร่งอุตสาหะมานะมี จะเป็นนักการเมืองผู้เปรื่องปราด  ต้องสามารถให้คนชมสมศักดิ์ศรี เป็นนักเทศน์ต้องชำนาญโวหารดี  รู้จักชี้ตัวอย่างชัดสร้างศรัทธา   เป็นหมอดูใช้วิชาโหราศาสตร์  ต้องสามารถทายถึงแก่นแม่นหนักหนา เป็นมัคคุเทศก์ต้องพูดมีวิชา  รู้จักค่าสิ่งทั้งหลายชี้ใช้ชม เป็นนักปรุงอาหารชาญฉลาด  ต้องสามารถปรุงแต่งจัดสัดส่วนผสม จะเป็นทูตต้องพูดดีมีคนชม  ทั้งเหมาะสมในเรื่องการงานการทูตดี จะเป็นนักบริหารด้านต่างต่าง  ต้องเก่งวางบุคคลให้ได้ถูกที่ อันอาชีพอื่นนั้นไซร้หลายหมื่นมี  ต้องถ้วนถี่ดูให้แม่แก่นของงาน จะเป็นนักอะไรนั้นเลือกกันเถิด  ต่างชูเชิดชาติได้หลายสถาน แต่อย่าเป็นทรราชย์ชาติใจมาร  คิดล้างผลาญอธิปไตยของไทยเอย   ขอขอบคุณบทกลอนดีๆ จากสำนักทะเบียนและประมวลผล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค่ะ อ่านดูแล้วอย่าลืมมองย้อนดูตัว ว่าอาชีพในฝันของเราตรงกับเรามากน้อยแค่ไหนนะคะ ^ _ ^     อีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่อยากจะแนะนำให้น้องๆลองหาประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยที่น้องใฝ่ฝัน คณะที่เคยคิด มหาวิทยาลัยที่เคยฝัน จริงๆแล้ว “ใช่” และ “ตรง” กับที่เราเป็น และต้องการหรือไม่  กับโครงการ Summer Camp Experience & Inspiration 2012 เปิดโอกาสให้น้องๆได้เข้าไปสัมผัสการใช้ชีวิต ในมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วประเทศ ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์  ม.ศิลปากร ม.นเรศวร   ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น   น้องที่สนใจเข้าไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  Summer Camp Experience & Inspiration 2012  หรือ http://urrac.com/summercamp2012/  โทร. 086-4201770 ,  08-8258-2412     ลองศึกษารายละเอียดกันก่อนนะคะ งานนี้ไม่ไปไม่รู้ !!      ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย
พกอะไรไปต่างประเทศ กับโมเมพาเพลินจ้า
สวัสดีคะ น้องๆ ที่เข้ามาชม abroadcenter ขอให้สนุกกับคลิปสนุกๆ พร้อมกับปนความรู้สำหรับการพกอะไรบ้าง ไปต่างประเทศกับโมเมพาเพลินกันได้เลยนะจ๊ะ     
เทคนิคการขอวีซ่าอเมริกา
สวัสดีคะน้องๆ ชาว abroadcenter วันนี้ก็นำคลิปวีดีโอเกี่ยวกับเทคนิคการขอวีซ่าอเมริกา ที่เขาว่ายากๆๆ มาให้น้องๆ ที่กำลังกังวลให้มาดูเทคนิคและคำแนะนำดีๆ จากผู้เชียวชาญให้คำแนะนำปรึกษา และถ้าน้องๆ ยังมีข้อสงสัยหรือ ยังไม่เข้าใจตรงส่วนไหน น้องๆสามารถเข้าไปดูหน้า http://www.abroadcenter.com/abroad.php เพื่อปรึกษา agent ที่ให้คำแนะนำเพื่อไปเรียนต่อ หรือท่องเที่ยว และวีซ่าต่างๆ เพื่อให้น้องๆ หายข้องใจ ลองดูนะคะเพื่อเป็นแนวทางในการจัดเอกสาร จ้า        
ซื้อตั๋วอย่างไรให้ได้ราคาถูก
สวัสดีคะน้องๆ ชาว abroadcenter  คราวนี้พอเราจะไปต่างประเทศเราก็ต้องมาดูและซื้อตั๋วเครื่องบินอีกนะคะ แต่เอะตั๋วที่ไหนหนอจะราคาถูก ทำให้ประหยัดกระเป๋าเราที่สุด เพื่อที่จะได้นำเงินส่วนต่างไปช๊อปกระจ๊ายยยยยย กันให้มันส์ไปเลย เราต้องไปฟังเทคนิดและคำแนะนำดีๆ กันเลยนะคะ  
รายการท่องเที่ยวประเทศอังกฤษ
สวัสดีคะน้องๆ ชาว abroadcenter พอดีไปเจอเกี่ยวกับคลิปไปเที่ยวต่างประเทศที่พันธ์ทิพย์มา ถ่ายวีดีโอสวยมาก คมชัดมาก ทำให้พี่รู้สึกประทับใจ ก็เลยนำมาฝากชาว abroadcenter.com กันทุกคนเลย พร้อมรึยังคะ ไปชมกันเลยดีกว่าเนอะ -------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับตลอดเวลาสามปีกว่าๆที่ผมได้อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ไปเที่ยว ไปทำงาน ไปทำโน่น ทำนี่ พาคนไทยไปเที่ยว พาน้องๆนักเรียนไทยไปเที่ยวตามเมืองต่างๆมากมายอยู่พอควร  ก็เลยเกิดไอเดียทำรายการท่องเที่ยวอังกฤษซะเลยก่อนกลับเมืองไทยจุดประสงค์ เพื่อให้เป็นแนวทาง ข้อมูลในการท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่อยู่ที่นี่ หรือผู้ที่จะเดินทางมาเที่ยวในโอกาสต่อไป จะได้เดินทางไปยังที่ต่างๆที่ยังไม่เคยไป ผมจึงเริ่มเดินทางเที่ยว อีกครั้ง พร้อมบันทึกเป็น วีดีโอ และ ภาพถ่าย ตามที่ผมถนัด และตั้งเป็นรายการเล็กๆ มีชื่อว่า "เที่ยวให้ใจ ไปให้ทั่วอังกฤษ" ผมจะค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ติดตามได้นะครับ จึงขอฝากรายการเล็กๆไว้ในอ้อมใจทุกๆท่านด้วยนะครับ  จากคุณ : AunSoton  , Pantip   ตอนที่ 1   ตอนที่ 2   ตอนที่ 3   
น้ำท่วมกู Too much So much Very much
สวัสดีคะ ชาว abroadcenter ตอนนี้มาคลายเครียดชมวีดีโอ น้ำท่วมกันบ้างดีกว่า รับรองว่าสามารถคลายเครียดได้บ้าง เป็นการล้อเลียนเรื่องน้ำท่วมนะคะ โอเคเลย ไปชมกันดีกว่าคะ  
อัพเดท บก.02 เปิดการจราจร 11 เส้นทาง
อัพเดท! บก.02 เปิดการจราจร 11 เส้นทาง ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร เปิดการจราจรอย่างไม่เป็นทางการ จำนวน 11 เส้นทาง ทิศตะวันตก –ใต้ จำนวน 6 เส้นทาง ทิศเหนือ จำนวน 5 เส้นทาง ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร(บก.02)  แจ้ง  เปิดการจราจรอย่างไม่เป็นทางการ   ซึ่งได้ตรวจสอบเส้นทางทิศตะวันตก –ใต้  เส้นทางทิศเหนือ มีเส้นทางที่ระดับน้ำลดลง  ดังนี้  เส้นทางทิศตะวันตก –ใต้ 1. ถ.จรัญสนิทวงศ์ - ถ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า - ถ.ราชวิถี - ถ.อรุณอัมรินทร์ - ถ.พระราม 2 – ถ.กัลปพฤกษ์ ( เปิดการจราจรตลอดสาย ) 2. ถ.บรมราชชนนี ระดับน้ำลดลง เปิดการจราจร ตั้งแต่แยกบรมราชชนนี ถึง ถ.พุทธมณฑลสาย 2 3. ถ.ราชพฤกษ์ ระดับน้ำลดลง เปิดการจราจร ตั้งแต่ วงเวียนนครอินทร์ ถึงเชื่อม ถ.กรุงธนบุรี 4. ถ.กาญจนาภิเษก ระดับน้ำลดลง เปิดการจราจร ตั้งแต่คลองมหาสวัสดิ์ - ตัด ถ.บรบราชชนนี ถึง พระราม 2 ( รถยนต์ขนาดเล็กไม่ควรผ่าน) 5. ถ.ทางคู่ขนานลอยฟ้า เปิดการจราจร ทางลง สน.ตลิ่งชัน (รถยนต์ขนาดเล็กผ่านได้) – ทางลงต่างระดับฉิมพลี(รถยนต์ขนาดเล็กไม่ควรผ่าน) 6. ถ.สิรินธร เปิดการจราจรตลอดสาย (รถยนต์ขนาดเล็กวิ่งได้ช่องทางด้านขวา) เส้นทางทิศเหนือ 1. ถ.รัชดา - ถ.ลาดพร้าว – ถ.กำแพงเพชร เปิดการจราจร ตลอดสาย ถ.พหลโยธิน ระดับน้ำลดลง ขยายเปิดการจราจร ตั้งแต่แยกสะพานควาย ถึง แยกเสนานิคม 1 2. ถ.วิภาวดีรังสิต ระดับน้ำลดลง เปิดการจราจรตั้งแต่ดินแดง ถึง คลองลาดยาว รถยนต์ขนาดเล็กวิ่งได้ (ตั้งแต่คลองลาดยาว ถึง แยกหลักสี่ ผิวถนนยังมีน้ำท่วมขังเป็นระยะ ระดับน้ำ 20 -30 ซม. รถยนต์ขนาดเล็กควรเลี่ยง ) 3. ถ.รามอินทรา ระดับน้ำลดลง ขยายเปิดการจราจร ตั้งแต่ ถ.รามอินทรา กม.1(เซ็ลทรัลรามอินทรา) ถึง มีนบุรี 4. ถ.งามวงศ์วาน ขาเข้า-ขาออก เปิดการจราจร 1 ช่องทางด้านขวา ตั้งแต่แยกบางเขน ถึงแยกพงษ์เพชร (บริเวณใต้สะพานแยกพงษ์เพชร มีน้ำท่วมขังระดับน้ำ 40 ซม.) 5. ถ.กำแพงเพชร 6 ระดับน้ำลดลง เปิดการจราจร ตั้งแต่วัดเสมียนนารี ถึง ปากทางเข้าการเคหะทุ่งสองห้อง (ผิวถนนยังมีน้ำท่วงขังเป็นระยะ ระดับน้ำ 5-10 ซม.) http://www.springnewstv.tv/news/timely/10333.html
กทม.เฮ ผู้ว่ามั่นใจฉลองปีใหม่น้ำแห้ง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว มั่นใจสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายภายในสิ้นปีนี้ หลังลงพื้นที่ตรวจสอบเขตสายไหมพบว่า การเปิดประตูระบายน... หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว มั่นใจสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายภายในสิ้นปีนี้ หลังลงพื้นที่ตรวจสอบเขตสายไหมพบว่า การเปิดประตูระบายน้ำทั้ง3บานจากคลอง6วา ไม่ส่งผลมากนักกับกทม.   โดยหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ ระบุว่า การเปิดประตูระบายน้ำดังกล่าวถือเป็นการหาทางออกร่วมกันด้วยเหตุผลระหว่าง กทม. และประชาชนในพื้นอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ดังนั้นในวันนี้จึงเดินทางมาขอบคุณประชาชนในพื้นที่ด้วยตัวเอง พร้อมนำน้ำอาหารจากครัวสุขุมพันธ์มามอบให้กับประชาชนจำนวน 3,500 ชุด พร้อมกันนี้ยังกล่าวอีกว่าการเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 3 บาน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน แต่เพียงส่งผลให้ระดับน้ำในคลองลาดพร้าว และคลองบางบัวมีปริมาณน้ำที่เพิ่มระดับขึ้น แต่กทม. จะดำเนินการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันการเปิดประตูระบายน้ำไม่ส่งผลกระทบต่อนิคมอุตสาหกรรมบางชัน และนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังด้วย   ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธ์ ยืนยันว่าสถานการณ์น้ำในพื้นที่ กทม. จะสามารถคลี่คลายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ http://www.springnewstv.tv/news/timely/10324.html
งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 28 ปีนี้ เข้าไปชมงานกันได้เลยนะคะ ฟรี คร้า
งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 28 ปีนี้ เข้าไปชมงานกันได้เลยนะคะ ฟรี ! คร้าาาา 30 พ.ย.-12 ธ.ค. 54ชาเลนเจอร์ 1-3 งานแสดงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับเครื่องยนต์, รถยนต์ และ การตกแต่งรถยนต์ท้ังภายในและภายนอก พร้อม โอกาสดีๆ ที่เลือกซื้อรถยนต์และอุปกรณ์เครื่องมือ 30 พ.ย. เฉพาะผู้ สื่อข่าวและวีไอพี  1-12 ธ.ค. วันจัดแสดงงาน บัตรราคา 100 บาท  จ.- ศ. เปิด 12.00-22.00 น ส.- อา. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิด 11.00-22.00 น. แนวคิด “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28” ฤดูผลิบาน ดอกไม้ยานยนต์ หลังจากขับเคลื่อนฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านี้มาอย่างยากลำบาก อุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยก็กลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนสามารถสร้างยอดจำหน่ายรวมในปี 2553 ได้ถึงกว่า 8  แสนคัน สูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่จำนวนการผลิตพุ่งไปถึง 1.7 ล้านคัน ดังนั้น จึงไม่เป็นการเกินเลยที่ทุกฝ่าย “ฟันธง” ว่า ปี 2554 จะเป็นปีที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ โดยเฉพาะปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจ ที่นับวันยิ่งแข็งแกร่ง ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังซื้อ และความต้องการสินค้าทุกประเภทสูงขึ้น จะเห็นได้ว่า แม้เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตมาได้ไม่นาน ตลาดยานยนต์ไทย ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศกลับมีความเคลื่อนไหวที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสัญชาติจีนหลายรายตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในบ้านเราเป็นครั้งแรก สปอร์ทหรูจากญี่ปุ่นตกลงเลือกไทยเป็นฐานผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และส่งออก ส่วนยักษ์ใหญ่ที่ตั้งรกรากในบ้านเรามานานแสดงความมั่นใจด้วยการลงทุนขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิต ขณะเดียวกัน การเปิดตัวยานยนต์รุ่นล่าสุดก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกประเภท ตอบสนองความต้องการหลากหลายของผู้บริโภคได้ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ไฮบริด ตลอดจนยานยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงทดแทนอย่างแกสโซฮอล อี 20, อี 85 และดีเซล บี 5  ยิ่งกว่านั้น ยังมี “อีโคคาร์” ยานยนต์ประหยัดคุณภาพสูงที่รัฐให้การสนับสนุน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง และได้รับความสนใจในตลาดต่างประเทศ จนคาดหมายว่า จะกลายเป็น “โพรดักท์ แชมเพียน” ของไทยอีกตัวหนึ่งในอนาคต ความแตกต่าง หลากหลาย ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคัก และเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวนี่เอง ที่ทำให้ตลาดยานยนต์ไทยในปี 2554 มีสีสันละลานตาไม่ต่างอะไรกับอุทยานดอกไม้นานาพรรณในฤดูผลิบาน และด้วยความปรารถนาให้ประชาชนทั่วประเทศได้มีโอกาสชื่นชมความงดงามของมวลดอกไม้ยานยนต์เหล่านี้ เราจึงจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28” ขึ้นภายใต้แนวคิด “ฤดูผลิบาน ดอกไม้ยานยนต์”   บริษัท สื่อสากล จํากัด โทร: 02-641 8444 โทรสาร: 02-641 8480 เว็บไซต์ : http://www.autoinfo.co.th/motorexpo เว็บไซต์ของงาน : http://www.motorexpo.co.th/
เทคนิคการหางานในออสเตรเลีย
ตามกฎของวีซ่านักเรียนประเทศออสเตรเลีย นักเรียนมีสิทธิในการทำงาน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อย่างถูกต้องตามกฎหมายนักเรียนสามารถเริ่มทำงานได้ก็ต่อเมื่อคอร์สเรียนเริ่ม เเละผู้ถือวีซ่านักเรียนไม่ต้องไปทำเรื่องขอ work permit เหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป แต่จะต้องมี Tax File Number (TFN) หรือหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ซึ่งทางBeyond Study Center มีบริการขอหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีให้กับนักเรียนของเราโดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายใดใด หรือสำหรับบุคคลอื่นๆที่ต้องการสมัคร TFN สามารถทำตามขั้นตอนตามลิ้งค์นี้ได้เลยค่ะ คุณเกมส์ของเราได้เขียนไว้เป็นขั้นตอนอย่างละเอียดเเล้ว วิธีสมัครTFN เวลาสมัครควรcaptureหน้าจอขั้นตอนสุดท้าย เเละเซฟเก็บไว้ เพื่อดูหมายเลขอ้างอิงในกรณีที่ไม่ได้รับเอกสารเเละโทรติดต่อATO หลังจากสมัครTFNภายใน 28 วัน จะมี TFN ส่งมาตามที่อยู่ที่นักเรียนได้เเจ้งไว้กับทางเรา หากไม่ได้รับภายในเวลาที่กำหนดควรโทรเเจ้ง Australian Taxation Office ( ATO ) ที่เบอร์ 132861 ควรเก็บหมายเลขไว้ อย่าให้ใครที่ไม่ใช่นายจ้าง เพราะเค้าอาจนำหมายเลขเราไปใช้ การหางานในออสเตรเลีย ( ณ ที่นี่จะพูดถึงในส่วนของงานhospitalityทั่วไป เช่น งานร้านอาหาร เป็นหลักนะคะ) มีคำถามจากนักเรียนหลายๆคนถามว่า งานหายากไหม หายังไง ก็เลยสรุปวิธีหางานต่างๆในออสเตรเลียมาให้ทุกท่านอ่านกันค่ะ ก่อนอื่นขอตอบก่อน ส่วนตัวเเล้วงานหายากหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นหลัก รองมาคือ จังหวะ โอกาส เเละ connection มีนักเรียนหลายๆคนที่ไปได้เพียงไม่ถึงเดือนก็ได้งาน ที่บอกว่าตัวเราเองเป็นหลักคือ เรามีความพร้อมแค่ไหนในการสมัครงานตำแหน่งนั้นๆ มีประสบการณ์มาก่อนหรือไม่ ภาษาเป็นอย่างไร สำหรับคนที่กังวลว่าจะหางานยาก แนะนำว่าควรจะลองสมัครงานตำแหน่งนั้นๆในเมืองไทยก่อน เช่น เสริฟ เป็นต้น หรือเราสามารถเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆได้เช่นการเรียนทำกาแฟ การอบรมวิชาชีพ การเรียนนวด แม้กระทั่งการเรียนภาษา หรือหาหนังสืออ่านด้วยตนเองล้วนเป็นประโยชน์ต่อการหางานในต่างแดนของเราทั้งนั้นค่ะ ส่วนเรื่องภาษา เข้าใจได้ว่าหลายๆคนที่ตัดสินใจอยากไปเรียนภาษาก็ต้องการฝึกทักษะทางภาษา บางคนทักษะค่อนข้างดี บางคนยังไม่ค่อยแข็งแรง แต่อย่าเพิ่งท้อในการหางานนะคะ เห็นเพื่อนๆหลายๆคนที่ภาษาไม่ค่อยเเข็งเเรงก็สามารถหางานทำได้ไม่ยากเลย แต่งานอาจจะเป็นงานที่ไม่ค่อยได้พบปะลูกค้าโดยตรงเช่นอองเทร์ ล้างจาน หลังจากอยู่ไปซักพัก ทักษะทางภาษาดีขึ้น มีประสบการณ์ เข้าใจระบบการทำงาน อาจจะลองเปลี่ยนหรือสมัครตำแหน่งอื่นที่ได้โอกาสพูดเยอะขึ้นก็ดีค่ะ ส่วนคนที่ภาษาค่อนข้างดีอยู่เเล้วจะได้เปรียบในการหางานค่ะ   ช่องทางการสมัครงาน  1.หางานผ่านเว็บไซต์ วิธีนี้ฮิตมากๆ เพราะว่าสะดวกเเละสามารถดูหลายๆงานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ มีเว็บไซต์ที่แนะนำดังนี้ค่ะ >>www.natui.com.au เว็บไซต์นี้เป็นทุกสิ่งของชาวซิดนีย์ ไม่ว่าจะเป็น หาบ้าน หางาน ซื้อของ ขายของ รวมอยู่ที่นี่หมด งานส่วนใหญ่จะเป็นงานร้านอาหารไทยค่ะ >>www.aussiethai.com เว็บนี้เจ้าของเว็บน่ารัก  เป็นที่ฮิตสุดๆสำหรับคนที่เตรียมตัวจะไปออสเตรเลีย เเละมีในส่วนของงาน ที่มีคนที่อยู่ที่ออสเตรเลียมาโพสหาคน >>www.thaiwahclub.com เว็บนี้เจ้าของเว็บก็น่ารัก อิอิ เพราะเป็นคุณเกมส์ของเราเองค่ะ เป็นทุกสิ่งเกี่ยว Work and Holiday Visa (WAH) มีเพื่อนๆชาว WAH ไปได้งานก็จะมาโพสหาคนไปทำงานกันค่ะ >>www.gumtree.com.au ส่วนเว็บนี้เป็นinter ที่ดังมากๆ มีัทั้งของอังกฤษ ออสเตรเลีย เเละอื่นๆ เว็บนี้ก็รวมทุกสิ่งไว้เช่นกันค่ะ ทั้งบ้าน งาน เซอร์วิส ขายรถ หาเพื่อน เหมาะสำหรับคนที่มองหางานที่เป็นของคนต่างช่าติ เช่นร้านอาหารฝรั่ง ร้านกาแฟค่ะ แต่ยังไงก่อนสมัครต้องดูให้ดีว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดด้วยค่ะ เพราะคนใช้เยอะบางทีก็มีคนแอบแฝงเช่นกัน โดยเฉพาะงานนวดในบ้าน หรืองานแนนนี่ เทคนิคการสมัครสำหรับเว็บนี้คือ อันไหนเป็นโพสใหม่เช่นเพิ่งโพสได้ 5 นาที เเละมีเบอร์เขียนไว้ เเละดูเเล้วข้อมูลไม่น่าหลองลวง ตรงกับงานที่เรามีประสบการณ์หรือมองหา โทรเลยค่ะ ถ้าคุยเเล้วโอเค เค้าจะนัดสัมภาษณ์ เเละถ้าเค้าถูกใจ ก็ยินดีด้วยค่ะ หรือว่าเราก็ส่งเรซูเม่ไปหลายๆที่ก็ได้ค่ะ เเต่ควรจะเซฟ หรือจดไว้ว่าสมัครที่ไหนไปเเล้วบาง ไม่งั้นพอเวลาเค้าโทรมา เราจะสับสนหรือลืมค่ะ อาจพลาดโอกาสได้ อีกอย่างนึงคือ เวลาเราเทรนงานเราควรจะได้ค่าจ้างด้วยค่ะ ตามกฎหมาย บางคนโดนให้เทรนไป 1 สัปดาห์ สุดท้ายบอกไม่เอาเเละไม่จ่ายค่าจ้างก็มี เเต่ไม่เกิดขึ้นบ่อยค่ะ มาเล่าให้เป็นคำเตือนให้ระวังเฉยๆ >>www.seek.com.au เว็บนี้เหมาะสำหรับการหางานProfessionalค่ะ มีพี่คนนึงที่รู้จัก เค้าถือWork and Holiday Visaในปีนั้น เเละระหว่างที่ถือWAH เค้าก็สมัครงานprofessionalของบริษัทฝรั่งไปด้วย ส่งเรซูเม่ไปเยอะมากแต่เนื่องจากผู้ถือ WAH ไม่สามารถทำงานต่อ 1 นายจ้างได้นานเกิน 6 เดือน โอกาสที่นายจ้างจะจ้างผู้ถือWAHสำหรับงานprofessionalจึงมีน้อยลงไป เเต่ก็ไม่ละความพยายาม ระหว่างนั้นก็ทำงานเสริฟร้านอาหารไทยไปด้วย จนสุดท้ายก็ได้งานprofessionalดังที่หวังไว้ โดยมีบริษัทเป็นนายจ้างสปอนเซอร์ให้ จึงได้เปลี่ยนวีซ่าจาก WAH เป็น Business Long Stay ^_^ ยินดีด้วย ดังนั้นเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่หางานนะคะ จังหวะมาได้ทุกเมื่อ แต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับจังหวะที่จะเข้ามา   2.สมัครตามร้านที่ติดประกาศรับสมัครพนักงาน จากประสบการณ์ รู้สึกว่าอัตราการได้งานจากการสมัครกับร้านที่เค้าต้องการคนอยู่เเล้วมีโอกาสได้งานค่อนข้างสูงค่ะ เพราะเค้ามีความต้องการที่จะงานคนทำงาน เราก็ต้องการหางาน เห็นร้านติดป้ายสมัคร สามารถเดินเข้าไปสมัครได้เลยค่ะ ควรถามเค้าว่าเราจะสมัครงาน ควรติดต่อใคร เเละบอกเค้าว่าเราเห็นป้าย เเละสนใจที่จะสมัครงานค่ะ เรซูเม่ควรพกติดตัวไปด้วย เพราะเกิดเดินๆอยู่เจอร้านปิดรับสมัครจะได้สมัครได้เลย ถ้ารอพรุ่งนี้เค้าอาจจะได้คนไปเเล้วก็ได้ แต่ร้านไหนที่เดินผ่านเเล้วเห็นติดป้ายรับสมัครบ่อยๆ อาจพิจารณาได้ว่า ทำไมรับบ่อยจัง มีปัญหาอะไรรึเปล่าได้นะคะ 3.Walk in ก็คล้ายๆกับวิธีที่ 2 เพียงแต่ อันนี้เราอาจจะเจอร้านที่ถูกใจแต่เค้าไม่ได้มีป้ายรับสมัคร แต่ไม่แน่ว่าเค้าอาจจะต้องการคนอยู่ก็ได้ ลองสมัครดูไม่เสียหาย เราสามารถเดินเข้าไปถามเค้าว่า มีตำแหน่งว่างอยู่ไหม เราต้องการสมัครงาน แต่ถ้าเค้าบอกว่าไม่มี ก็บอกไปว่างั้นยื่นเรซูเม่ไว้ได้ไหม แต่เวลาเลือกคนที่จะคุยเราควรจะเลือกคนที่ดูเป็นหัวหน้างานนิดนึงค่ะ เพราะว่าเค้ามีอำนวจในการตัดสินใจรับคนเข้าทำงาน และบางทีการยื่นในกับพนักงาน พนักงานอาจจะไม่เอาไปให้หัวหน้าก็เป็นได้เพราะกลัวถูกลดเวลางาน เน้นนะคะว่าบางที ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นหมด   4.คนรู้จักฝากงานให้ หากรู้จักเพื่อนๆ เราสามารถบอกเค้าได้ว่าเรากำลังมองหางานทำอยู่ ที่ทำงานต้องการคนไหม หรือถ้าเค้าต้องการคนเมื่อไหร่บอกเราเลยนะ การที่เพื่อนฝากงานให้ มีโอกาสที่เจ้านายจะรับเราเข้าทำงานสูงค่ะ เพราะว่าถ้าเพื่อนเราเป็นคนทำงานดี ทำมานาน เจ้านายก็ค่อนข้างถือว่า เพื่อนที่ดีย่อมคบเพื่อนที่ดี เเละเราคงไม่อยู่ๆหายไปโดยติดต่อไม่ได้ หรืออยู่ๆไม่มาทำงาน ก็สามารถติดต่อกับเพื่อนของเราได้ค่ะ หรือในกรณีที่เพื่อนจะกลับไทยพอดี เเล้วเค้าลาออก เราสามารถลองคุยกับเค้าได้ว่ามีใครมาทำแทนรึยัง หากยังเราลองสมัครได้ไหม   5.บริษัทหางาน สำหรับบริษัทหางาน ไม่เคยใช้บริการจึงไม่มีข้อมูลมากเท่าไหร่ค่ะ เเต่ทราบมาอย่างไม่แน่ชัดว่า เค้าได้ค่าจ้างส่วนหนึ่งจากการที่หาคนทำงานมาให้นายจ้างได้ หรือเค้าอาจได้เงินระยะยาว โดยกินเปอร์เซ็นต์จากเงินค่าจ้างเรารายชั่วโมง   6.เซอร์วิสของทางโรงเรียน มีหลายๆโรงเรียนที่มีบริการช่วยหางาน บางที่มีการันตี job interview ว่าคุณจะต้องได้รับการสัมภาษณ์อย่างเเน่นอน เคยได้รับคำถามบ่อยๆว่า เค้าการันตีงานด้วยไหมว่าเราจะต้องได้งาน 100% คำตอบคือ เค้าไม่สามารถการันตีได้ว่าคุณจะต้องได้งาน100% เเต่สามารถการันตีได้ว่าคุณจะได้สัมภาษณ์งาน100% ส่วนได้งานหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับผู้สมัครเองด้วยเช่นกันค่ะ แต่โอกาสที่จะได้ก็มีค่อนข้างสูงเนื่องจากมีนายจ้างมาสัมภาษณ์เราเเล้ว ที่เหลือเป็นบทบาทของเราที่จะทำให้เค้าประทับใจเเละรับเราเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานหรือบริษัทนั้นๆค่ะ   งานอื่นๆ หากใครมีความสามารถทางด้านวิชาชีพต่างๆเช่น ช่างทำผม สามารถลองสมัครร้านทำผม หรือมีธุรกิจเป็นของตัวเองดูได้ค่ะ ท่านสามารถจด Australian Business Number (ABN) ได้สำหรับการทำธุรกิจ ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ ABNตามลิ้งค์นี้เลยค่ะลิ้งค์ABN   สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มองหางาน ให้ได้งานที่ดีๆ ที่ชอบ เเละมีความสุขกับการทำงานเยอะๆนะคะ งานเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า ก้าวไปสู่ความฝันเเละความสำเร็จ Written By : Duangdao Beyond Study Center
การเลือกที่พักในออสเตรเลีย
 Accommodation ที่พัก ที่พักมีหลายเเบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความชอบ เเละงบประมาณของเราว่าจะเลือกที่พักเเบบไหน ราคาเท่าไหร่ ราคาก็เเตกต่างกันไปตามประเภท ที่จำนวนคนที่เเชร์ด้วย โดยทั่วไปเเล้ว ยิ่งเเชร์กันน้อยยิ่งแพง ยิ่งแชร์กันมากยิ่งถูก ที่พักที่ถูกในใจกลางเมืองราคาจะสูงกว่าที่พักที่ไกลออกไปค่ะ 1.1 Home Stay: การเลือกพักกับโฮมสเตย์ เป็นทางเลือกที่ดีเเละค่อนข้างปลอดภัยทางหนึ่ง เนื่องจากหากเลือกHome Stayผ่านตัวแทน หรือบริษัทที่น่าเชื่อถือได้ ทางบริษัทจัดหาโฮมสเตย์เค้ามีระบบที่ดีในการเลือกผู้ที่จะมาเป็นโฮส โดยผู้ที่จะมาเป็นโฮสนั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญกรรม (Police check) เเละมีการลงบันทึกประวัติต่างๆอยู่เเล้วค่ะ ที่ออสเตรเลียไม่ใช่เเค่เราเป็นฝ่ายเลือกโฮส โฮสเค้าก็ต้องพิจารณาเราเช่นกันจากใบสมัครที่เรากรอกไปผ่านตัวเเทน หากเป็นนักเรียนเค้ายิ่งชอบค่ะเพราะว่านักเรียนตั้งใจจะมาเรียน มีระบุสถานที่เรียนที่ชัดเจน เเละมีประวัติอยู่กับทางสถานทูตอยู่เเล้ว เพราะไม่ใช่เเค่เรากลัวเค้า คนเป็นโฮสเองการที่จะมีคนเข้ามาอยู่ในบ้านเค้าก็ต้องเลือกเช่นกัน ส่วนเรื่องrequirements ต่างๆว่าจะพักแบบไหน ห้องนึงกี่คน ต้องการอะไรบ้าง ทางนักเรียนจะเป็นฝ่ายติ๊กเลือกใบสมัครค่ะ หากไปอยู่เเล้วไม่พอใจกับทางโฮส อยากจะย้าย สามารถทำได้ แต่ต้องเเจ้งล่วงหน้าประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อทางบริษัทจะได้ตรวจสอบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เเละจัดหาที่ใหม่ให้ได้ เเละสิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บเป็นrecordของทางโฮสนั้นๆเช่นกันค่ะ ราคาในการจัดหาโฮมสเตย์จะอยู่ที่ประมาณ 150-200 ดอลล์ ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้จะถูกชำระให้กับบริษัทจัดหาโฮมสเตย์ ส่วนราคาที่พักต่อสัปดาห์จะมีหลากหลายตั้งแต่ประมาณ 200-350 ดอลล์ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเือาห้องนึงกี่คน มีรวมอาหารไหม การอยู่โฮมสเตย์เหมาะสำหรับ นักเรียนต่างชาติที่มีอายุน้อย ผู้ที่เดินทางต่างประเทศครั้งเเรก ผู้ที่ต้องการความอุ่นใจเเละความสะดวกสบาย ผู้ที่ต้องการพักอาศัยกับครอบครัวต่างชาติเเละได้เรียนรู้ทั้งภาษาเเละวัฒนธรรมความเป็นอยู่อย่างแท้จริง ทั้งนี้ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าทางเืลือกอื่นเช่นกัน 1.2 Shared Apartment,Condo/ Shared House: การพักเเบบเเชร์บ้าน คอนโด หรืออพาร์ทเม้นท์นั้น ค่อนข้างเป็นที่นิยมในนักเรียนต่างชาติที่เพิ่งเรียนจบหรืออยู่ในวัยทำงาน โดยนักเรียนต่างชาติอยู่เเชร์กันอยู่ในคอนโดเดียวกัน ยิ่งเเชร์เยอะยิ่งถูก ยิ่งเเชร์น้อยยิ่งราคาสูง คอนโดในใจกลางเมืองสุดๆยิ่งเเพงอาจเทียบได้กับ สุขุมวิทหรือสีลมบ้านเรา แต่หากพักบ้านที่ไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองสุดๆขนาดนั้น เช่นเเถวอ่อนนุชราคาก็จะถูกลง ความเป็นส่วนตัวก็มากขึ้น หากพักไกลกว่านั้นก็จะยิ่งถูกลงๆจะได้ที่พักในลักษณะเเบบบ้านที่มีบริเวณหน่อย ข้อเสียคือต้องเสียเวลาเดินทางเเละเสียค่ารถไฟ ซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะซื้อกันเป็นตั๋วรถไฟรายสัปดาห์หากต้องเข้ามาเรียนหรือทำงานในกลางเมือง ส่วนใหญ่หากพักคอนโด หรือบ้านเเชร์ เค้าจะมีทีวี เครื่องครัว เครื่องซักผ้า เครื่องปั่นผ้า ผ้าห่ม หมอน ต่างๆให้อยู่เเล้วดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ค่ะ ส่วนเรื่องอินเทอร์เน็ตก็มีwirelessกันแทบจะทุกบ้านอยู่เเล้ว หากเป็นคอนโดส่วนใหญ่จะมีสระว่ายน้ำ,Gym,Sauna ต่างๆให้ใช้ด้วยค่ะ เเต่ยังไงก็ตามควรจะเช็คให้ดีว่าเงื่อนไขต่างๆอะไรบ้าง เช่น Minimum Stay เท่าไหร่, เก็บมัดจำล่วงหน้ากี่สัปดาห์ , ใช้เครื่องปั่นผ้าได้ไหม เนื่องจากเครื่องปั่นผ้ากินไฟมาก บางบ้านไม่ยอมให้ใช้ หน้าร้อนไม่เท่าไหร่ เเต่หน้าหนาวนี่สิผ้าไม่แห้ง , ราคาสมเหตุสมเหตุไหม, อยู่กี่คน , มีเพื่อนร่วมห้องชาติอะไรบ้าง, ใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือป้ายรถเมล์อะไร ตามกฏของการเช่าบ้านคือ ถ้าคอนโด2 ห้องนอน จะอยู่ได้ไม่เกิน 4 คน ถ้า1 ห้องนอนหรือห้องstudioจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 คน Believe or Not บางคอนโดในใจกลางเมืองซิดนีย์ที่เป็นสองห้องนอน แชร์กันประมาณ 9 คน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านที่พัก คือ4 คนในห้องMaster Room (ห้องนอนที่ใหญ่กว่าเเละมีห้องน้ำในตัว เเละอีก 4 คนในห้องSecond Room (ห้องนอนที่ไม่มีห้องน้ำในตัวแต่มีอยู่ในห้องรับแขก) เเละอีกคนนึงในห้องรับเเขก(Living Room)โดยกั้นเป็นสัดส่วนให้เหมือนเป็นอีกห้องนึง แต่หากห้องไหนมีห้องที่ชื่อว่าSunny Room (จะเป็นห้องเล็กๆเเละปลอดโปร่งอาจจะมีหน้าต่างบานใหญ่ๆเผื่อให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง) ก็จะมีคนพักในSunny Room เเทน Living Room อาจจะสงสัยว่าห้องนึงน้อง4 คนนอนกันยังไง ให้นึกถึงเตียงสองชั้นค่ะ ที่นู้นเรียกว่า Bunk Bed ที่ฮิตที่สุดเลยคือของยี่ห้อ Ikea เพราะถอดเก็บได้ง่าย มีรูปมาฝากค่ะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เเล้วของไม่ค่อยหาย คอมพิวเตอร์วางกันกระจัดกระจายเพราะมีคอมกันทุกคนเเต่ไม่หาย ส่วนใหญ่อาจเป็นเพราะเป็นนักเรียนต่างชาติเหมือนๆกัน เเต่ยังไงก็ตามก็ต้องระวังไว้ค่ะเรื่องของหายไว้ด้วยเช่นกัน การอาศัยกันหลายคน เราไม่รู้ว่าใครนิสัยลึกๆเป็นยังไง เค้ามีความขัดสนมากน้อยขนาดไหน ไม่ควรประมาท ขอเน้นนะคะว่าที่เล่ามาว่าเเชร์กัน 9 คนคือ ใจกลางเมืองซิดนีย์ (Sydney CBD)เพราะค่าครองชีพสูงที่สุด เมืองอื่นๆที่ค่าครองชีพถูกว่าก็ไม่เเชร์กันขนาดนี้ และไม่ใช่ว่าทุกคอนโดจะเเชร์เเบบนั้นหมด ก็มีหลายคนที่ยอมจ่ายแพงเพื่อความส่วนตัวก็เยอะ ดังนั้นเวลาเลือก หากแพงความส่วนตัวก็มา หากถูกลงมาหน่อยความส่วนตัวก็ไป เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : CBD ย่อมาจาก Central Business District ย่านธุรกิจนั่นเอง มีเรทราคามาให้ดูกัน ถ้าใจกลางซิดนีย์ (Sydney CBD)ห้องอยู่คนเดียว 300 ดอลล์ขึ้นไปต่อสัปดาห์ , เเชร์กันสองคนต่อห้อง 180-220 โดยประมาณ ต่อสัปดาห์, เเชร์กัน 4 คนในห้อง 115-125โดยประมาณต่อสัปดาห์ เเละห้องLiving roomที่อยู่คนเดียวแต่อาจจะต้องรำคาญกัยเสียงคนเวลาเข้าออก หรือทำกับข้าวจะอยู่ที่ประมาณ 110ต่อสัปดาห์ ถ้านอกเขตใจกลางเมืองมานิดนึง เช่นเขตNorth Sydney , New town นั่งรถไฟไม่นานก็ถึง ราคาจะถูกมาค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ส่วนเมืองอื่นๆ ราคาที่พักจะถูกกว่าตามค่าครองชีพค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับlocationเเละความเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกัน ข้อดีที่สำคัญมากๆในการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆหลายๆชาติคือ เราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนอื่น ได้ปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกัน ได้เเลกเปลี่ยนความรู้เเละวัฒนธรรม ได้ฝึกภาษา ได้เปิดโลกกว้างได้มิตรภาพอันดีงาม เเละไม่ดีบ้างบางที เพื่อนๆสามารถหาบ้านเเชร์ตามเว็บไซต์เหล่านี้นะคะ www. aussiethai.com เว็บคุณดอสaussiethaiของเรา หากใครมองหาที่พักอยู่สามารถพักกับหอพักของคุณดอสได้นะคะ (Sydney) www.natui.com.au เว็บน้าตุ๊ยมีเพื่อนๆมาโพสหาคนเเชร์บ้านให้เลือกเต็มไปหมดเลยค่ะ ลองเลือกดูกันได้(Sydney) www.thaiwahclub.com เว็บไซต์เกี่ยวกับ Work and Holiday ที่มีเพื่อนๆมาโพสหาคนเเชร์บ้านด้วยเช่นกัน เพื่อนๆในเว็บน่ารัก ^^ (ทุกเมือง) www.aussietip.com เว็บไซต์ชมรมชาวไทยในMelbourne (Melbourne) www.gumtree.com.au เว็บนี้หาได้ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งเเต่บ้านยันงาน เป็นเว็บต่างชาติ มีทั้งออสเตรเลีย อังกฤษ สิงคโปร์เเละอื่นๆ เนื่องจากเป็นเว็บที่คนใช้เยอะมากมีทั้งคนดี เเละไม่ดี ปะปนกัน ดังนั้นควรตัดสินใจให้ดีก่อนทำการชำระเงิน (ทุกเมือง) http://www.domain.com.au/ เว็บไซต์สำหรับชื่อหรือเช่าที่พักอาศัยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่ระยะยาว สัญญาเช่าจะหนึ่งปีขึ้นไป จะมีReal Estate Agent มาโพสขาย หรือให้เช่าบ้าน หากต้องการเช่าสามารถติดต่อเอเจ้นได้ ในการเซ็นสัญญาเค้าจะดูหลักฐานต่างๆของเรา เช่น วีซ่าจะต้องมีวีซ่าที่ยาว,Bank Statementเเละหนังสือรับรองการทำงาน เค้าจะพิจารณาว่าสมควรให้เราเช่าไหมจากเอกสารหลักฐานที่เรายื่นไป บางที่มีตีเป็นคะเเนนเช่นจะต้องมี120คะเเนนถึงสามารถเช้าได้ เช่น passport 20คะเเนน มีใบขับขี่20คะเเนน มีหนังสือรับรองงาน 30 คะเเนนเป็นต้น ถากตกลงเซนสัญญา ผู้เช่าจะต้องจ่ายค่ามัดจำตามที่ตกลงในสัญญา อาจจะเป็น 2 เดือน หากครบกำหนดบ้านไม่มีสิ่งเสียหาย จะได้เงินคืนทั้งหมด ในระหว่างสัญญาเช่า เอเจ้นสามารถขอเข้ามาสำรวจความเรียบร้อยได้ เรียกว่าการ Inspection สิ่งนี้เเหละที่ผู้เช่าเเละหาคนมาเเชร์จำนวนมากจะต้องกลัว เพราะว่าว่าที่กล่าวไปข้างต้น ห้องสองห้องนอนพักได้ 4 คน หากเอเจ้นรู้ว่าอยูู้่เกินสัญญาถือเป็นโมฆะ เค้ามีสิทธิที่จะยึดเงินมัดจำเรา เเละเราก็จะเด้ง หาห้องใหม่นั่นเอง เวลามีเอเจ้นจะมา inspectที ก็เก็บเตียงสองชั้นจะจ้าละวั่น กลายเป็นที่สนุกสนานกันไป เเต่เค้ามีกฎว่าปีนึงเอเจ้นไม่สามารถมาตรวจสอบได้เกิน4 ครั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะคะ เเล้วก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เช่าเสียก่อน “ตึกนี้ชื่อตึก World Tower อยู่ใจกลางเมืองซิดนีย์ เป็นทั้งserviced Apartmentเป็นทั้งห้องเช่ามีนักเรียนต่างชาติมาเเชร์ห้องในตึกนี้กันค่อนข้างเยอะ” “Bunk Bed ของ Ikea”                                        “Bunk Bed”   1.3  Hostel Hostelถ้าพูดถึงสำหรับนักเรียนน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักอาศัยในช่วงเวลาสั้นๆก่อนการหาที่พักถาวรมากกว่า ไม่ค่อยฮิตมากในหมู่นักเรียนที่ไปเรียนที่ออสเตรเลีย แต่จะค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า เเละ ผู้ถือ Work and Holiday Visa Hostel มีเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกไม่กี่ชิ้นที่สำคัญเท่านั้น เช่นเตียง ห้องอาบน้ำ อาจเป็นห้องสุขารวม ซึ่งมาตรฐานต่างกันไป บางที่สะอาด บางที่ไม่ค่อยสะอาด ควรเก็บทรัพย์สินมีค่าของท่านให้ดี เพราะการอยู่กันหลายคนมีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย เราได้เเลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้รู้จักเพื่อนใหม่ เเต่ความปลอดภัยในทรัพย์สินอาจลดลงไป บางhostelsสามารถจองทางอินเตอร์เน็ตได้เช่น www.yha.com.au หรือ www.hostels.com ส่วนตัวเเล้วไม่เคยไปพักด้วยตัวเองจึงไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดมากนัก แต่ทราบจากเพื่อนที่เคยถือ Work and Holiday Visa ว่ามีบางHostelsที่จัดหางานให้ งานส่วนใหญ่จะเป็นงานฟาร์มในต่างจังหวัด 1.4 Dormitory หอพักของในมหาวิทยาลัย หลายๆมหาวิทยาลัย ก็จะมีหอพักในบริการสำหรับนักเรียน ซึ่งจะค่อนข้างปลอดภัย เพราะอยู่ในตัวมหาวิทยาลัย เเชร์กันกับเพื่อนที่เรียนที่เดียวกัน ส่วนตัวเเล้วเคยพักdormสมัยตอนที่เรียนที่เมืองจีน บรรยากาศสนุกสนาน เนื่องจากตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้อยู่ในเมืองจึงไม่มีที่เที่ยวมากนัก ตอนเย็นก็มีบาร์บีคิวปาร์ตี้บ้าง เเละเล่นกีฬากับเพื่อนๆบ้าง หรือพากันออกไปเดินเล่นซื้อของแถวนั้นบาง  ชิวิตในdormตอนมหาวิทยาลัยก็สนุกไปอีกเเบบ 1.5 Unilodge “UniLodge is a professional management company and the market leader in the operation and management of student accommodation in Australia and New Zealand.” ยูนิลอจ์ดคือบริษัทที่จัดการเรื่องที่พักให้กับนักเรียนในประเทศออสเตรเลียเเละนิวซีเเลนด์ ซึ่งตั้่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยต่างๆ เช่นUniLodge on Flinders ใกล้กับ มหาวิทยาลัยRMIT, The University of Melbourne, Victoria University, Taylors College หรือ  Unilodge@ANU ก็ใกล้กับ Australian National University สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.unilodge.com.au/ 1.6 Hotel อันนี้รู้ๆกันอยู่เเล้วค่ะว่า เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่า ราคาแพงกว่าHostel  แต่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว สูงกว่า หากสำหรับนักเรียนน่าจะเป็นที่อยู่ชั่วคราวก่อนหาห้องพักถาวรเช่นกัน แต่ก็เคยเห็นเพื่อนที่บ้านมีฐานะมาก มาเรียนที่Melbourne อยู่โรงเเรมตลอดเลยครึ่งปี ไม่อยากจะคิดเล้ยว่าเสียเงินไปเท่าไหร่ ยังไงขอให้โชคดีในการหาที่พักนะคะ  Written by Duangdao Beyond Study Center  
Study in Australia English Courses
 เรียนภาษา หรือ เรียน ELICOS (English Language Intensive Courses for Overseas Students)  การเรียน ELICOS หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ”เรียนภาษา” ก็คือการเรียนคอร์สภาษาอังกฤษสำหรับคนที่มีความต้องการที่จะ พัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษโดยอาจจะมีเป้าหมายในการเรียนต่อ หรือไม่มีก็ได้ เช่น ต้องสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 หรือ ต้องการเข้ามหาวิทยาลัย โดยการเรียน Direct Entry ในสถาบันภาษาต่างๆ (Direct Entry หมายถึงการเรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยโดยที่นักเรียนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องยื่นผลสอบ IELTS หากสอบผ่านจากสถาบันที่มหาวิทยาลัยนั้นๆยอมรับ) โดยรวมก็คือคอร์สที่เป็นการพัฒนาภาษาให้กับนักเรียนโดยไม่ได้สอนเนื้อหา อย่างอื่นเป็นหลักนั่นเอง คอร์สเรียนภาษาในออสเตรเลียมีมากมายหลายแบบตามแต่ความต้องการของผู้เรียน ในที่นี้ผมจะจำแนกคอร์สเรียนภาษาตามประเภทของคอร์สเรียนภาษาที่เค้านิยมกันนะครับ a. General English หรือ GE เป็นคอร์สเรียนภาษาแบบทั่วๆไป เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษา หรืออาจจะอยากปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการเรียนต่อโดยเน้นการพัฒนาในทั้ง 4 skills คือ reading / writing / listening และ speaking  สำหรับการเรียน General English ถือว่าเป็นคอร์สที่เครียดน้อยที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดในหมู่เด็กนักเรียน ที่มาเรียนภาษาทั้งไทยและต่างชาติ เพราะไม่ได้มีข้อกำหนดแรกเข้าในด้านภาษา กล่าวคือไม่ว่าภาษาเราจะดี จะแย่ขนาดไหนก็สามารถเรียน General English ได้ครับ การเรียน GE จะแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับของภาษาของแต่ละคน แต่ละโรงเรียนจะไล่ระดับ แตกต่างกันไปประมาณ 6-7 ระดับ โดยจะเริ่มเรียนจากง่ายไปยาก อาทิเช่น - beginner  - elementary  - pre-intermediate - intermediate - upper-intermediate - advanced การเริ่มเรียน General English จะค่อนข้างจะยืดหยุ่นกว่าคอร์สเรียนแบบอื่น คือเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์ และค่าเรียนจะอยู่ในช่วงระหว่าง 150-250 AUD ต่อสัปดาห์ (ราคาสูงหรือต่ำกว่านี้ก็มีและราคาแปรผันตามคุณภาพของรร.ครับ)  เมื่อเริ่มเรียนได้ทุกวันจันทร์จึงมีคนสงสัยว่า แล้วแบบนี้จะถ้าเพื่อนเรียนไปก่อนเราตั้งสามอาทิตย์ แล้วเราจะเรียนตามเพื่อนทันหรือเปล่า – คำตอบคือทันครับ เมื่อ เราไปเรียนภาษาแบบ GE นี้ วันแรกที่ไปถึงโรงเรียน เค้าจะจัดให้มีการสอบวัดระดับเรียกว่า Placement Test เพื่อดูว่าเราควรจะไปอยุ่ในชั้นไหน โดยเพื่อนๆที่จะได้มาเรียนกับเราก็จะเป็นคนที่มีภาษาระดับใกล้เคียงกัน  หลักสูตรของ GE ทั่วไปจะวนเป็น Loop ครับ คือไม่ได้แปลว่าเราต้องเรียนให้ครบเราถึงจบได้ แต่เรียนเพื่อให้เค้ารู้ว่าระดับเราสูงพอที่จะขึ้นไประดับถัดไปได้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเราจะเรียนกับเพื่อนที่ภาษาใกล้ๆกัน ดังนั้นไม่เสมอไปที่คนที่เข้ามาก่อนจะขึ้นไประดับถัดไปได้ก่อนเพราะแต่ละคน มีความไวในการพัฒนาไม่เท่ากัน นอกจากนี้การเรียน GE ก็ยังเหมาะสำหรับคนที่ตั้งใจที่จะเรียนต่อในระดับวิชาชีพ ซึ่ง Australia เรียกกันว่า VET – Vocational Education and Training ( หรือ ปสช. ปวส. บ้านเรานี่เอง) ซึ่งเด็กนักเรียนไทยที่ออสเตรเลียจะเรียกกันย่อๆว่าเรียน Dip ครับ (ย่อมาจาก Diploma) โดยทั่วไปแล้ว การจะเริ่มเรียน Diploma ได้นั้นจะต้องผ่านข้อกำหนดสองอย่างคือ จบม.ปลาย (จริงๆ Grade 10 ในออสเตรเลียก็โอเค) และมีผล IELTS 5.5 หรือมีผลภาษาจากรร.ภาษาที่ออสเตรเลียในระดับที่เค้าต้องการ (โดยทั่วไปจะเทียบ Upper-intermediate อยู่ที่ 5.5 – อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากทราบว่าโรงเรียนที่เราจะไปเรียน Diploma นั้นเค้าต้องการผลภาษาระดับใด ก็ตามต้องตรวจสอบกับโรงเรียนนั้นๆอีกทีครับ) b. Academic English / Direct Entry /Direct Pathway เป็นคอร์สที่ถูกออกแบบไว้สำหรับคนที่ต้องการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย(ในทางทฤษฎี การจบ EAP มาก็สามารถทำให้เรียนต่อในระดับวิชาชีพได้เหมือนกัน แต่ปกติแล้วถ้าตั้งใจจะเรียนต่อในระดับวิชาชีพมักจะเลือกเรียน General English กันมากกว่า) ในที่นี้จะพูดถึงการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยครับ ก่อนอื่นมาดูภาพกว้างๆกันก่อนครับ ในออสเตรเลีย ถ้าเราจะเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ เราต้องผ่านข้อกำหนดที่เค้าต้องการสองด้านหลักๆคือ 1) ด้าน Academic – หมายถึงผลการเรียน เช่นเกรดปริญญาตรี 2.5 ขึ้นไป หรือบางที่อาจบอกว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน 2 ปี เป็นต้น  2) ด้านภาษา – ในระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมักกำหนดให้เราต้องมีมี IELTS 6.0-7.0 แล้วแต่คอร์สที่เราจะเรียนครับ (เรียนด้าน Linguistics กะต้องการให้เรามีพื้นฐานภาษาดีกว่าเรียน Business เป็นต้น) ในด้าน Academic นี่แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งใครตั้งใจเรียนมาตอนเด็กๆก็เลือกมหาวิทยาลัยที่ดัง แรงค์ดีกว่าได้ แต่ถ้าไม่ตั้งใจมาก ตัวเลือกที่เลือกได้ก็จะลดลงเพื่อให้ผ่านในส่วนของข้อกำหนดทางด้านภาษา ทุกคนก็มี 2 ตัวเลือกหลักๆครับ อย่างแรกคือสอบ IELTS ให้ผ่านซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัดที่สุด แต่อาจจะยากนิดถ้าพื้นฐานเราไม่ดีนัก ต้องอาศัยความพยายามมากสักหน่อย (อย่างไรก็ตามผมแนะนำให้คนที่จะมาเรียนต่อไม่ว่าในระดับใด ลองสอบไว้สักครั้งจะได้รู้ระดับความสามารถภาษาอังกฤษของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการง่ายกว่าสำหรับมหาวิทยาลัย.ที่จะบอกได้ว่าเราควรจะเรียน สักกี่สัปดาห์ถึงจะได้มีระดับภาษาตามที่มหาวิทยาลัยต้องการ) และอย่างที่สองสำหรับคนที่อยากเตรียมพร้อมเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยและไม่ อยากสอบ IELTS หรือมีผล IELTS แล้วแต่ไม่เคยเรียนในต่างประเทศเลยอยากเตรียมพร้อมก่อน คอร์สแบบที่สองนี้เรียกกันว่า Direct Entry หรือ EAP(English for Academic Purpose) ครับ (บางที่ก็เรียก AE (Academic English)) การเรียนภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแบ่งได้อีกเป็น 2 แบบตามประเภทของโรงเรียน คือ - เรียน EAP : การเรียน EAP คือการเรียนภาษากับสถาบันภาษาเอกชนที่ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการไปเรียน ราคาค่าเรียนต่อสัปดาห์โดยทั่วไปจะสูงกว่า จะอยู่ที่ตั้งแต่ 180-300 AUD แตกต่างกันไปตามคุณภาพของรร.ภาษาที่เราไปเรียน (รร.ที่มีโปรแกรมนี้แต่ราคาถูกก็อาจจะมีข้อจำกัดว่าเข้าได้แค่มหาวิทยาลัย บางที่เท่านั้น แต่ถ้าเราเรียนพวกที่มีราคาสูงกว่า เราก็อาจจะมีตัวเลือกของมหาวิทยาลัยมากกว่าครับ)  ข้อดีของการเรียน EAP คือเข้ามหาวิทยาลัยได้ (ไม่ต่างกับการเรียนภาษากับศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัย) และค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเรียนภาษากับมหาวิทยาลัยโดยตรง มากพอสมควรหาก ข้อเสียคืออาจจะเข้ามหาวิทยาลัย บางที่ที่ดังมากๆ ไม่ได้เพราะเค้าไม่รับ ไม่มี contract ใดๆกับรร.ภาษา เพราะต้องการให้เด็กมาเรียนภาษากับตัวมหาวิทยาลัยเองโดยตรง การเลือกเรียน EAP เราควรจะเลือกมหาวิทยาลัยได้ก่อนที่จะเริ่มเรียน EAP เพราะจะได้เลือกรร.ภาษาที่มี contract กับมหาวิทยาลัยที่เราต้องการไปเรียนครับ (หรือถ้ายังเลือกไม่ได้ก็ควรจะเรียนกับสถาบันภาษาที่สามารถเลือกได้หลายที่ กว่าหน่อย จะได้มาดูมาเห็นด้วยตัวเองด้วยว่าชอบที่ไหน) - เรียน Direct Entry กับ มหาวิทยาลัยนั้นๆโดยตรง : คอร์สเหล่านี้เป็นคอร์สที่มหาวิทยาลัยที่เราจะเรียนจัดขึ้นในสถาบันภาษาของ เค้าสำหรับนักเรียนที่มีผล IELTS ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้ากำหนด  ข้อดีคือ เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่ดังมากๆในออสเตรเลีย( เช่น UNSW , USYD, ANU) จะไม่รับผลภาษาจากรร.ภาษาเอกชน ดังนั้นถ้าไม่มีผล IELTS หรือมีแต่ไม่ถึงเกณฑ์ที่เค้าต้องการ แล้วเราเรียนคอร์สนี้ผ่านเราก็สามารถเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัย ที่เราต้องการได้เลย  อย่างไรก็ตามข้อเสียก็คือโปรแกรมแบบนี้แพงหูฉี่ ราคาทั่วๆไปจะอยู่ที่ราวๆ 400 AUD /wk เลยทีเดียว  นอกจากนั้นสมมติเราเรียนภาษา Direct Entry จบจากมหาวิทยาลัยที่นึงเพราะตอนแรกกะว่าจะเรียนที่นี่ ถ้าเกิดเราเปลี่ยนใจอยากเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะยอมรับ ผลภาษาจากที่ที่เราเรียนมา เราก็อาจต้องไปเสียเงินสอบ IELTS หรือเรียนภาษาเพิ่มเติมกันอีกทั้งๆที่เรียนมาแล้ว ดังนั้นเวลาจะเลือกขอให้เลือกดีๆกันนะครับ  ผมเชื่อว่าเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยนั้น ต้องดีมากอยู่แล้ว แต่จากที่เห็นเด็กจบทั้งสองแบบมา ผมว่าก็ไม่ได้มีคุณภาพต่างอะไรกันมากมายขนาดนั้นอยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละ คนมากกว่าว่าตั้งใจขนาดไหน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านครับ    **การเรียน EAP และ Direct Entry มักจะมีกำหนดเวลาเริ่มเรียนที่แน่นอน ดังนั้นการจะลงเรียนต้องวางแผนดีๆเพื่อให้ตรงกับเทอมที่เปิดให้เรียน (intake) ของมหาวิทยาลัย ที่เราจะเรียนด้วยครับ** ** การเรียนทั้งสองแบบนี้ ต้องเรียนให้ผ่านด้วยนะครับ ไม่ใช่จ่ายเงินเข้าไปเรียนแล้ว เรียนไปเรื่อยๆจะได้เข้ามหาวิทยาลัยที่เราใฝ่ฝัน ต้องพยายามกันหนักอยู่พอสมควรเพราะคอร์สพวกนี้เรียนแบบเข้มข้นและค่อนข้าง ซีเรียสมากครับ รายงานเยอะ การบ้านเยอะ ต้องหาข้อมูลเยอะ** ** การเรียนคอร์สเหล่านี้เนื่องจากมีความเป็น academic สูง จึงมักมี entry requirement ด้วย เช่น IELTS 4.5 เรียน Level 1 , IELTS 5.5 เรียน Level 2 และ IELTS 6.0 เรียน Level 3 เป็นต้น** c.  Examination Preparation  เป็นการเรียนภาษาเตรียมความพร้อมเพื่อทำข้อสอบเฉพาะชุด ไม่ว่าจะเป็น IELTS หรือ Cambridge (หรือข้อสอบอื่นๆ เช่น TOEIC แต่ TOEIC นี่จะไม่เห็นเปิดสอนเยอะเท่าในเมืองไทย) โดยหลักๆคอร์สเหล่านี้จะสอนทริคในการทำข้อสอบ เช่น Skimming/Scanning สำหรับ reading , โครงสร้างการเขียน Essay , วิธีการตอบใน Speaking Test และเทคนิคต่างๆว่าทำยังไงให้ทำทัน ทำยังไงให้ทำถูกเยอะสุด หรือเดาถูกเยอะสุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเน้นเพื่อให้ทำคะแนนได้สูงๆในเวลาจำกัดโดยเฉพาะครับ Cambridge เป็น Test อีกแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมใน Europe (แต่ไม่ได้นิยมในไทย) ดังนั้นคอร์ส Cambridge ก็จะมี เด็กนักเรียนจากทาง Europe มาเรียนเยอะกว่าคอร์ส Examination Preparation อื่นๆสักหน่อย คอร์ส Cambridge เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนาภาษาแบบจริงจังแต่ไม่ได้มีแผนเรียนต่อ เพราะว่าเอาไปใช้เข้าเรียนต่อในออสเตรเลียไม่ได้ครับ ** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ IELTS/Cambridge มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ d.English for Specific Purposes คือการเรียนภาษาเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆของผู้เรียน การเรียนแบบนี้มีรูปแบบต่างๆมากมาย เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นของยกตัวอย่างให้ดูเป็นบางส่วนครับ TESOL / TECSOL คอร์สเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ  TESOL จะเป็นคอร์สสำหรับสอนคนทั่วไป  TESCOL จะเป็นคอร์สสำหรับผุ้ที่ต้องการสอนเด็กเล็ก คอร์สเหล่านี้นอกจากฝึกให้เรียนภาษาแบบเป็นแบบแผนแล้ว (เพราะต้องเป็นครู) แล้วยังฝึกให้กล้าแสดงออก ให้มีความมั่นใจอีกด้วย (เพราะต้องพูดหน้าห้องต่อหน้านักเรียนเยอะๆ)  คอร์สสอนภาษาเหล่านี้จะเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนเกาหลีครับ เพราะรัฐบาลเค้ามีนโยบายว่าถ้าจะไปเป็นคุณครูสอนภาษาจะต้องมีใบประกาศจาก ต่างประเทศ จากสถาบันที่ได้รับการรับรอง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควรเพราะครูที่กลับไปสอนมีคุณภาพมากขึ้น ลูกเล็กเด็กแดงก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีกันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เฮ้อ พูดแล้วอยากให้เรารัฐบาลเราเอาจริงเอาจังเรื่องการศึกษาของเด็กๆบ้างนะครับนี่ ** เช่นเดียวกับ Course academic อื่นๆ TESOL/TECSOL มักจะมี entry requirement เช่นกันครับ คือต้องมี IELTS ตามที่รร.กำหนดครับ Business English, English + Work , English + Internship และอื่นๆ คอร์สภาษาที่ปรับเข้ากับความต้องการของนักเรียนเป็นด้านๆไป เช่นบางที่ก็มีโปรแกรมเรียนภาษา + หางานให้ (งานร้านกาแฟทั่วไป ได้เรทเงินตามปกติ – แต่ก็อาจรวมค่าหางานเข้าไปด้วย) หรือ เรียนภาษาบวกฝึกงาน (unpaid internship) เมื่อเรียนจบก็จะได้ฝึกงานกับบ.ใน field ที่เราอยากฝึก โดยเราจะต้องผ่านการสัมภาษณ์เป็นจริงเป็นจังพอสมควรแล้วจึงเข้าไปทำงาน จะเหมาะกับคนที่ต้องการเอา resume ไปต่อยอดที่อื่นเท่านั้น เพราะฝึกงานแบบนี้ไม่ได้เงินได้แต่ประสบการณ์ครับ (ซึ่งหาเองค่อนข้างยาก) การเรียนภาษายังมีอีกมากมายหลายแบบให้เลือก เช่น English + Surfing ก็ยังมี แต่แบบที่เป็นที่นิยมกันก็ประมาณนี้ครับ   Written By : Duangdao Beyond Study Center
Why Australia
 1) ความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไป - ค่าครองชีพและค่าเรียนในออสเตรเลียโดยเปรียบเทียบแล้วจะถูกกว่าค่าครองชีพและค่าเรียนในประเทศอื่นๆ(ตารางค่าครองชีพที่แสดงให้เห็นว่าเมืองใหญ่ๆในออสเตรเลีย ไม่ได้ติดอันดับต้นมากนัก http://www.mercer.com/costoflivingpr) - ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตของประชากรสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก - การเรียนปริญญาตรีโดยทั่วไปใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีในขณะที่นักเรียนต้องจ่ายค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นในประเทศอื่น เพราะต้องเรียนปริญญาตรีถึง 4 ปี 2) ผู้คน สังคม ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม - ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multicultural)สูงมาก นั่นคือผู้คนเรียนรู้ที่จะเรียนรู้และยอมรับการอยู่ร่วมกับชนชาติอื่นๆในสังคมเรื่องการเหยียดชนชาติ (Discrimination) จึงมีน้อยซึ่งก็มีผลดีต่อนักเรียนต่างชาติที่เข้ามาเรียนเพราะถูกยอมรับจากสังคมได้ง่ายในขณะเดียวกันก็ทำให้นักเรียนได้พบกับเพื่อนจากหลากหลายเชื้อชาติและได้เรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน - เป็นประเทศที่มีอัตราการก่ออาชญากรรมต่ำและมีกฎหมายควบคุมการครอบคองอาวุธปืนที่เข้มงวดมาก นักเรียนจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยจากการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศออสเตรเลีย - ชาวออสเตรเลียเป็นชนชาติที่มีอุปนิสัยสบายๆ และเป็นมิตรจึงเข้ากับคนไทยได้ง่าย - มีทรัพยากรและสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่หลากหลายและสมบูรณ์ในออสเตรเลียเราจะพบได้ทั้ง ภูเขาหิมะ ชายหาด แนวประการัง ทะเลทราย ตลอดจนภูเขาและป่าดงดิบ (Rainforest) 3) Qualification Recognition วุฒิการศึกษาของออสเตรเลียเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ 4) เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่มีความสำคัญต่อการศึกษา การทำธุรกิจต่างๆทั่วโลกเป็นภาษาหลัก 5) สภาพภูมิอากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปทำให้เราไม่ต้องปรับตัวสู้กับสภาพอากาศมากนัก 6) รัฐบาลออสเตรเลียอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงานได้โดยนักเรียนสามารถทำงานได้ไม่เกิน 20ชม.ในช่วงเปิดเทอมและทำได้ไม่จำกัดเวลาในช่วงปิดเทอมซึ่งนอกจากเป็นการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของทางบ้านและยังเป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่และฝึกภาษาจากสถานการณ์จริงไปด้วยในตัว   Written By : Duangdao Beyond Study Center
ขั้นตอนการไปเรียนต่อออสเตรเลีย
 1. การสมัครเรียน หลังจากเลือกเมือง สถาบัน และคอร์สเรียนที่ต้องการแล้ว ทางทีมงาน Beyond Study Center จะให้นักเรียนกรอกใบสมัครและรวบรวมเอกสารที่ใช้ในการสมัครเรียน เพื่อขอใบตอบรับในการเข้าเรียนจากทางสถาบัน เอกสารในการสมัครเรียนในแต่ละระดับ (เรียนภาษา, เรียน Diploma, เรียนต่อปริญญาตรี, โท) จะต่างกันเล็กน้อย     เอกสาร   คอร์ส ใบสมัคร Passport เอกสารรับรองการทำงาน ผลภาษาอังกฤษ เอกสารทางการศึกษา เรียนภาษา x x - - - เรียน Diploma x x ขึ้นอยู่กับสถาบัน x x เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย x x ขึ้นอยู่กับสถาบัน x x 2. ได้รับใบตอบรับ (Letter of Offer) หลังจากสมัครเรียน นักเรียนจะได้รับใบตอบรับ ที่ระบุชื่อ-นามสกุลของนักเรียน ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆรวมถึง ชื่อคอร์ส ระยะเวลา และ ค่าเล่าเรียน นักเรียนจะต้องตรวจสอบความถูกต้อง และเซ็นชื่อในใบตอบรับ 3. ขอใบยืนยันการลงทะเบียนเรียน (Confirmation of Enrollment) เมื่อตรวจสอบความถูกต้องในใบตอบรับแล้ว นักเรียนสามารถชำระค่าประกันสุขภาพ และค่าวีซ่า ได้ที่บริษัทBeyond Study Center เพื่อขอใบยืนยันการลงทะเบียนเรียนหรือที่เรียกว่า Confirmation of Enrollment (CoE) จากทางสถาบัน ซึ่ง ใน CoE นั้น จะมีหมายเลขที่ระบุอยู่ที่มุมขวาบน ซึ่งเป็นหมายเลขที่เชื่อมกันกับข้อมูลของสถานฑูตที่ใช้ในการยื่นวีซ่าในขั้นถัดไป 4. การเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่านักเรียน , การตรวจสุขภาพ , รับผลวีซ่า ทางบริษัทจะให้คำแนะนำนักเรียนเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอวีซ่านักเรียนประเทศออสเตรเลีย เเละรวบรวมเอกสารนำไปยื่นขอวีซ่าที่หน่วยงานเพื่อการขอวีซ่าประเทศออสเตรเลีย (VFS) หลังจากได้รับการติดต่จากทางสถานทูตเรื่องการตรวจสุขภาพ นักเรียนจะได้รับคำแนะนำเรื่องการตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลที่สถานทูตกำหนด ใบสมัครส่วนใหญ่จะใช้การพิจารณาประมาณ 11 วันทำการหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับหลายกรณีเป็นปัจจัยประกอบเช่นช่วงเวลาที่มีผู้สมัครเป็นจำนวนมาก ผลตรวจสุขภาพมีปัญหา เป็นต้น ในบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมหรือขอสัมภาษณ์ซึ่งทำให้ระยะพิจารณาเพิ่มขึ้น 5. การเตรียมตัวก่อน-หลังเดินทาง ทางบริษัทจะให้คำแนะนำก่อนเดินทาง เช่น การตระเตรียมสัมภาระ การเดินทาง ค่าครองชีพ ความเป็นอยู่ การหาที่พัก การหางาน และตรวจแก้ Resumeให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ 6.ดูแลนักเรียนตลอดจนสำเร็จการศึกษา ทีมงาน Beyond Study Center จะคอยให้คำปรึกษากับนักเรียนจนและดูแลโดยคำนึงถึงเป้าหมายในการเรียนของนักเรียนเป็นหลักจนกระทั่งจบการศึกษา   Uodated : 18 June 2011 รายละเอียดอื่นๆสามารถสอบถามได้เพิ่มเติมที่ Beyond Study Center โทร 02 664 0719 มือถือ 08 6664 3390 , 08 6011 2378 Email: info@beyondstudycenter.com Unit D, 36/20 P.S. Tower, 3rd Floor,Sukhumvit 21 (Asoke), Klongtoey Nua, Wattana, Bangkok 10110 Thailand ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน สุขุมวิท และรถไฟฟ้าบีที่เอสอโศก
หลักฐานการสมัครวีซ่านักเรียน New Zealand
 วันนี้เอาหลักฐานการสมัครวีซ่านักเรียนนิวซีเเลนด์มาฝากเพื่อนๆค่ะเนื่องจากไปร่วมนิทรรศการเรียนต่อนิวซีเเลนด์มา ขอขอบคุณข้อมูลจากสถานทูตนิวซีเเลนด์ค่ะ สามารถโหลดแบบฟอร์มต่างๆได้จาก www.immigration.govt.nz เอกสารประกอบการขอวีซานักเรียนประเทศนิวซีเเลนด์ มีดังต่อไปนี้ ใบสมัครวีซ่านักเรียน (INZ1012)ที่ได้กรอกรายละเอียด พร้อมกับติดรูปถ่าย ขนาด 2นิ้ว จำนวน 2 รูป โปรดระบุเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวก เเละหากมีอีเมลล์ กรุณาระบุในใบสมัครด้วย ค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียน 5,300 บาท ท่านสามารถชำระค่าธรรมเนียมด้วย บัตรเครดิตวีซ่า/มาสเตอร์ ตั๋วเเลกเงิน เเคมเชียร์เช็ค หรือเช็คที่ออกโดยธนาคารสั่งจ่าย “สถานทูตนิวซีแลนด์(สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)” จะไม่มีการคืนค่าวีซ่าไม่ว่าผลการพิจารณรจะได้รัการอนุมัติหรือไม่ หนังสือเดินทาง หรือสำเนาที่ได้รับรองสำเนาอย่างถูกต้อง หนังสือตอบรับการเข้าเรียนจากสถานศึกษาที่ระบุหลักสูตร ระยะเวลาเรียน วันเปิดเทอม เเละวันสุดท้ายของการเรียนพร้อมใบเสร็จจากสถานศึกษา หนังสือรับรองเรื่องที่พักในประเทศนิวซีเเลนด์ ใบรับรองสถานภาพทางการเงิน “Financial Undertaking for a Student” (INZ1014) ที่กรอกเรียบร้อยเเล้ว (ขอรับแบบฟอร์มได้ที่แผนกวีซ่า) สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลังติดต่อกัน 6  เดือน หรือ Bank Statement ของผู้ค้ำประกัน ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ค้ำประกันสามารถดูแลค่าใช้จ่ายของผู้สมัครได้ พร้อมจดหมายรับรองสถานภาพการทำงานของผู้ค้ำประกัน ระบุถึงรายได้ต่อปี(รวมโบนัส) ตำแหน่ง และอายุการทำงาน จดหมายนี้ต้องออกโดยผู้มีอำนาจ หรือฝ่ายบุคคลของบริษัท/หน่วยงาน/ห้างร้านเท่านั้น ถ้าหากผู้ค้ำประกันเป็นเจาของกิจการ/บริษัท/ห้างร้าน  จะต้องมีหนังสือรับรองบริษัทหรือหลักฐาน การจดทะเบียนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของกิจการ พร้อมทั้งหลักฐานการเงินของบริษัท ซึ่งได้แก่บัญชีเงินฝากของกิจการ/บริษัท/ห้างร้านนั้นๆ ใบเเจ้งผลการเรียน และการเข้าเรียน จากโรงเรียน/มหาวิทยาลัย ที่กำลังศึกษาอยู่หรือเพื่งจบการศึกษา ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีต้องการเดินทางโดยลำพัง หรือไม่ได้เดินทางพร้อมกับบิดาและมารดาระบุว่าอนุญาตให้บุตรเดินทางได้ สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านของผู้ปกครอง และผู้สมัคร สำหรับผู้สมัครที่อายุตั้งแต่ 17 ขึ้นไป และต้องการศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีเเลนด์เป็นเวลา 2 ปีขึ้นไปจะต้องยื่นรายงานการสอบประวัติอาชญากรรมที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน หากท่านมีความประสงค์จะไปศึกษาที่ปประเทศนิวซีแลนด์เป็นเวลา 6  เดือน แต่ไม่เกิน 12 เดือน จะต้องยื่นตรวจวัณโรค(แบบฟอร์ม INZ 1096) หากท่านมีความประสงค์ไปศึกษาที่ประเทศนิวซีแลนด์เกิน 12 เดือน จะต้องยื่นใบตรวจสุขภาพและเอ็กซเรย์ (INZ 1007) ผู้สมัครต้องตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานตรวจคนเข้า   เมืองเท่านั้น ซึ่งใบตรวจร่างกายจะต้องอายุไม่เิกิน 3 เดือน กรุงเทพ : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , สมิติเวช (สุขุมวิท 38), บางกอกเนิสซิ่งโฮม และโกลบอล ด็อกเตอร์ เชียงใหม่ : วัฒนา-นิรมล คลีนิค , คลีนิคหมอวรรณจันทร์-จรัส, สถานบริการสุขภาพพิเศษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอนแก่น : โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และโรงพยาบาลขอนแก่นราม   หมายเหตุ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์อาจะขอเอกสารเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาใบสมัคร สำเนาเอกสารต้องประทับ หรือมีลายเซ็นจากบุคคลผู้ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้ลงนาม หรือทำการยืนยันได้ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2554 ป็นต้นไป สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์ สาขากรุงเทพ สามารถรับเอกสารประกอบการพิจารณาวีซ่าฉบับภาษาไทย โดยมิต้องแนบเอกสารฉบับแปล (ภาษาอังกฤษ) ประกอบ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อาจขอห้ผู้สมัครยื่นเอกสารฉบับแปล (ภาษาอังกฤษ)ในบางกรณีที่เห็นสมควร การยื่นใบสมัคร ท่านสามารถยื่นขอวีซ่าด้วยตนเอง หรือส่งทางไปรณีย์ได้ที่ แผนกวีซ่า สถานทูตนิวซีแลนด์ ชั้น 15 อาคารเอ็มไทยทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส เลขที่ 87 ถนนวิทยุ ปทุมวัน กรุงเทพ 10330 โทรศัพท์ (66) 2 654 3444       แฟกซ์ (66) 2 654 3445 อีีเมลล์ nzisbangkok@dol.govt.nz เวลาทำการ 09.00-12.00 และ 13.00-15.00 (วันจันทร์ ถึง วันศุกร์) ยกเว้นวันพุธ ปิดเวลา 14.00 ท่านสามารถมารับแบบฟอร์มต่างๆได้ด้วยตนเอง หรือพิมพ์จาก www.immigration.govt.nz   ระยะเวลาการพิจารณา ใบสมัครส่วนใหญ่จะได้รับการพิจารณาภายใน 7 วัน ในบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจขอเอกสารเพิ่มเติม หรือขอสัมภาษณ์ซึ่งทำให้ระยะเวลาพิจารณาเพิ่มขึ้น หรืออาจถึง 30 วัน โดยเจ้าหน้าที่จะติดต่อ และแจ้งให้ท่าทราบ ค่าไปรณีย์ในการจัดส่งหนังสือเดินทาง ส่งแบบลงทะเบียนภายในประเทศ 50 บาท ข้อมูลจาก เอกสารจากสถานทูตนิวซีแลนด์ในงานศึกษาต่อนิวซีแลนด์
<< 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 >>
รับข่าวสารและโปรโมชั่น
Username
Password
สมัครสมาชิก | ลืมรหัสผ่าน
 


agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

agent ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อนอก ทุนการศึกษา

เอเจนท์ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ทุนการศึกษา